ส่วนที่ 4 ภาคความปรารถนาจากบูรพา ตอนที่ 13 ครึ่งสะพานเป็นสายฝน ครึ่งสะพานเป็นเกล็ดหิมะ

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

“กระบี่นี้ค่อนข้างจะไม่ธรรมดาเลย”

 

ราชันย์แห่งหลิงไห่ที่ยืนอยู่ที่หัวเรือ มองสะพานหินกลางหิมะที่ไกลออกไปหนึ่งลี้ เขารับรู้ถึงเจตจำนงกระบี่สายนั้น ในที่สุดใบหน้าที่ไร้อารมณ์ของเขาก็เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นมาบ้างแล้ว

 

นักพรตซือหยวนพลันพูดขึ้น “ศิษย์ของเจ้าสำนักซาง แน่นอนว่าต้องไม่ธรรมดา”

 

เจตจำนงกระบี่ที่เฉินฉางเซิงปล่อยออกมาสายนี้มีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะสั่นสะท้านพวกเขาที่เป็นผู้แข็งแกร่งในระดับสุดยอดเหล่านี้ ที่สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไป มาจากสิ่งที่หลอมรวมอยู่ในชั้นที่สองของเจตจำนงกระบี่สายนั้น

 

เจตจำนงกระบี่สายนี้ร้อนมาก

 

เฉินฉางเซิงชัดเจนดี ไม่ว่าจะเป็นจำนวนปราณแท้หรือจะเป็นระดับความแข็งแกร่งของดวงจิต ตนเองนั้นเทียบไม่ได้กับสวีโหย่วหรงที่ถือครองสายเลือดของหงส์สวรรค์เลย ดังนั้นเขาจึงจุดเพลิงในใจกองนั้นขึ้นมาอย่างไม่ลังเล

 

การประลองเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น เขายังไม่ได้ลงมืออย่างแท้จริง แต่เมื่อจะลงมือก็ใช้เป็นเพลงกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุด

 

ดวงจิตส่วนหนึ่งพลันทิ้งตัวลงบนพื้นที่ราบหิมะนับหมื่นลี้นอกแดนลี้ลับ ในเวลาเดียวกันพื้นที่ราบหิมะหมื่นลี้ก็เริ่มลุกไหม้ บนสะพานหน่ายเหอเองก็เริ่มลุกไหม้ มองไม่เห็นเปลวเพลิงแม้แต่น้อย แต่กลับสามารถรับรู้ได้ถึงอุณหภูมิที่กำลังพุ่งสูงขึ้น

 

เพียงแค่พริบตาเดียว เกล็ดหิมะที่ตกลงบนตัวเขาพวกนั้นก็ละลายไปแล้ว พวกมันเปลี่ยนกลายเป็นน้ำอยู่กลางอากาศ ตกพรำลงบนร่างของเขากับพื้นสะพาน ชะล้างเอาหิมะพวกนั้นที่สะสมจากก่อนหน้านี้ไปทั้งหมด

 

เจตจำนงกระบี่สายนั้นตรงอย่างมาก มีบางส่วนเหมือนกับกระบี่ที่ต้านหิมะถล่มของสวีโหย่วหรงก่อนหน้านี้ แต่ว่ามันตรงยิ่งกว่า ไม่ใช่หน้าผาและก็ไม่ใช่เขื่อนกั้นน้ำ แต่เป็นเส้นตรงเส้นหนึ่ง

 

มีเพียงเพราะมันตรง ดังนั้นจึงแข็งกร้าว กระบี่ไร้ราคียังอยู่ในมือของเขาไม่ได้ปล่อยออกไป สายลมและเกล็ดหิมะบนสะพานหน่ายเหอแข็งค้างอยู่กลางอากาศ บนพื้นกลางสะพานพลันปรากฏเส้นตรงเส้นหนึ่งขึ้นมา

 

เพราะเส้นตรงเส้นนี้สะพานหน่ายเหอจึงถูกแบ่งออกเป็นโลกสองใบที่แตกต่างกัน

 

เขาอยู่ทางนี้ สวีโหย่วหรงอยู่ทางนั้น

 

ฝนตกอยู่ทางนี้ หิมะตกอยู่ทางนั้น

 

……

 

……

 

เจตจำนงกระบี่เข้าปกคลุมสะพานหิน สายฝนพรำหิมะโปรย

 

เฉินฉางเซิงยกกระบี่ไร้ราคีที่อยู่ในมือขึ้นมา ด้วยสายตาที่สงบนิ่งและแน่วแน่

 

นี่เป็นครั้งแรกหลังจากที่เขาเรียนเพลงกระบี่สันดาปจากซูหลี แล้วลองเผาผลาญปราณแท้อย่างบ้าคลั่งถึงเพียงนี้ แต่จำนวนปราณแท้กับอานุภาพของกระบี่นี้ก็ยังเทียบไม่ได้กับหิมะถล่มของสวีโหย่วหรงก่อนหน้านี้ แต่จิตวิญญาณของเขาในกระบี่นี้มีความเต็มเปี่ยม มุ่งมั่นและแหลมคมมากยิ่งกว่า

 

เหมาชิวอวี่ก้าวขึ้นไปทางหัวเรือก้าวหนึ่งอย่างกะทันหัน เขามองดูสะพานที่ไกลออกไป แล้วขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ พลางพูดขึ้น “ทำไมถึงรู้สึกว่าเหมือนกับวิถีดาบของหวังผ้ออยู่บ้าง”

 

ถังซานสือลิ่วพลันพูดขึ้น “ก็เป็นวิถีดาบของหวังผ้อ”

 

ตอนที่พูดประโยคนี้ขึ้นมา สีหน้าของเขาเคร่งเครียดอย่างมาก ก่อนหน้านี้เขาเคยพูดไว้ การประลองครั้งนี้มีเพียงแพ้ชนะ ไม่เกี่ยวข้องกับความเป็นตาย ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ แต่ว่าในตอนนี้ มองดูเจตจำนงกระบี่ของเฉินฉางเซิงสายนี้ เขาก็เริ่มไม่มั่นใจในการวินิจฉัยของตัวเองแล้ว หลังจากนั้นก็เริ่มไม่สงบขึ้นมา

 

ผู้คนที่ได้ยืนอยู่บนหัวเรือเมื่อได้ยินคำพูดของเหมาชิวอวี่กับถังซานสือลิ่วก็ตกตะลึงขึ้นมา ที่ตามมาก็คือพลันนึกถึงการต่อสู้กลางสายฝนที่เกิดขึ้นในเมืองสวินหยางขึ้นมาอย่างเป็นธรรมชาติ ส่วนเซวียเหอที่ใช้ดาบเหมือนกันนั้น ความรู้สึกก็ยิ่งซับซ้อน สายตาของเขาที่มองไปยังสะพานหน่ายเหอยิ่งมีความจดจ่อเป็นอย่างมาก เพราะไม่อยากจะพลาดรายละเอียดใดๆ ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้

 

สวีซื่อจีพูดขึ้นด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “เด็กคนนี้สามารถมีโอกาสได้เรียนจากผู้แข็งแกร่งมากมายขนาดนี้ ช่างโชคดีเสียจริง”

 

“เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องโชคแต่อย่างใด” เหมาชิวอวี่พูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ต้องการจะเรียนวิถีดาบของหวังผ้อให้ได้ ก็ต้องเดินตามวิถีดาบของเขา นี่ไม่ใช่เรื่องที่ใครๆ จะสามารถทำได้”

 

คำพูดนี้เป็นความจริง

 

ก่อนหน้านี้ที่เฉินฉางเซิงใช้เพลงกระบี่ของสถานศึกษาหนานซี ได้ใช้เสียงสวรรค์โรยออกมา ก็สามารถพูดได้ว่าเขามีความรู้กว้างขวาง อีกทั้งมีการช่วยเหลือจากนิกายหลวง ในเส้นทางของการฝึกกระบี่ได้พบเจอกับปาฏิหาริย์จำนวนมาก

 

แต่การคิดจะเรียนวิถีดาบของหวังผ้อให้สำเร็จ ก็ไม่ได้ง่ายดายขนาดนี้

 

เขาต้องเชื่อในวิถีดาบของหวังผ้อ จำเป็นที่จะต้องเดินตามไปอย่างไม่ลังเล

 

และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ถังซานสือลิ่วเป็นกังวลขึ้นมา

 

วิถีดาบของหวังผ้อ ก็มีเพียงคำว่าตรงคำเดียว

 

ไม่ว่าศัตรูที่อยู่หน้าดาบเหล็กจะแข็งแกร่งสักเพียงใด ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งที่ไม่มีทางเอาชนะได้ มือที่จับดาบอยู่ก็จะต้องมั่นคงอยู่เช่นนั้น ทิศทางของคมดาบก็จะต้องรักษาความตรงเอาไว้เช่นนั้น

 

การจะทำให้ถึงจุดนี้ได้ ใจของผู้ที่ถือดาบจะต้องตรงเหมือนกับคมดาบ

 

ชายวัยกลางคนที่ดูแล้วค่อนข้างจะยากจนผู้นั้น ได้ใช้การต่อสู้นับครั้งไม่ถ้วนทั้งในเมืองเทียนเหลียง ตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ย สำนักต้นไหวในแดนใต้ และเมืองสวินหยางพิสูจน์เรื่องนี้ออกมาแล้ว

 

ที่หัวเรือเงียบเป็นเป่าสาก เหล่าผู้แข็งแกร่งที่มีระดับพลังเหนือกว่าเฉินฉางเซิงไปไกลพวกนั้น ได้ลองถามใจตัวเองดู ว่าจะสามารถใช้วิถีดาบของหวังผ้อได้หรือไม่ สุดท้ายก็ทำได้เพียงปฏิเสธขึ้นมา

 

บนสะพานหน่ายเหอ

 

เฉินฉางเซิงยังไม่ได้ใช้กระบี่ออกมา แต่เจตจำนงกระบี่ได้ออกมาแล้ว

 

เกล็ดหิมะที่ร่วงหล่นจากฟ้าได้กลายมาเป็นหยาดฝน รวมกันเป็นม่านน้ำ หยดลงมากระจัดกระจาย

 

หยาดฝนที่อยู่ใกล้กับเขา ก็ถูกความร้อนระเหยจนกลายเป็นไอออกมา แล้วปกคลุมให้ร่างกายของเขาอยู่ภายในนั้น

 

สวีโหย่วหรงยืนอยู่ท่ามกลางหิมะ แววตามีความสั่นไหว เผยให้เห็นสีหน้าที่เคร่งเครียด…ผ้าขาวบางบดบังใบหน้าของนางเอาไว้ หมอกฝนรบกวนสายตา แต่กลับไม่ได้ส่งผลกระทบถึงการรับรู้เจตจำนงกระบี่สายนี้ของนาง

 

นางชัดเจนเป็นอย่างมาก ถ้าหากเดินข้ามเส้นแบ่งตรงกลางสะพานหน่ายเหอเส้นนั้น ก็จะต้องเผชิญกับกระบี่ที่ไม่มีการออมแรงของเฉินฉางเซิง และก็จะต้องเป็นกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา

 

กระบี่นี้ จะต้องชี้ผลแพ้ชนะ

 

แน่นอน นางก็ยังคงยืนอยู่ท่ามกลางหิมะต่อ รอความเป็นไปได้ที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในภายหลัง แต่นั่นก็จะหมายความว่า เฉินฉางเซิงสามารถยกระดับเจตจำนงกระบี่ไปอยู่ในระดับที่น่าหวาดกลัวยิ่งกว่านี้

 

ถ้าหากว่าเขาสามารถทำได้

 

เฉินฉางเซิงเผาผลาญปราณแท้ของตนโดยที่ไม่ได้ออมไว้แม้แต่น้อย ใช้วิถีดาบของหวังผ้อที่ไม่เคยจะออมแรง บนสะพานหน่ายเหอกลางหิมะก็ได้ขีดเส้นที่แสนจะชัดเจนขึ้นมา

 

เขาขีดเส้นให้กับการประลองครั้งนี้

 

เขาให้สวีโหย่วหรงเลือก

 

ผ้าขาวบางปลิวไสวขึ้นเบาๆ

 

สวีโหย่วหรงหลับตาลง

 

หลังจากนั้น นางก็ลืมตาขึ้นใหม่อีกครั้ง

 

การลืมตาและหลับตา เป็นเพียงเรื่องที่เกิดขึ้นในชั่วขณะ

 

ในเวลาชั่วขณะนี้ นางมีการตัดสินใจของตัวนางแล้ว

 

แม่น้ำลั่วที่อยู่ใต้สะพานได้รับเกล็ดหิมะกับหยาดฝนไม่หยุด จึงสั่นไหวเบาๆ

 

เรือใหญ่ที่อยู่บนผิวน้ำที่ไกลออกไปลำนั้นเองก็สั่นไหวขึ้นเบาๆ

 

ร่างกายของจิตรกรผู้หนึ่งซึ่งมาจากหอความลับสวรรค์ที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดของหัวเรือก็สั่นไหวขึ้นมาอย่างกะทันหัน สีหน้าของจิตรกรอีกสองคนที่มาจากหอความลับสวรรค์ก็เกิดการเปลี่ยนแปลง

 

หลังจากนั้นก็เกิดเสียงดังขึ้นจนทำให้พวกเขาสั่นเทาอย่างตกตะลึงและไม่สงบ

 

“คือกระบี่นั่นหรือ”

 

“จะจบลงอย่างรวดเร็วขนาดนี้เลยหรือ”

 

จิตรกรทั้งสามคนล้วนเป็นผู้ที่อยู่ในขั้นรวบรวมดวงดาว ซึ่งไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุดที่อยู่ตรงนี้

 

แต่พวกเขาได้ดูและบันทึกการต่อสู้อันมีชื่อมานับไม่ถ้วน พวกเขาจึงไวต่อการเปลี่ยนแปลงในการต่อสู้เป็นที่สุด ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าใจว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นเป็นคนแรก

 

ที่ตามมา เหมาชิวอวี่ และพวกนักพรตซือหยวนก็เข้าใจแล้ว

 

บนแม่น้ำลั่ว พลันเงียบเป็นเป่าสาก

 

ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงเพราะเด็กสาวที่อยู่บนสะพานได้ลืมตาขึ้นอีกครั้ง

 

ผ้าขาวบางพลิ้วไหวขึ้นเบาๆ สายลมและเกล็ดหิมะกระจายขึ้นมา แต่กลับบดบังสายตาของนางเอาไว้ไม่ได้

 

มีแสงสีทองจางๆ สว่างขึ้นมา ลอยออกมาจากผ้าขาวบาง

 

แสงสว่างเหล่านั้นออกมาจากดวงตาของนางหรือ

 

กระบี่จำศีลก็สั่นไหวขึ้นมาเบาๆ ท่ามกลางสายลมและเกล็ดหิมะ เกล็ดหิมะที่ร่วงบนตัวกระบี่ถูกสะเทือนจนกลายเป็นหมอกควัน

 

สะพานหน่ายเหอครึ่งหนึ่งเป็นหมอกหิมะ อีกครึ่งหนึ่งเป็นหมอกฝน ราวกับมาอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆ ช่างไม่เหมือนโลกมนุษย์

 

สวีโหย่วหรงในยามนี้ก็ราวกับไม่ได้อยู่ในโลกมนุษย์

 

นางดูศักดิ์สิทธิ์น่าเกรงขามถึงเพียงนี้ ต่อให้เป็นคนที่ธรรมดาที่สุด ก็ยังสามารถรับรู้ได้ บนร่างของนางมีพลังชนิดหนึ่งที่ก้าวข้ามขอบเขตของโลกมนุษย์ไปแล้ว

 

มองดูภาพเหตุการณ์ที่อยู่บนสะพาน เหมาชิวอวี่กับนักพรตซือหยวน และราชันย์แห่งหลิงไห่พลันเผยสีหน้าที่ยากจะเชื่อออกมา ในเวลาเดียวกันก็พูดขึ้นด้วยเสียงอันสั่นเทา “เพลงกระบี่จรัสแสง?”