“น้องพี่!”
เมื่อได้ยินเสียงของอวี้เฟยเยียน ดวงตาที่มืดมนสิ้นหวังของตี้อู่เฮ่ออี้ก็แววแสงส่องประกายแห่งความหวังขึ้นมาอีกครั้ง
‘ในที่สุดอวี้เฟยเยียนมาเสียที!’
นางคือเพื่อนรักของเชียนเย่เสวี่ย บัดนี้เชียนเย่เสวี่ยถูกทำร้ายจนตกลงไปในแม่น้ำไม่รู้ชะตากรรม
‘ทว่าที่นี่มีจักรพรรดิอาวุโสอยู่ถึงสามคน การที่อวี้เฟยเยียนมามิเท่ากับเป็นการ รนหาที่ตาย ใช่ไหม?’
เมื่อคิดได้ดังนั้น ตี้อู่เฮ่ออี้ก็รีบร้องเตือนทันที
“น้องพี่ ที่นี่อันตราย! เจ้ารีบหนีไปเร็วเข้า!”
แต่ ตี้อู่เฮ่ออี้กล่าวยังมิทันจบ ซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนก็ขี่ม้าห้อตะบึงพุ่งตรงเข้ามา พริบตาพวกเขาก็มาถึงเบื้องของหน้าตี้อู่เฮ่ออี้และอวี้ซิงฉงเสียแล้ว
อวี้เฟยเยียนและซย่าโหวฉิงเทียนที่เดินทางผ่านมาทางนี้ได้ยินเสียงคนต่อสู้กัน เดิมทีพวกเขาไม่คิดจะสอดมือเข้ามายุ่งย่ามเรื่องของคนอื่นอยู่แล้ว นึกไม่ถึงว่ากลับได้ยินชื่อ ‘อวี้ซิงฉง’ ขึ้นมาเสียก่อน
เห็นอวี้ซิงฉงกำลังต่อสู้ด้วยความเหนื่อยล้าและยากลำบาก ข้างกายยังรายล้อมไปด้วยจักกรพรรดิอาวุโสอีกสามคนที่คอยจ้องจะเล่นงาน อวี้เฟยเยียนก็รีบกระโดดลงจากม้า เข้าโจมตีจักรพรรดิอาวุโสคนที่อยู่ใกล้สุ่ยเยว่เอ๋อร์ที่สุดก่อนทันที
“พวกเจ้าเป็นใคร?”
จู่ๆก็มีใครก็ไม่รู้โผล่ออกมา ทำเอาจักรพรรดิอาวุโสสองคนเริ่มหวาดกลัวลนลาน เพราะพวกเขานึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมีกำลังเสริม
สาวน้อยในชุดสีชมพูคือปราชญ์อาวุโส ไม่น่ากลัวเท่าไหร่นัก แต่ชายหนุ่มในชุดสีม่วงที่มาด้วยนั้นมีพลังอันกล้าแกร่ง เห็นได้ชัดว่าเขาคือราชาอาวุโส
คราวนี้ ลำบากแน่!
“ข้าเป็นใคร?” อวี้เฟยเยียนยิ้มเยือกเย็น
“พวกเจ้ากล้ารังแกพี่ชายของข้าถึงสองคน พวกเจ้าคิดว่าข้าคือใครละ?”
อวี้เฟยเยียนไม่พูดพร่ำทำเพลง ลงมือต่อสู้กับคนที่ถามขึ้นมาทันที ส่วนจักรพรรดิอาวุโสอีกสองคนจ้องมองซย่าโหวฉิงเทียนด้วยสายตาประหม่า
ประเมินจากวรท่าทางที่เห็นแล้ว จักรพรรดิอาวุโสทั้งสองคิดว่าซย่าโหวฉิงเทียนคือคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ในเมื่ออีกฝ่ายคือศัตรู เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรจะต้องเกรงใจกันอีกต่อไป คิดได้ดังนั้นจักรพรรดิอาวุโสทั้งสองจึงชักอาวุธออกมาแล้วพุ่งเข้าหาซย่าโหวฉิงเทียนทันที
“ท่านอ๋อง ระวัง!”
อวี้ซิงฉงเพิ่งจะได้สติกลับมาหลังจากที่เมื่อครู่กำลังตกตะลึงกับการปรากฏตัวของซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียน
แม้ว่าซย่าโหวฉิงเทียนจะมีชื่อเสียงโด่งดัง ว่าโหดเ**้ยมอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดินหลัวอวี่ ‘แต่ที่นี่คือเมืองอู๋โยว! ซย่าโหวฉิงเทียนจะเป็นคู่ต่อสู้ของจักรพรรดิอาวุโสสองคน?’
ซย่าโหวฉิงเทียนยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน และวินาทีที่จักรพรรดิอาวุโสทั้งสองคนตวัดกระบี่แทงเข้ามาหาเขานั่นเอง ซย่าโหวฉิงเทียนก็ใช้เพียงนิ้วชี้และนิ้วกลางหนีบที่ปลายกระบี่นั้นเอาไว้
“ปล่อยมือ!”
ไม่ว่าจักรพรรดิอาวุโสทั้งสองคนจะพยายามออกแรงมากเพียงไหน ก็ไม่อาจดึงกระบี่ออกจากมือของซย่าโหวฉิงเทียนได้
ขณะที่จักรพรรดิอาวุโสทั้งสองคนกำลังหมดเรี่ยวแรงคิดจะยอมแพ้นั่นเอง เสียง ‘พลั่ก’ ปลายกระบี่ของพวกเขาถูกซย่าโหวฉิงเทียนหักจนขาดสะบั้นด้วยปลายนิ้ว
“ฟี้ว——” ปลายแหลมของกระบี่กระเด็นออกจากมือของซย่าโหวฉิงเทียน
ยังไม่ทันที่ใครจะทันได้ตั้งตัว ก็ได้ยินเพียงเสียง ‘ฉึกๆ’ สองครั้ง ปลายแหลมของกระบี่พุ่งเข้าตัดหลอดลมของจักรพรรดิอาวุโสสองคนนั้นจนขาดสะบั้น
‘ปะเป็นไป…’
‘เป็นไปได้อย่างไร!’
แววตาของจักรพรรดิอาวุโสสองคนเต็มไปด้วยอาการตื่นตระหนกหวาดกลัว
‘คนผู้นี้สำเร็จขั้นอะไรกันแน่?’
เพียงแต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้ทำความเข้าใจเรื่องราวต่างๆนี้ ก็ ‘ตึ่ง’ ล้มตึงลง ขาดใจตายดวงตาเบิกโพลงไปเสียแล้ว
“ท่านอ๋อง…” อวี้ซิงฉงจ้องมองชายหนุ่มท่าทางสูงศักดิ์ตรงหน้าด้วยสายตาตกตะลึง
สองคนเมื่อครู่คือจักรพรรดิอาวุโสนะ!
เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้เขายังต่อสู้กับจักรพรรดิอาวุโสสองคนแทบเป็นแทบตาย แต่พอซย่าโหวฉิงเทียนมาถึง ก็สังหารพวกเขาภายในเวลาไม่กี่วินาที ชายผู้นี้ต้องเก่งกาจปานใดกันนะ?
“น้องเขย”
การเรียกขานว่า ‘ท่านอ๋อง’ จากอวี้ซิงฉง ทำให้ซย่าโหวไม่พึงพอใจเป็นอย่างมากเขาจึงเน้นย้ำอีกครั้ง
“น้อง…เขย…”
เมื่อได้ยินสรรพนามเรียกขานนั้น อวี้ซิงฉงจึงนึกขึ้นมาได้
“น้องพี่ น้องพี่!”
กระทั่งอวี้ซิงฉงหันกลับมา ก็เห็นจักรพรรดิอาวุโสล้มลงที่เบื้องหน้าอวี้เฟยเยียนและบนร่างของเขาก็ปรากฎตุ่มน้ำใสสีแดงขนาดเท่าเมล็ดทั่วทั้งร่าง
“หา——”
ทุกอย่างจบลงรวดเร็วปานนี้?
หากเป็นพวกเขาเหตุการณ์ตรงหน้าถือว่าเป็นเหตุการณ์คับขัน แต่เมื่อซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนมา ทั้งสองกลับสามารถจัดการทุกอย่างได้อย่างง่ายดาย?
‘มีอะไรเข้าใจผิดกันหรือเปล่า!’
“พี่ใหญ่ ท่านยังยืนอึ้งอยู่ทำไมกัน ซ้อใหญ่กำลังบาดเจ็บเลือดไหลไม่หยุดอยู่นะ!”
เมื่อเห็นอวี้ซิงฉงยังคงยืนตะลึงงันอยู่ที่เดิม อวี้เฟยเยียนก็ถึงกับพูดไม่ออก นางจึงรีบเข้าไปช่วยห้ามเลือดให้กับสุ่ยเยว่เอ๋อร์
“อาซ้อ อดทนหน่อยนะ!”
ได้ยินอวี้เฟยเยียนใช้สรรพนามเรียกตนเองว่า ‘อาซ้อ’ สุ่ยเยว่เอ๋อร์ถึงกับแก้มแดงด้วยความขวยเขิน ยังดีที่ใบหน้าของนางยังมีหน้ากากหนังมนุษย์ปกปิดอยู่อีกชั้น มิเช่นนั้นใบหน้าของนางคงจะแดงยิ่งกว่านี้ อาจจะแดงราวกุ้งลวกทีเดียว
“น้องเยียนเอ๋อร์ ขอบคุณเจ้ามากนะ!” สุ่ยเยว่เอ๋อร์เอ่ยขอบคุณเสียงอ่อนโยน หากมิใช่พวกของอวี้เฟยเยียนมาช่วยได้ทันเวลาละก็ พวกนางก็ไม่รู้ว่าจะจัดการกับสถานการณ์เช่นนี้อย่างไรดี
“ครอบครัวเดียวกันไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ!” อวี้เฟยเยียนเมื่อเห็นว่าสุ่ยเยว่เอ๋อร์บาดเจ็บไปทั่วร่างเนื้อตัวถลอกปอกเปิกก็นึกสงสารนางยิ่งนัก นางจึงพยามยามทำแผลอย่างเบามือที่สุด
ส่วนอวี้ซิงฉงที่ยืนมองอยู่ข้างๆด้วยสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย ครั้นเมื่อเห็นอวี้เฟยเยียนทำแผลให้กับสุ่ยเยว่เอ๋อร์ด้วยความชำนาญ เขาก็เข้าใจในสิ่งที่ตี้อู่เฮ่ออี้เคยกล่าวเอาไว้ก่อนหน้านี้ทันทีที่ว่า ‘อวี้เฟยเยียนวิชาแพทย์สูงส่ง’ ไม่ใช่การโอ้อวด แต่มันคือความจริง
“เยว่เอ๋อร์ เจ้าเจ็บมากไหม?” อวี้ซิงฉงเอ่ยถาม
“ไม่เจ็บเลยสักนิด! ยานี่เมื่อทาลงไป จะรู้สึกเย็นสบาย! ไม่เจ็บเลยสักนิด!”
สุ่ยเยว่เอ๋อร์พูดไปตามความจริง
ในตอนนี้นางจึงอยากที่จะรู้จักและใคร่รู้ในตัวสาวน้อยตรงหน้ายิ่งนัก
สาวน้อยตรงหน้ามีรูปโฉมงดงาม ท่าทางมีสง่าราศีเปล่งออกมา แม้นางจะอายุยังน้อย แต่กลับมีความสามารถถึงเพียงนี้!
ที่แท้แล้ว นางนี่เองคือน้องสาวของอวี้ซิงฉง!
ตลอดทางที่หลบหนีมา เชียนเย่เสวี่ยและสุ่ยเยว่เอ๋อร์พูดคุยกันในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอวี้เฟยเยียนมากมาย เชียนเย่เสวี่ยเอ่ยปากชื่นชมเพื่อนเพื่อนรักของตนเองไม่ขาดปาก พูดถึงแม้กระทั่งว่าหากตนเองเป็นผู้ชายละก็ จะต้องมีศึกชิงอวี้เฟยเยียนกับซย่าโหวฉิงเทียนให้รู้แพ้รู้ชนะไปเลย
เดิมทีสุ่ยเยว่เอ๋อร์ยังคิดไปว่า เชียนเย่เสวี่ยเพียงแค่พูดเล่นๆเท่านั้น จนกระทั่งได้มาพบกับอวี้เฟยเยียนตัวจริงด้วยตัวเอง สุ่ยเยว่เอ๋อร์ถึงได้เชื่อสิ่งที่เชียนเย่เสวี่ยพูดอย่างสนิทใจ
‘ผู้หญิงคนนี้ ใครเห็นใครก็หลงรัก!’
หลังจากที่ทำแผลให้กับสุ่ยเยว่เอ๋อร์เสร็จ อวี้เฟยเยียนก็เข้าตรวจสอบอาการของอวี้ซิงฉง เมื่อเห็นว่าเขามีเพียงบาดแผลภายนอกเท่านั้น นางถึงได้วางใจ
“พี่เฮ่ออี้ เสวี่ยละ?”
ในตอนนั้นเอง อวี้เฟยเยียนได้เอ่ยถามถึงเชียนเย่เสวี่ยขึ้นมา
เพราะตั้งแต่มาถึงนางยังไม่เห็นเชียนเย่เสวี่ยเลย ทำให้นางเกิดความสงสัยไม่น้อย
คำถามนี้ ทำเอาคนทั้งสามถึงหน้าสลดลงไปตามๆกัน เมื่อรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ อวี้เฟยเยียนจึงเดินเข้าไปหาตี้อู่เฮ่ออี้
“พี่ เกิดเรื่องอะไรขึ้น? เสวี่ยอยู่ที่ไหน?”
“น้องพี่ เสวี่ย เสวี่ย…”
เสียงของตี้อู่เฮ่ออี้ขาดห้วง ความเสียใจเริ่มถาโถมขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้เขาถึงพูดอะไรไม่ออก
“เสวี่ยเป็นอะไร?” เห็นสีหน้าท่าทางของตี้อู่เฮ่ออี้ อวี้เฟยเยียนก็ยิ่งแน่ใจว่าต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น
“ข้าพูดเองก็แล้วกัน!” อวี้ซิงฉงก้าวออกมาด้านหน้า แล้วเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้อวี้เฟยเยียนได้ฟัง
“ไม่!” อวี้เฟยเยียนแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเชียนเย่เสวี่ยจะพบเจอกับเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ได้
“เพราะข้าไม่ดีเอง! ข้าทำร้ายเสวี่ย!” ตี้อู่เฮ่ออี้ร้องไห้ระงม เสียงร่ำไห้ของเขาสลดหดหู่
เกิดเรื่องเช่นนี้กับเชียนเย่เสวี่ยทุกคนต่างก็เสียใจ เขายินดีที่จะให้ตนเองเป็นฝ่ายต้องตายแทน ก็จะไม่ให้คนรักของเขาต้องเป็นอะไร
“เสวี่ยจะต้องไม่เป็นอะไร! นางต้องไม่เป็นอะไร!”
อวี้เฟยเยียนสีหน้าไม่สู้ดีอย่างหนัก ร่างของนางสั่นเทิ้ม ปากก็เอาแต่พร่ำว่า ‘นางจะต้องไม่เป็นอะไร’ ทว่าหัวใจของอวี้เฟยเยียนลับโหวงเหวงว่างเปล่า ราวกับกำลังตกลงไปในบ่อน้ำแข็งที่เย็นยะเยือก
ฝ่ามือสองครั้งของจักรพรรดิอาวุโสสำหรับเชียนเย่เสวี่ยแล้วสาหัสเพียงใด อวี้เฟยเยียนรู้ดี ยิ่งกว่านั้นเชียนเย่เสวี่ยตกลงไปในแม่น้ำทั้งที่บาดเจ็บสาหัส พูดตามหลักความเป็นจริง เห็นทีจะเคราะห์ร้ายมากกว่าเคราะห์ดี
‘ซาซ่า พวกเราจะเป็นเพื่อนรักกันไปชั่วชีวิต!’
‘ซาซ่า เราไปฆ่าหูซากัน ข้าจะเป็นทัพหน้าให้เจ้าเอง!’
‘ซาซ่า รอให้ข้าจัดการเรื่องที่ฉินจื้อเสร็จเรียบร้อย พวกเราไปท่องยุทธภพด้วยกัน!’
คำสัญญาและเรื่องราวที่ผ่านมา ฉายซ้ำไปซ้ำมาที่เบื้องหน้าของอวี้เฟยเยียน ทำให้ดวงตาของอวี้เฟยเยียนเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา และไหลพรากลงมาในที่สุด