บทที่ 6 บทที่ 90 ไม่มีพลัง ไม่มีชั่วดี

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

ภายในห้องผ่าตัด หลงซีรั่วเหงื่อออกท่วมหัว แสงไฟที่สว่างจ้าทำให้เธอรู้สึกแสบตา ยากที่จะตั้งสติได้

 

ที่โชคดีก็คือที่นี่มีชุดอุปกรณ์ซึ่งออกแบบมาเพื่อรักษาปีศาจโดยเฉพาะอยู่อย่างครบถ้วน ทั้งยังมียาเตรียมพร้อมเอาไว้จำนวนมาก

 

แต่เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าการผ่าตัดปีศาจตนหนึ่งจะเป็นเรื่องยากลำบากขนาดนี้…รู้สึกเหมือนได้ย้อนไปในช่วงวัยรุ่นที่พยายามเดินผ่านด่านทดสอบทีละก้าวๆ อย่างสุดความสามารถ จนกระทั่งเหนื่อยล้าเต็มที่ถึงผ่านบททดสอบในการเป็นมังกรแท้จริง

 

ไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว หลงซีรั่วนั่งลงบนพื้นที่เย็นอย่างหมดแรง พิงโต๊ะผ่าตัดอ้าปากหายใจ

 

“ทำได้ถึงแค่…ขั้นนี้แล้ว” หลงซีรั่วอดยิ้มอย่างขมขื่นออกมาไม่ได้

 

หากเป็นก่อนหน้านี้หนึ่งวัน ถึงจะพูดไม่ได้ว่าบาดแผลนี้จะฟื้นคืนดังเดิมในทันที แต่อย่างน้อยเสี่ยวเจียงก็สามารถฟื้นขึ้นมาได้ภายในหนึ่งวัน…แต่ตอนนี้ เธอทำได้เพียงรักษาชีวิตของเสี่ยวเจียงเท่านั้น

 

พูดง่ายๆ ก็คือเสี่ยวเจียงยังไม่ข้ามผ่านขีดอันตราย

 

เธอมีสีหน้าเหมือนหมอมนุษย์มีชื่อเมื่อเผชิญหน้ากับผลลัพธ์ที่หมดทางช่วย แม้จะพยายามใช้ความสามารถทางการแพทย์อย่างเต็มที่แล้วก็ตาม ทำได้แค่พูดกับญาติคนไข้ว่า ‘ต้องดูที่ตัวเขาเองแล้วว่าคิดจะมีชีวิตอยู่ต่อหรือเปล่า’

 

“ฉันก็มีช่วงเวลาที่ไร้สามารถแบบนี้ด้วยงั้นเหรอ…”

 

ทันใดนั้นเธอก็ถามตนเอง ว่ามังกรแท้จริงในสภาพนี้ยังถือเป็นมังกรแท้จริงที่ปกป้องแผ่นดินเทพ…ได้อีกหรือ

 

 

เมื่อไฟในห้องผ่าตัดดับลง สีหน้าของชีสก็อดตึงเครียดไม่ได้…เวลาการรักษาในครั้งนี้นานจนเขาไม่อยากจะเชื่อ ด้านนอกใกล้สว่างแล้ว ใช้เวลาเกือบจะทั้งคืน!

 

“ใต้เท้าหลง ใต้เท้าหลง?” แต่ประตูก็ยังไม่เปิดออกเป็นเวลานาน ชีสทำได้เพียงส่งเสียงร้องถามออกไปอย่างร้อนใจ

 

“อย่าเสียงดัง! ฉันได้ยินแล้ว! เสี่ยวเจียงยังไม่ตาย แต่หากนายยังเสียงดังอีก บางทีเขาอาจจะตายในทันทีก็ได้ ให้เขาได้พักผ่อน!”

 

“ขอโทษครับ ผมร้อนใจไปหน่อย…” ชีสรีบกุมปากของตนเอง กลัวว่าจะส่งเสียง

 

แต่ประตูยังคงปิดกั้นอยู่

 

“ฉันถามนายสิว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมเสี่ยวเจียงถึงได้รับบาดเจ็บ? ใครเป็นคนลงมือ?” ทันใดนั้นหลงซีรั่วก็ถามเสียงเข้ม…แน่นอนว่ายังใช้น้ำเสียงที่แหบพร่า

 

“เป็น…เป็น…” ชีสลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ถอนหายใจและเอ่ยว่า “จุยเฟิงครับ”

 

“จุยเฟิง?” หลงซีรั่วขมวดคิ้วแน่นขึ้นมาอีกครั้ง “นายเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฉันฟัง ห้ามปิดบังอะไรเด็ดขาด ต้องพูดรายละเอียดทุกอย่างออกมาให้ชัดเจน!”

 

ครั้งนี้ไหนเลยชีสจะกล้าปิดบังอีก เขาพูดออกไปว่า “ตอนกลางวัน เสี่ยวเจียง นีนี่และผมพูดคุยกันเรื่องจุยเฟิงในสถานที่ที่พวกเราใช้เล่นกันเป็นประจำ ต่อมาเสี่ยวเจียงกับนีนี่จากไปก่อน ส่วนผมก็ออกไปหาอาหาร ผ่านไปไม่นาน ผมก็กลับมา แต่ตอนที่ผมกลับมาก็เห็นเสี่ยวเจียงล้มกองอยู่ที่พื้น ส่วนมือของจุยเฟิงเต็มไปด้วยเลือด…”

 

“ตอนนั้นนอกจากนายแล้วยังมีใครอีก?”

 

“ยังมีนกหวีดครับ!” ชีสพูดโดยไม่รู้ตัว…แต่ก็รู้สึกเสียใจที่พูดออกไปในทันที สัญชาตญาณบอกเขาว่าปล่อยให้หลงซีรั่วรู้เรื่องนกหวีดนั้นไม่ใช่เรื่องดี

 

“นกหวีด…เป็นใครกัน?” หลงซีรั่วส่งเสียงสงสัยดังเข้ามา

 

“นกหวีดเป็นสัตว์เลี้ยงที่ผมเพิ่งรับเลี้ยงเอาไว้” ชีสรีบเอ่ย

 

สัตว์เลี้ยงตัวหนึ่ง…สัตว์เลี้ยงตัวหนึ่งคงไม่สามารถทำร้ายเสี่ยวเจียงที่เป็นถึงปีศาจรุ่นสองให้บาดเจ็บได้ถึงขนาดนี้

 

หลงซีรั่วนิ่งเงียบอยู่ในห้องผ่าตัดไปครู่ใหญ่ “งั้นก็หมายถึง นายไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง ว่าจุยเฟิงเป็นคนลงมือใช่ไหม?”

 

“ผม…ผมไม่เห็น” ชีสรับรองจุดนี้ “แต่ แต่ก่อนหน้านี้จุยเฟิงคิดจะลงมือกับเสี่ยวเจียง…ครั้งหนึ่ง”

 

“พวกนายเคยพบเขาแล้ว? ไม่ได้บอกฉัน?” หลงซีรั่วถามเสียงเข้มขึ้นอีกครั้ง

 

ชีสก้มหน้าลงเอ่ยว่า “ผม…ผมคิดว่าสามารถพูดคุยดีๆ กับเขาได้ คิดไม่ถึง…”

 

“เอาล่ะ พักเรื่องนี้เอาไว้ก่อน” หลงซีรั่วรู้สึกเหนื่อยผิดปกติ…ร่างกายของเธอเริ่มทนไม่ไหวแล้ว รู้สึกเหนื่อยล้าจนเปลือกตาแทบจะปิด “นายกลับไปก่อน ส่วนเสี่ยวเจียงอยู่ที่นี่ ฉันจะดูแลเองสองวันนี้ ถ้าไม่มีเรื่องอะไรอื่นก็อย่ามารบกวนฉัน”

 

“แต่เสี่ยวเจียง…”

 

“หากเขาดีขึ้นจนเดินได้แล้ว ฉันยังต้องเปลืองอาหารเลี้ยงดูอยู่อีกเหรอ”

 

“ครับ…ผมรู้แล้ว” ชีสได้แต่พยักหน้า

 

“รอเดี๋ยว นายช่วยฉันส่งของอย่างหนึ่งไปที่เอลิเซียมบาร์ มอบให้กุยเชียนอีกับมือ!” ทันใดนั้นหลงซีรั่วก็ร้องเรียกชีสพร้อมสั่งการออกไป

 

 

 

เป็นครั้งแรกที่ชีสได้เข้ามาสถานที่แห่งนี้…สถานที่ที่ปีศาจโตแล้วเท่านั้นถึงจะมาได้…เอลิเซียมบาร์

 

กุ่ยอิงคนเฝ้าประตูที่มีสีหน้าน่ากลัวกำลังจ้องมองเขา…หากไม่ใช่เพราะในมือมีจดหมายของใต้เท้าหลง ก็ไม่รู้ว่าเจ้าคนที่เอาแต่เล่นมีดอยู่ตลอดเวลาคนนี้จะทำอย่างไรกับตัวเอง?

 

ชีสอดหดคอไม่ได้ ไม่กล้ามองอีก

 

แต่หลังจากกุยเชียนอีฉีกจดหมายและอ่านไปครู่หนึ่ง แล้วถึงเอ่ยขึ้นอย่างกะทันหันว่า “นายเป็นลูกของซูโย่วงั้นเหรอ”

 

“ใต้เท้ากุย ท่าน…ท่านรู้จักพ่อของผมเหรอครับ”

 

“ไม่รู้จัก” กุยเชียนอีส่ายหน้า “แต่ได้ยินชื่อ…กุ่ยอิง พาเขาลงไปดูแลให้ดี อย่าได้ละเลย”

 

ครั้งก่อนซูจื่อจวินมาที่นี่ พูดคำแรกก็ถามถึงร่องรอยของซูโย่ว ถึงตอนนี้กุยเชียนอีจะยังไม่แน่ใจ ว่าซูจื่อจวินกับซูโย่วนั้นมีความสัมพันธ์อะไรกัน เป็นมิตรหรือศัตรู…แต่เมื่อไม่เข้าใจสถานการณ์อย่างแน่ชัด การดูแลลูกของซูโย่วก็เป็นเรื่องที่ไม่ผิด

 

กุ่ยอิงทำตามคำสั่งโดยไม่พูดอะไร แต่ก็กลับมาอย่างรวดเร็ว “ท่านกุย ดูแลเจ้าเด็กคนนั้นด้วยปีศาจหนูสาวสองตน รับรองว่าจะต้องมีความสุขไม่รู้ลืม”

 

เขายังเป็นแค่เด็กคนหนึ่งนะ…

 

กุยเชียนอีมองกุ่ยอิงอย่างแปลกประหลาด เพราะความเข้าใจภาษาของเขามีปัญหาหรือว่าตัวเองแสดงเจตนาผิดวิธีกัน?

 

“เอาเถอะ ตามนั้นแหละ” แต่กุยเชียนอีก็อยู่ในเผ่าพันธ์ที่ขี้เกียจโดยกำเนิด อีกทั้งยังมีเรื่องต้องจัดการอีก จึงส่ายหัวและเอ่ยว่า “นี่คือคำสั่งจากใต้เท้าหลง นายฟังแล้วรีบไปจัดการ”

 

“ท่านกุยเชิญพูด”

 

กุยเชียนอีเอ่ยอย่างเป็นทางการว่า “นายลงไปติดประกาศให้คนของพวกเราติดตามปีศาจไฮยีน่าเด็กตนหนึ่งที่ชื่อว่าจุยเฟิง แต่ห้ามแพร่งพรายข่าวออกไป ต้องทำอย่างลับๆ และรวดเร็ว ห้ามลงมือฆ่า ให้จับมาเท่านั้น อีกอย่างเรื่องนี้…ห้ามให้ซุนเสี่ยวเซิ่งรู้”

 

“เข้าใจแล้ว”

 

กุ่ยอิงไม่คิดจะถามอะไรมาก เพียงแค่ทำตามคำสั่ง

 

เมื่อกุยเชียนอีมองเห็นกุ่ยอิงจากไปแล้วก็หรี่ตาลง จากนั้นก็จุดไฟเผาจดหมาย เขาหมุนเก้าอี้ นั่งลงและหลับตา…เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ถึงทำให้หลงซีรั่วไม่ลงมือเอง แต่กลับมาสั่งการให้เขาทำ?

 

แน่นอนว่ากุยเชียนอีไม่คิดจะไปศึกษาหาเหตุผล เขาเพียงแต่กำลังคิดคำนวณ ว่าบุญคุณครั้งนี้จะให้เขาได้รับประโยชน์อะไรจากหลงซีรั่ว

 

“นับตั้งแต่องค์หญิงออกไป พวกเรากับใต้เท้าหลงก็ไม่ค่อยได้ติดต่อกัน…จำต้องสร้างความสัมพันธ์ดีๆ แล้ว”

 

กุยเชียนอีถอนหายใจยาว “ไม่เป็นขุนนางแล้ว…อีกไม่นานก็เปลี่ยนเป็นปีถัดไป เป็นวันที่สองเดือนสองอีกครั้ง เวลาของมังกรทะยานฟ้า…”

 

 

 

“…สุดท้ายตอนที่ชีสไม่สงสัยคุณ คุณรู้สึกถึงอะไร?”

 

ภายในท่อระบายน้ำอันมืดมิด นกหวีดได้ยินเสียงที่สามารถพูดคุยกับตัวเองได้อีกครั้ง อีกทั้งครั้งนี้ยังคุยกันเป็นเวลานาน

 

มันครุ่นคิดถึงปัญหานี้ จากนั้นก็ตอบว่า “รู้สึกสบายขึ้น…นี่เรียกว่าอะไร?”

 

“นั่นเรียกว่าโล่งอก”

 

“โล่งอก…” นกหวีดพยักหน้า ทันใดนั้นก็ถามอีกว่า “แต่ทำไมฉันถึงมีความรู้สึกแบบนั้น?”

 

เสียงนั้นเงียบไปครู่หนึ่งก่อนตอบว่า “เพราะว่ากลัว”

 

“กลัว?” นกหวีดส่งเสียงที่แฝงความสงสัยและไม่เข้าใจออกไป “ทำไมฉันถึงกลัว?”

 

“เรื่องนี้คุณต้องคิดเอง แต่ตามสถานการณ์ปกติแล้ว กลัวก็เพราะกังวลว่าจะสูญเสีย”

 

“ฉันไม่เข้าใจ” นกหวีดส่ายหน้าเหมือนเดิม

 

“คุณเสียใจที่โจมตีเสี่ยวเจียงไหม?”

 

“ไม่”

 

“ทำไมครับ?”

 

“ฉันหิว”

 

“คุณยังจะกินชีสอีกใช่ไหม?”

 

“ใช่…ฉันรู้สึกเหมือนตอนนี้กำลังอดทนไม่กิน รอถึงเวลาไหนที่อดทนไม่ไหวแล้ว น่าจะเป็นเวลากินที่ดีที่สุด”

 

เสียงหายไปแล้ว

 

นกหวีดเริ่มปรับตัวให้เข้ากับเสียงที่ไปมาอย่างไร้ร่องรอยนี้ ไม่ได้กินเสี่ยวเจียง…งั้นก็กินอย่างอื่นแทน?

 

ในโลกใต้ท่อระบายน้ำแห่งนี้มีอาหารอยู่มากมาย