ตอนที่ 381-382

เพียงหนึ่งใจ

ตอนที่ 381 ตามหาคน1 

 

 

         ได้ยินเสียงการต่อสู้โกลาหลด้านนอก มู่หรงมู่และคนอื่นๆ ทิ้งเรื่องการโต้แย้งไปก่อน แล้วรีบออกไปดู 

 

 

           เห็นเพียงคนที่มาผมดำเงาเหยียดตรง คิ้วกระบี่เฉียง นัยน์ตาดำขลับแฝงไปด้วยความคมกริบ ริมฝีปากเรียวบาง รูปร่างสง่างาม บุคลิกดุจดั่งเหยี่ยวในยามราตรี หยิ่งทะนงเย็นชาและน่าเกรงขาม มีความแข็งกร้าวที่ดูหมิ่นโลกแผ่ออกมาจากความสันโดษนั่น เขาถูกทหารคบเพลิงล้อมตัวเอาไว้ได้ 

 

 

           มู่หรงไป๋เอ่ยอย่างไม่เป็นมิตร “เจ้าเป็นใคร?” ถึงกล้าบุกเข้ามาในค่ายทหารเพียงลำพัง 

 

 

           บุรุษหนุ่มหาได้แยแสไม่ กวาดตามองทหารที่ล้อมเขาอยู่ ไม่มีท่าทีหวาดกลัวลนลานแม้สักนิด ทำราวกับว่าคนพวกนี้เป็นเพียงเรื่องเล็กสำหรับเขา 

 

 

           “ตามหาคนในเผ่าของข้า” 

 

 

           “เกรงว่าองค์ชายท่านนี้คงจะมาผิดที่แล้ว ที่นี่คือค่ายทหารชายแดน ไหนเลยจะมีญาติของท่านได้” 

 

 

           บุรุษหนุ่มหยักมุมปาก แล้วพูดกับคนข้างหลังของมู่หรงไป๋ “น้องหญิงเล็กมานี่” 

 

 

           ทุกคนอดไม่ได้ต่างมองหน้ากันไปมาอย่างไม่เข้าใจ ขณะที่ฝูงชนกำลังอึ้งตะลึงอยู่นั้น ฉินอวิ๋นซินได้ก้าวขึ้นหน้าออกมา “พี่ใหญ่” 

 

 

           มู่หรงมู่ทำหน้าตะลึงงัน กุนซือเจียงคนที่เขายกย่องนับถือแท้จริงแล้วเป็นสตรีหรือ บุรุษหนุ่มผู้นั้นดูท่าทางอายุยี่สิบกว่า อีกทั้งหน้าตาของพวกเขาก็ไม่ได้ละม้ายคล้ายคลึง จึงยากที่จะเชื่อได้จริงๆ 

 

 

           ผู้ที่มาคือฉินสุยพี่ชายแท้ๆ ของฉินอวิ๋นซิน 

 

 

           “เช่นนี้ก็ขอตัวลา” 

 

 

           “ค่ายชายแดนของข้าเป็นที่ที่เจ้าคิดจะมาก็มา จะไปก็ไปได้เช่นนั้นหรือ” กระบี่ของมู่หรงไป๋ขวางลำคอเรียวยาวของบุรุษหนุ่มไว้ “จะไปย่อมได้ แต่นางต้องอยู่ที่นี่” ใครก็อย่าคิดจะมาพรากนางไปจากเขาได้อีก แม้แต่พญายมราชก็ต้องหลีกทาง 

 

 

           ฉินสุยหยักมุมปากโค้งด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “คนอย่างเจ้า หาได้ประเมินกำลังตนไม่” 

 

 

           มีดสั้นปลายแหลมทยานออกไป เฉียดลำคอของมู่หรงไป๋ 

 

 

           มู่หรงจางที่อยู่ทางด้านหลังรับมีดสั้นที่พุ่งออกมานั้น ดวงตาดำขลับลึกลำ้จดจ้องมีดสั้นที่รับไว้ระหว่างสองนิ้วของเขา “ตระกูลฉิน” 

 

 

           “ท่านโหวผู้เฒ่ารอบรู้ไปเสียทุกอย่างจริงๆ แม้แต่เรื่องเล็กน้อยไร้ความสำคัญก็ยังรู้ได้ สมแล้วที่เป็นวีรชนในช่วงเวลานั้น” 

 

 

           มู่หรงจางหาได้รู้สึกว่าเขากำลังเอ่ยชมตนแต่อย่างใด คนตระกูลฉินมีนิสัยประหลาดอย่างหนึ่ง นั่นคือไม่เคยเอ่ยชมผู้อื่นโดยง่าย เย่อหยิ่งเทียมฟ้า “ไม่ทราบว่าหัวหน้าเผ่าฉินลงเขามาครั้งนี้ด้วยเรื่องอันใด?” เขาไม่คิดว่าฉินสุยจะออกมาเพื่อตามหาฉินอวิ๋นซินเพียงคนคนเดียว ตระกูลฉินในสมัยนั้นได้ร่วมล่าอาณานิคมกับฮ่องเต้อดีตราชวงศ์ก่อน คนตระกูลฉินล้วนมีความสามารถแต่งต่างกัน ทั้งยันต์แปดทิศ วิชากาย การทหาร…ชำนาญไปเสียทุกเรื่อง ให้ใครก็ได้สักคนในตระกูลฉินก็สามารถล้มแม่ทัพคนหนึ่งได้แล้ว เล่ากันว่าสมัยนั้นเป็นเพราะฮ่องเต้อดีตราชวงศ์ก่อนตระบัดสัตย์ ทรงทำตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ไม่ได้ ตระกูลฉินเคืองโกรธ ปิดบังชื่อที่แท้จริงของตระกูลต่อโลกภายนอก หากไม่ใช่เพราะเฟิงหรงสวี่ให้ข้อมูลแนะนำเรื่องนี้กับเขาไว้บ้าง ไฉนเลยที่เขาจะเดาความจริงเรื่องนี้ได้ 

 

 

           ทว่ากฎระเบียบของตระกูลฉินได้กำหนดไว้อย่างชัดเจน ห้ามเข้ามารุกล้ำดินแดนของพวกเขาตามอำเภอใจ เว้นเสียแต่เกิดเรื่องเหตุอย่างเช่นล้มล้างตระกูล ซึ่งนี่เป็นคำมั่นสัญญาที่พวกเขาให้ไว้กับฮ่องเต้อดีตราชวงศ์ เกรงว่าการมาในครั้งนี้จะต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่เป็นแน่ 

 

 

           “ท่านโหวผู้เฒ่า เมื่อครู่ข้าได้บอกไปแล้วว่าข้ามาตามหาคนคนหนึ่ง” 

 

 

           มู่หรงจาง “ไม่ทราบว่าคนที่ท่านตามหาคือผู้ใด? บางทีข้าอาจช่วยได้” 

 

 

           ฉินสุยอดถอนหายใจไม่ได้ ชายชราผู้นี้ช่างอาวุโสจริงๆ สมแล้วที่เป็นคนที่อดีตฮ่องเต้ทรงเชื่อพระทัยที่สุด 

 

 

           “เช่นนั้นคงต้องรบกวนท่านโหวผู้เฒ่าแล้ว เรื่องนี้จำเป็นต้องให้ท่านช่วยเหลือจริงๆ คนที่ข้าตามหาก็คือ…” 

 

 

           “พี่ใหญ่ พวกเราไปกันเถิด” ฉินอวิ๋นซินรีบพูดขัดเขาทันที นางรู้ว่าเมื่อถึงเวลาที่เขาจะมาก็ต้องมา แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะมาตามหาถึงที่นี่ ทั้งยังมาตัวคนเดียวเช่นนี้อีก 

 

 

           รูม่านตาลึกล้ำของฉินสุยเปล่งประกายคลื่นแสง 

 

 

           มู่หรงไป๋ขมวดคิ้วย่น เขาไม่ได้พลาดที่จะมองเห็นความหวาดกลัวของนาง เรื่องใดกันที่ทำให้นางต้องปกปิดเอาไว้นานถึงเพียงนั้น 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 382 ตามหาคน2 

 

 

           สายตาของทุกคนจดจ้องมายังฉินอวิ๋นซินอย่างอดไม่ได้ พินิจพิเคราะห์ปนกับความสงสัยเคลือบแคลง 

 

 

           ฮูหยินผู้เฒ่ามองฉินอวิ๋นซินที่มีท่าทีกระสับกระส่ายไม่รู้ควรทำอย่างไรดี เกรงว่าฉินอวิ๋นซินคงรู้ว่าคนที่ฉินสุยตามหาคือผู้ใด ทว่านางกลับขัดขวางสารพัดอย่าง ดูไม่ยากว่าคนผู้นั้นต้องสำคัญกับนางมาก บางทีอาจสำคัญย่ิงกว่าชีวิตนางก็เป็นได้ ฮูหยินผู้เฒ่ากวาดตามองโดยรอบ แล้วสายตาก็ไม่จดจ้องอยู่ที่มู่หรงไป๋ นอกจากมู่หรงไป๋แล้วก็เหลือเพียงคนคนเดียว หากว่าเป็นอย่างที่นางคิดไว้จริงๆ นางก็ไม่รู้ว่าควรจะปฏิบัติต่อลูกสะใภ้คนนี้อย่างไรแล้ว 

 

 

           “คนที่บนกายมี…บนกายมี…ปานบุปผาหงส์ไฟใช่หรือไม่” ซูซื่อพึมพำก่อนจะพูดโพล่งเสียงดังออกมา  

 

 

           ภายใต้บรรยากาศที่เงียบกริบนี้ เสียงของนางได้ดึงความคิดของทุกคนกลับมาจากภวังค์ บรรยากาศรอบด้านพลันจมลงสู่ความอ้างว้าง ราวกับเวลาเพียงครู่เดียวทำบรรยากาศตกลงสู่จุดเยือกแข็ง หนาวเสียดแทงกระดูกย่ิงกว่าลมหนาวในฤดูเหมันต์ 

 

 

           ฉินสุยกวาดตามองฉินอวิ๋นซินที่ยืนอยู่ข้างกายเขา ริมฝีปากพลันผลิยิ้มขึ้นมา ที่แท้ก็เป็นอย่างที่เขาคิดเหตุใดตระกูลฉินจึงพ่ายแพ้เมื่อมาอยู่ในมือของเขา การมาครั้งนี้ไม่เสียแรงเปล่าจริงๆ ฉินอวิ๋นซินปกปิดการมีอยู่ของนาง ถึงแม้จะคลอดนางมาแล้ว คงกลัวครอบครัวจะไม่ละเว้นนาง ถึงขั้นนี้แล้วนางยังไม่รู้ว่าควรจะเดินทางไหนอยู่อีกหรือ รอยแผลเป็นบนใบหน้ายังไม่สามารถทำให้นางจดจำได้ดีอีกหรือ มู่หรงไป๋ที่จ้องตาเขม็งใส่เขาคนนี้ มีดีถึงขนาดทำให้คนคนหนึ่งยอมติดตามอย่างหมดหัวใจถึงเพียงนั้นหรือ 

 

 

           ฉินอวิ๋นซินใบหน้าซีดขาว นัยน์ตามีเส้นเลือดแดงขึ้นมา ริมฝีปากแห้งมานานทำให้แตกเป็นรอยแผล ผมเผ้าหยุงเหยิงอยู่บ้าง ท่าทางเช่นนี้ของนางราวกับหากมีลมพัดมาคงจะพัดร่างกายที่ผอมแห้งของนางให้ล้มไปกับสายลมได้ 

 

 

           ฉินสุยผุดรอยยิ้มขึ้นมา เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฮูหยินท่านนี้ ยังพอจำได้หรือไม่ว่าตอนนี้นางอยู่ที่ใด?” 

 

 

           ซูซื่อเหมือนจะเพิ่งรู้สึกตัว ส่ายหน้าสุดชีวิต “ข้าไม่รู้ว่าบุปผาหงส์ไฟคือสิ่งใด ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน” 

 

 

           ฮูหยินผู้เฒ่าและคนอื่นๆ ต่างมีเปลี่ยนทันที หากว่าซูซื่อพูดออกไปจริงๆ เห็นทีคงหนีเรื่องหนังสือหย่าไม่พ้น 

 

 

           ฉินสุยยิ้มเย็นชาในใจ หากเขาไม่ได้หาข้อมูลมาจนรู้แล้วว่านางเป็นใคร วันนี้คงไม่มาถึงที่นี่ได้ การที่เขามายืนอยู่ที่นี่ก็เพื่อหวังจะให้ตระกูลมู่หรงยอมส่งตัวนางออกมา 

 

 

           “ร่างกายของนางมีพิษชนิดหนึ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิด ไม่ว่าจะเป็นหมอทั่วไปหรือหมอหลวงก็ไม่อาจสังเกตเห็นพิษนี้ได้ พิษชนิดนี้มีฤทธิ์กดสติปัญญาคน หากดูแล้วจะเหมือนว่าเกิดมาปัญญาอ่อน” พลางรู้สึกพอใจที่ทุกสายตาทอดมองมายังตัวเขา “พิษชนิดนี้มีเพียงตระกูลฉินเท่านั้นที่จะถอนพิษได้ มิเช่นนั้นก็ไม่มีทางรักษา อีกทั้งเมื่อถึงวัยที่กำหนดแล้ว สารพิษจะค่อยๆ สั่งสมและสิ่งที่ตามมาก็คือความตาย” 

 

 

           คำพูดนี้ของฉินสุยได้กระตุ้นระลอกความรู้สึกนับจำนวนไม่ถ้วนในใจของคนจำนวนไม่น้อย 

 

 

           มู่หรงมู่รู้สึกร้อนผ่าวที่เบ้าตา เขาได้ยินว่ามู่หรงชูอวิ๋นสามารถรักษาหาย นางจะสามารถกลับมาใช้ชีวิตเหมือนคนปกติได้ แทบอยากจะพุ่งตัวเข้าไปถามฉินสุยว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ทว่าสติปัญญาได้ยับยั้งการกระทำของเขาไว้เสียก่อน อย่างไรเสียฮูหยินผู้เฒ่าหวังยิ่งกว่าใครที่อยากให้มู่หรงชูอวิ๋นหายดี ทว่าไม่เห็นนางจะมีท่าทีเคลื่อนไหวแต่อย่างใด ซึ่งนี่ก็แสดงว่าเรื่องนี้ไม่ได้ง่ายดายอย่างนั้น 

 

 

           “หัวหน้าเผ่าฉินพูดเช่นนี้เพื่ออันใด?” ฮูหยินผู้เฒ่าทำหน้าเคร่งขรึมพูดออกไปอย่างเย็นชา นางไม่คิดว่าบนโลกใบนี้จะมีของที่ได้มาโดยไม่ต้องแลกเปลี่ยนอย่างใด อีกทั้งยังนำมาวางตรงหน้าอย่างสวยหรู รอให้เจ้าเข้าไปลิ้มลองโดยง่าย เกรงแต่มู่หรงชูอวิ๋นคงจะมีประโยชน์อะไรบางอย่างสำหรับพวกเขา ถึงได้มุ่งมั่นต้องการตามหาตัวนางเพียงนี้ 

 

 

           “ความหมายของข้าก็คือนางคือคนตระกูลฉินที่ข้าต้องการตามหา” เป็นคนสำคัญของตระกูลฉิน 

 

 

           ฉินอวิ๋นซินส่ายหน้าอย่างหวั่นวิตก “คงไม่ใช่ นางไม่ใช่ พวกท่านอย่าได้…” 

 

 

           “อวิ๋นซิน เจ้าลืมไปแล้วหรือ” 

 

 

           คำพูดของฉินสุยทำให้ฉินอวิ๋นซินสั่นเทาไปทั้งตัว น้ำตาไหลนองทำให้การมองเห็นของนางพร่ามัว นางจับมือของฉินสุยเอาไว้แน่น “พี่ ข้าขอร้องท่านเถิดนะ อย่าได้… โปรดปล่อยนางไปได้หรือไม่?”