ตอนที่ 276-2 เปิดโปงเรื่องเก่า

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

ยายหรูราวกับรู้สิ่งที่นางคิดอยู่ในใจ หัวเราะเยาะเสียงหนึ่งว่า “ซ่งซื่อเจ้ากำลังคิดว่ายังมีคุณชายสี่สินะ หึๆ คุณชายสี่เพิ่งสิบสองสิบสามก็เสียพรหมจรรย์ หลายปีมานี้ยิ่งใช้ชีวิตเหลวแหลกอยู่ข้างนอก ไม่ต้องให้บ่าวลงมือเขาก็ย่ำยีร่างกายของตนจนพังแล้ว ซ่งซื่อเจ้ายังไม่รู้กระมัง เขาไม่อาจมีบุตรได้ตั้งนานแล้ว มิเช่นนั้นเจ้าเคยได้ยินข่าวเขาทำให้ผู้หญิงตั้งครรภ์หรือไม่” 

 

 

จิ้นหวังเฟยสิ้นหวังหมดแล้ว สีหน้าซีดเผือดถลาไปถึงหน้าท่านจิ้นอ๋องว่า “ท่านอ๋อง ท่าน ท่านต้องออกหน้าแทนข้า! เยี่ยเอ๋อร์พวกเขา… บ่าวเฒ่าคนนี้อำมหิตเกินไปแล้ว นางบังอาจลงมือกับบุตรของท่าน” ฟันของนางสั่นไปหมด 

 

 

ท่านจิ้นอ๋องกลับจ้องนางด้วยสายตาซับซ้อนว่า “เจ้าใส่ยาลับในเสื้อผ้าของข้า” เขาสีหน้าสงบ น้ำเสียงก็สงบยิ่งนัก 

 

 

ทว่าจิ้นหวังเฟยที่อยู่ใกล้ที่สุดในใจกลับเกิดหวาดกลัวขึ้นมา ปฏิเสธอย่างไม่รู้ตัวว่า “เปล่า ข้าเปล่า ท่านอ๋องท่านต้องเชื่อ ข้าเปล่านะ!” 

 

 

นางส่ายหน้าอย่างสุดชีวิต คิดจะถอยหลัง กลับถูกท่านจิ้นอ๋องบีบคางไว้ว่า “เปล่าหรือ แล้วเหตุใดอาการของเด็กคนนั้นถึงเหมือนยามโย่วเอ๋อร์คลอดออกมายิ่งนัก ซ่งซื่อ เจ้าพูดความจริง เจ้าบอกความจริงกับข้า ใช่เจ้าหรือไม่” 

 

 

ท่านจิ้นอ๋องสงบปานนั้น สงบจนแทบจะอ่อนโยน ทว่าจิ้นหวังเฟยกลับเหมือนเห็นผีร้ายอย่างไรอย่างนั้น หน้าถอดสีว่า “ไม่ใช่ข้า ไม่ใช่ข้า ไม่ใช่ข้าจริงๆ” นางคิดจะดิ้นให้หลุดจากพันธนาการกลับไม่กล้าขยับอีก 

 

 

“มารดาเจ้าสิเจ้าบอกความจริงข้ามา ไม่ใช่เจ้า เช่นนั้นเจ้าบอกข้าหน่อยว่าเด็กคนนั้นในเรือนเหยียนเอ๋อร์มันเรื่องอะไรกัน” ท่านจิ้นอ๋องตะคอกด้วยความโกรธทันที มือที่บีบคางหวังเฟยจิ้นก็ยิ่งออกแรง “ซ่งซื่อ เจ้าช่างเก่งจริงๆ แหย่ข้าเป็นลิงเจ้าได้ใจมากสินะ” เขาดูถูกนาง ราวกับกำลังมองของสกปรกอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

จิ้นหวังเฟยถูกเขาบีบจนร้องอย่างเจ็บปวด พยายามส่ายหน้าสุดชีวิต แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ดิ้นไม่หลุด เห็นสีหน้านางอดกลั้นจนเป็นสีเขียว จะหายใจไม่ออกแล้ว 

 

 

สวีเยี่ยและสวีเหยียนเห็นดังนั้นตกใจยกใหญ่ รีบเข้าไปห้ามว่า “เสด็จพ่อท่านรีบปล่อยมือ ท่านทำเช่นนี้จะบีบเสด็จแม่ตายได้” ทั้งสองคนไม่สนใจอย่างอื่นแล้วออกแรงแกะมือของท่านจิ้นอ๋อง ไม่รู้ว่าวันนี้ท่านจิ้นอ๋องเป็นอะไรมือหนักเป็นพิเศษ สวีเยี่ยและสวีเหยียนคนหนุ่มกำยำสองคนใช้แรงของวัวเก้าตัวบวกกับเสือสองตัวถึงช่วยจิ้นหวังเฟยออกมาได้ 

 

 

จิ้นหวังเฟยที่ได้รับอิสระจับคอของตนไว้แล้วไออย่างรุนแรง แววตาเหม่อลอย พูดไม่หยุดว่า “ไม่ใช่ข้า ไม่ใช่ข้า ท่านอ๋อง ไม่ใช่ข้าจริงๆ” พลางพูด พลางถอยหลังไป ลึกเข้าไปในดวงตาคือความหวาดกลัวอันลุ่มลึก 

 

 

ยายหรูเห็นฉากเช่นนี้ ใบหน้าเผยรอยยิ้มที่จะเศร้าก็ไม่เศร้าจะสุขก็ไม่สุข แล้วพูดเสียงดังว่า “กรรมตามสนอง กรรมตามสนองแล้ว! คุณหนู วิญญาณท่านบนสวรรค์เห็นหมดแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ บ่าวแก้แค้นให้ท่านแล้ว ซ่งซื่อจะสิ้นลูกสิ้นหลานแล้ว” นางแหงนหน้าขึ้นแผ่วเบา สายตามองทะลุผ่านความว่างเปล่า หยุดอยู่กลางอากาศ ราวกับคุณหนูของนางยืนอยู่ตรงนั้น 

 

 

เสิ่นเวยรู้สึกเศร้าใจยิ่งนัก เรียกเบาๆ ทีหนึ่งว่า “ยายหรู” 

 

 

สีหน้าสวีโย่วก็ดูไม่ดี “ยายหรู ท่านควรบอกข้าแต่แรก” ในฐานะบุตรชาย แก้แค้นแทนมารดาควรเป็นงานของเขา เขาพอจะรู้ว่าพิษที่ติดมาจากครรภ์ของเขาน่าจะหนีไม่พ้นจิ้นหวังเฟย ทว่าคิดไม่ถึงว่าความจริงจะเป็นเช่นนี้ มิน่าสายตาที่เสด็จปู่มองเขาถึงซับซ้อนเช่นนั้น 

 

 

ยายหรูกลับยิ้มแล้วว่า “คุณชายใหญ่ เรื่องแก้แค้นมีบ่าวก็พอแล้ว ท่านกับฮูหยินใหญ่ต้องอยู่อย่างมีความสุข คลอดหลานชายตัวอ้วนๆ ให้คุณหนู ต่อให้บ่าวไปถึงปรภพก็สบายใจได้แล้ว” นางจะบอกเขาได้อย่างไร คุณชายใหญ่น่าสงสารพอแล้ว นางจะทำใจให้เขาแบกรับภาระความแค้นที่หนักอึ้งเช่นนี้ได้อย่างไรอีก นางจะให้คุณชายใหญ่แบกชื่อเสียงอกตัญญูไว้ไม่ได้! 

 

 

สวีโย่วหลับตาลง ปิดบังความรวดร้าวภายใน ยื่นมืออุ้มยายหรูว่า “ยายหรู ข้าจะพาท่านไป เรากลับจวนผิงจวิ้นอ๋องกัน” สถานที่บ้าๆ นี่เขาไม่อยากอยู่แม้เพียงชั่วขณะเดียว “เจียงเฮยเจียงไป๋ ไปศาลบรรพชนเชิญป้ายวิญญาณของเสด็จแม่ออกมา” เสด็จแม่เขาก็คงไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อไปกระมัง 

 

 

สวีโย่วอุ้มยายหรูก้าวอย่างมั่งคงออกข้างนอก เสิ่นเวยตามอยู่ข้างๆ พลานุภาพที่แข็งแกร่งไม่อาจต้านบีบจนบ่าวไพร่ทั่วทั้งเรือนต่างถอยหลังไปตามๆ กัน แม้แต่ท่านจิ้นอ๋องก็งงเป็นไก่ตาแตก ยืนอึ้งอยู่ที่เดิม รอยามที่เขาได้สติกลับมา สวีโย่วก็เดินไปไกลแล้ว 

 

 

ยายหรูยังคงจากไป ท่านหมอหลิ่วใช้เข็มทองยืดเวลาได้สองวัน ยังคงไม่อาจรั้งนางไว้ได้ สองวันนี้ สวีโย่วเฝ้าอยู่หน้าเตียงยายหรูไม่ห่าง เสิ่นเวยตามอยู่ข้างกายเขาเงียบๆ ตลอดเวลา 

 

 

ยายหรูอมยิ้มที่มุมปาก ไปอย่างสงบยิ่ง สวีโย่วซุกศีรษะไว้บนตักเสิ่นเวย ไหล่สั่นเทิ้ม เสิ่นเวยถอนใจในใจทีหนึ่ง ยื่นมือกอดศีรษะเขาไว้เบาๆ คำพูดปลอบใจกลับพูดไม่ออกสักคำ 

 

 

สวีโย่วและเสิ่นเวยฝังยายหรูไว้ข้างสุสานต้วนซื่อเสด็จแม่ของพวกเขา พวกเขาตั้งป้ายกราบไหว้ด้วยตนเอง มองกระดาษเงินกระดาษทองที่ปลิวว่อนเต็มท้องฟ้า ในใจเสิ่นเวยเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก 

 

 

สวีโย่วกลับมาจากสุสานก็ล้มป่วย ไข้ขึ้นสูงมาก ร้อนจนหน้าแดงไปหมด ไม่ได้สติ ไม่เพียงท่านหมอหลิ่วมาแล้ว แม้แต่หมอหลวงในวังก็ตื่นตัวด้วย 

 

 

เสิ่นเวยเฝ้าเขาทั้งคืนอย่างไม่ละสายตา ยามฟ้าสางไข้ของเขาถึงลดลงได้บ้าง 

 

 

“ข้าป่วยอีกแล้วหรือ” สวีโย่วลืมตาขึ้น พูดอย่างอ่อนแรง “เจ้าเฝ้าข้าทั้งคืน” เขามองเสิ่นเวยที่เส้นเลือดฝอยกระจายเต็มตาเห็นชัดว่าไม่ได้นอนทั้งคืนแล้วความปวดใจแวบผ่านใบหน้า 

 

 

เสิ่นเวยกลับต่อว่าอย่างดีใจ “ท่านทำข้าตกใจแทบตาย” นางตกใจจริงๆ เมื่อก่อนมักได้ยินคนอื่นบอกว่าสวีโย่วสุขภาพไม่ดี เวลาประจันหน้ากับคนอื่นนางก็เอาเรื่องนี้มาพูดบ่อยๆ ทว่าในใจกลับไม่เคยเอามาเป็นเรื่อง เพราะตั้งแต่ที่นางรู้จักสวีโย่ว เขาก็มีท่าทางฉกาจฉกรรจ์อย่างไม่มีอะไรเทียบได้ โดยเฉพาะบนเตียง ราวกับมีพลังกายใจที่ใช้ไม่หมด ทุกครั้งล้วนบีบจนนางต้องขอให้ละเว้น เมื่อคืนทำให้นางตกใจเกือบตายจริงๆ 

 

 

สวีโย่วแย้มยิ้มอย่างซีดเซียวว่า “ข้าไม่เป็นไรแล้ว เจ้ารีบไปพักสักครู่เถอะ” 

 

 

เสิ่นเวยส่ายหน้าว่า “ท่านหิวแล้วสิ อยากกินอะไร ข้าจะสั่งห้องครัวทำให้ กินอะไรก่อนประเดี๋ยวยังต้องกินยาอีก” ท่าทางของสวีโย่วเช่นนี้นางวางใจไม่ลงจริงๆ นอนหลับลงที่ไหนกัน 

 

 

สวีโย่วเห็นดังนั้นจึงว่า “ยามนี้ข้ายังไม่หิว เจ้าเข้ามานอนเป็นเพื่อนข้าอีกหน่อยเถอะ” เขาตบตำแหน่งข้างตัว 

 

 

เสิ่นเวยคิดๆ ดูแล้ว จึงถอดรองเท้าปีนขึ้นเตียง นอนลงอย่างระมัดระวังข้ายกายสวีโย่ว สวีโย่วยื่นมือกอดนางเข้ามาในอ้อมกอด แล้วตบหลังนางเบาๆ เสิ่นเวยอ่อนเพลียมากอยู่แล้วจึงเข้าสู่แดนฝันอย่างรวดเร็ว ส่วนสวีโย่วก็หลับตาลงอย่างวางใจ 

 

 

สวีโย่วป่วยครั้งนี้รักษาอยู่ครึ่งเดือนจึงค่อยๆ ฟื้นตัว เสิ่นเวยวนเวียนอยู่รอบตัวเขาทุกวัน ไม่มีพลังกายใจไปสนใจเรื่องภายนอกแล้ว 

 

 

รอถึงยามที่สวีโย่วหายดีเป็นปลิวทิ้ง รายชื่อการสอบฤดูใบไม้ผลิก็ออกมาแล้ว ที่หนึ่งไม่ใช่บุรุษอัจฉริยะเว่ยจิ่นอวี๋ที่ชื่อกระฉ่อนเมืองหลวง หากแต่เป็นผู้เข้าสอบที่ไม่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ชื่อเซี่ยหมิงผู่ 

 

 

ยามที่เสิ่นเวยได้ข่าวนี้ยังงุนงงไปพักหนึ่ง แม้นางจะฝากความหวังอย่างใหญ่หลวงไว้ที่เซี่ยหมิงผู่ กลับรู้ว่าเหนือคนย่อมมีคนเหนือฟ้าย่อมมีฟ้า ไม่คิดว่าเจ้าเซี่ยหมิงผู่ผู้นี้จะบุกออกจากกองทัพนับพันนับหมื่นจริงๆ 

 

 

ที่สองคือผู้เข้าสอบท่านหนึ่งจากถนนเป่ยเจ๋อ อายุเกินสามสิบแล้ว ชื่อชุยจิ้ง 

 

 

ที่สามถึงจะเป็นเว่ยจิ่นอวี๋ซื่อจื่อหย่งหนิงโหว 

 

 

เสิ่นเซ่าจวิ้นก็สอบได้ไม่เลว ขั้นสองอันดับที่ยี่สิบสาม พี่เขยสามเหวินเทาก็อยู่ขั้นสอง ขั้นสองอันดับที่เจ็ดสิบเจ็ด ก็นับว่าไม่เลวแล้ว 

 

 

หลังจากการสอบระดับประเทศก็คือการสอบหน้าพระที่นั่ง ฮ่องเต้ยงเซวียนทรงแต่งตั้งสามอันดับแรกเป็นจอหงวน (อันดับหนึ่ง) ปั๋งเหยี่ยน (อันดับสอง) และทั่นฮวา (อันดับสาม) ด้วยองค์เอง 

 

 

จอหงวนก็คือเซี่ยหมิงผู่ ปั๋งเหยี่ยนคือชุยจิ้ง ทั่นฮวาคือเว่ยจิ่นอวี๋ 

 

 

ยามที่สามอันดับแรกขี่ม้าท่องเมืองครึกโครมไปทั้งเมืองหลวง นอกจากปั๋งเหยียนชุยจิ้งอายุมากเล็กน้อย จอหงวนและทั่นฮวาล้วนเป็นเด็กหนุ่มอายุน้อย ยิ่งกว่านั้นยังเป็นเด็กหนุ่มที่หน้าตาดีเป็นพิเศษ 

 

 

ใครๆ ก็รู้ว่าทั่นฮวาแต่งงานมีภรรยาแล้ว ทว่ายังมีจอหงวนมิใช่หรือ จวนต่างๆ ต่างเริ่มสืบประวัติของจอหงวน คิดจะดึงเขาเข้าพื้นที่ของตน 

 

 

วันที่ท่องเมืองนี้ เสิ่นเวยและสวีโย่วก็ไปดูความครึกครื้นเช่นกัน พวกเขาจองห้องส่วนตัวบนชั้นสองที่มีตำแหน่งดีที่สุดติดถนนไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว เสิ่นเวยชี้จอหงวนที่แต่งตัวด้วยสีสันสดใสเป็นมงคลนั่งตัวตรงบนม้า พูดเสียงเบากับสวีโย่วว่า “ดูสิ นั่นก็คือพี่ชายของฉาฮวา บุตรในสายโลหิตของตระกูลเซี่ยแห่งเจียงหนาน” 

 

 

สวีโย่วมองไปตามทิศทางที่นางชี้แล้วพูดออกมาประโยคหนึ่งว่า “เป็นอัจฉริยะบุคคล” เพิ่งอายุสิบเจ็ดก็ชิงจอหงวนมาได้ เห็นได้ว่ามีความรู้อย่างแท้จริง ยิ่งกว่านั้นเซี่ยหมิงผู่คนนี้ เสด็จลุงของเขาเพิ่งพูดถึงเขา ชมเขาไม่ขาดปาก บอกว่าบทความของเขาไม่เพียงประเสริฐยอดเยี่ยม ยิ่งกว่านั้นยังมีความหมายลึกซึ้งชัดเจน เป็นบุคลากรที่มองการณ์ไกล หากให้เวลาอีกหน่อยต้องเป็นเสาหลักของประเทศอีกคนหนึ่ง การประเมินเช่นนี้เรียกได้ว่าสูงมาก 

 

 

ข้างหน้าต่างอีกบานหนึ่ง ฉาฮวาเถาฮวาไม่กี่คนตื่นเต้นเหลือเกิน สะบัดผ้าเช็ดหน้าโบกมือให้ข้างล่างเป็นการใหญ่ ฉาฮวาตื่นเต้นจนหน้าแดงหมด หากไม่ใช่เหล่าแม่นางน้อยที่มุงดูต่างมีท่าทางเช่นนี้ นางต้องก่อให้คนอื่นเกิดความสงสัยเป็นแน่ 

 

 

พลังการเคลื่อนไหวของจวนต่างๆ รวดเร็วมาก ไม่นานก็สืบประวัติของจอหงวนอย่างหมดเปลือก อ้อ ที่แท้จอหงวนอายุน้อยท่านนี้เป็นคนอำเภอผิงหยางหรือนี่ เป็นบัณฑิตของโรงเรียนชิงซาน เป็นศิษย์นักปราชญ์ใหญ่ฉีเตี่ยน มิน่าอายุแต่น้อยก็สามารถชิงตำแหน่งจอหงวนมาได้ ที่ทำให้คนพอใจที่สุดคือบิดามารดาของจอหงวนเซี่ยท่านนี้เสียชีวิตทั้งคู่ อยู่ตัวคนเดียว ไม่มีเครือญาติสักคน จัดเป็นประเภทคนหนึ่งกินอิ่มไม่อดทั้งบ้าน 

 

 

เดิมทีสถานการณ์เช่นเซี่ยหมิงผู่นี้ล้วนทาบทามเรื่องแต่งงานได้ยาก ทว่านี่ถูกปากของตระกูลใหญ่เรืองอำนาจพอดี ไม่มีเครือญาติดียิ่ง รอแต่งงานแล้วก็ต้องสนิทชิดเชื้อใจเดียวกับบ้านภรรยามิใช่หรือ เช่นนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการแต่งบุตรเขยเข้าบ้านแล้วได้บุตรชายครึ่งคนมาเปล่าๆ ใครไม่ดีใจบ้าง ยิ่งกว่านั้นยังเป็นบุตรชายที่ดีเช่นจอหงวนหนุ่ม 

 

 

ดังนั้นขุนนางและผู้สูงศักดิ์ที่มีคุณสมบัติในการแย่งชิงต่างใส่ใจเหลือเกิน ใครๆ ก็อยากรับจอหงวนที่ถูกฝ่าบาทชื่นชมท่านนี้มาเป็นบุตรเขยบ้านตน ทว่าพวกเขาถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องเสียแรงเปล่า เพราะองค์หญิงสามที่เกิดจากโหรวเฟยก็ต้องตาจงหงวนท่านนี้เช่นกัน 

 

 

องค์หญิงสามปีนี้อายุสิบห้าแล้ว เดือนที่แล้วเพิ่งถึงวัยปักปิ่น**ตั้งแต่เห็นท่วงท่าอันสง่างามของจอหงวนเซี่ยบนถนนก็ตราตรึงใจมิลืมเลือน โหรวเฟยเป็นคนรักบุตรสาว ได้ยินการรายงานของนางกำนัลใหญ่ข้างกายบุตรสาว จึงส่งคนไปตรวจสอบจอหงวนเซี่ยท่านนี้ 

 

 

ได้ข้อมูลของจอหงวนเซี่ย โหรวเฟยพอใจเหลือเกิน จึงคิดจะทำให้บุตรสาวสมหวัง นางไม่ได้ไปขอร้องฮ่องเต้ยงเซวียนก่อน หากแต่ไปตำหนักคุนหนิงของฮองเฮา เดิมทีนางก็พึ่งพิงฮองเฮาอยู่แล้ว จะวางแผนเรื่องสมรสให้บุตรสาวย่อมไม่ควรข้ามหน้าฮองเฮา ยิ่งกว่านั้นเรื่องสมรสของเหล่าองค์ชายองค์หญิงเดิมทีก็ควรให้ฮองเฮามากังวลมิใช่หรือ 

 

 

ฮองเฮาก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้มากทีเดียว หากจอหงวนเซี่ยกลายเป็นราชบุตรเขยขององค์หญิงสาม ก็จะเป็นคนฝ่ายนางมิใช่หรือ ดังนั้นทั้งสองคนจึงไปขอร้องฮ่องเต้ยงเซวียนพร้อมกัน 

 

 

ฮ่องเต้ยงเซวียนแม้อัดอั้นบ้าง กลับรับปากอย่างไม่อ้อมค้อม บุคลากรที่โดดเด่นเช่นนี้ก็มีเพียงองค์หญิงถึงคู่ควรมิใช่หรือ 

 

 

ข้อกำหนดของราชบุตรเขยในรัชสมัยนี้ไม่เข้มงวดเหมือนรัชสมัยก่อน หากราชบุตรเขยไม่อยากไปกองราชพิธี อีกทั้งเจ้าตัวก็โดดเด่น จะรับตำแหน่งสำคัญในราชสำนักก็ย่อมได้ 

 

 

  

 

 

  

 

 

*ที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง เป็นคำเปรียบเปรยหมายถึง อยากปกปิดซ่อนเร้น กลับกลายเป็นเปิดเผยให้โลกรู้ 

 

 

**วัยปักปิ่น คือช่วงวัยของเด็กสาวที่มีอายุ 15 ปี ซึ่งถือเป็นวัยที่สามารถออกเรือนมีครอบครัวได้แล้ว โดยเด็กสาวจะต้องผ่านพิธีบรรลุนิติภาวะ ในพิธีเด็กสาวจะทำการรวบผมมัดเป็นมวยไว้กลางศีรษะ ผู้ใหญ่ของเด็กจะเชิญแขกผู้หญิงมาช่วยปักปิ่นผมให้กับเด็กสาวแสดงถึงว่าเด็กสาวคนนั้นเติบโตเป็นผู้ใหญ่พร้อมจะออกเรือนแล้ว