เช้าวันต่อมา
จางจื่ออันกำลังต้อนรับลูกค้าอยู่ในร้าน ก็เห็นคนหนึ่งเปิดประตูร้านเข้ามา ก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาพูดด้วยเสียงหยาบหนัก “เจ้าหนุ่มจาง ฉันมาแล้ว”
คนที่มาคือช่างเชื่อมจ้าวที่นัดกันไว้เมื่อวาน ข้างนอกมีรถสามล้อไฟฟ้าจอดอยู่คันหนึ่ง ในกระบะรถบรรจุวัสดุตกแต่งปรับปรุงต่างๆ ที่จำเป็นต้องใช้เอาไว้
จางจื่ออันมอบหน้าที่ต้อนรับลูกค้าให้พวกพนักงานร้าน ส่วนตัวเองเดินไปที่หน้าร้าน
“โห! ในร้านคนเยอะมากเลย…เจ้าหนุ่มจาง เธอไม่ต้องออกมาหรอก พวกเราทำงานเองได้ แค่จะมาบอกเธอก่อน” ช่างเชื่อมจ้าวพูด
“ได้ยังไงล่ะครับ” จางจื่ออันออกไปข้างนอกร้าน “ต้องการความช่วยเหลืออะไรหรือขาดคนไหมครับ”
เขากลับต้องประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นช่างไฟฟ้าอู๋มาด้วย
“เสี่ยวจาง ฉันก็มาช่วยด้วย” ช่างไฟฟ้าอู๋โบกมือทักทาย
เพื่อให้สะดวกต่อการทำงาน วันนี้พวกเขาสองคนจึงสวมชุดทำงานเก่าแต่ทนทาน ใส่ถุงมือป้องกัน สวมรองเท้ายางคู่ชาติจีน ท่าทางเหมือนตอนที่ทำงานอยู่ในโรงงานก่อนหน้านี้
จางจื่ออันแอบเกรงใจเล็กน้อย ในเมื่อพวกเขาไม่เอาเงิน เขาก็ตั้งใจจะเลี้ยงข้าวกลางวันพวกเขาที่ร้านอาหารแถวนี้สักมื้อเป็นการแสดงน้ำใจ ถึงอย่างไรก็เป็นหนี้น้ำใจคน
เขาให้หวางเฉียนไปขนน้ำแร่ลังหนึ่งมาจากร้านขายของชำข้างๆ วันนี้อากาศค่อนข้างร้อน พวกเขาสวมเสื้อผ้าหนา จะต้องเหงื่อออกมากแน่นอน
พอช่างเชื่อมจ้าวได้ยินว่าเขาจะเลี้ยงข้าวก็ตอบตกลงอย่างเริงร่า “ในบ้านเจ้าหนุ่มจางมีเหล้าไหม? เอาเหล้ามาขวดหนึ่ง ฉันยังไม่เคยกินเหล้ากับเธอเลย เหล้าในร้านอาหารมันแพงเกินไป!”
ช่างไฟฟ้าอู๋ขมวดคิ้ว “ตอนออกจากบ้านซ้อก็พูดแล้ว ให้นายกินเหล้าน้อยๆ หน่อยตอนอยู่ข้างนอก…”
“ไอ้หยา ขวดเดียวจะเป็นอะไรไป วันนี้อารมณ์ดี เจ้าหนุ่มจางเลี้ยงข้าวสักครั้ง ก็ต้องเป็นกรณีพิเศษสิ!” ช่างเชื่อมจ้าวพูดอย่างไม่ใส่ใจ “เหล่าอู๋ นายกลับไปก็อย่านินทาฉันล่ะ!”
ช่างไฟฟ้าอู๋ส่ายหน้า จนปัญญากับเขาแล้ว
จางจื่ออันนึกขึ้นได้ว่าในตู้เหล้าน่าจะยังมีเหล้าขาวที่พ่อเหลือทิ้งเอาไว้ ถึงอย่างไรเขาเองก็ไม่ดื่มเหล้า รอพวกเขาทำงานเสร็จแล้วค่อยให้พวกเขาเอากลับไปสองขวด นี่ก็เป็นการตอบแทนน้ำใจบ้างแล้ว
เขากลับไปควานหาบนชั้นสองของร้านสักพัก แล้วเลือกเหล้าขาวสองขวดออกมาจากตู้เหล้าตามอำเภอใจ ไม่น่าจะใช่เหล้าเกรดต่ำเกินไป เพราะตอนนั้นพ่อชอบดื่มแต่เหล้าราคาถูก อยากเก็บเหล้าดีๆ ไว้ดื่มคราวหลัง แต่ว่า…
เขาถอนหายใจ ก่อนจะหิ้วเหล้าลงมาข้างล่าง
หวางเฉียนหอบน้ำแร่ลังหนึ่งกลับมาแล้ว
พอเห็นเหล้าที่จางจื่ออันถืออยู่ ดวงตาของช่างเชื่อมจ้าวก็จับจ้องบนกล่องเหล้าไม่วางตา แล้วจุ๊ปากชมว่า “ใช้ได้นี่ ไอ้น้องจาง นี่เป็นเหล้าดีเลยนะ! เห็นระดับของเหล้าขวดนี้แล้ว ฉันก็ไม่คิดมากเรื่องที่เมื่อวานเธอกลับไปก่อนแล้วล่ะ”
“คุณลุงจ้าว คุณเอาเหล้ากลับไปกินเถอะครับ อย่ากินตอนกลางวันเลย คุณกินเหล้าแล้วยังต้องขี่รถไฟฟ้า จะเกิดอันตรายได้ง่ายนะครับ” จางจื่ออันแนะนำ “ผมจะเอาเหล้ากลับไปวางในร้านก่อน คุณเอาไปตอนขากลับก็แล้วกันครับ ส่วนคุณลุงอู๋…”
ช่างเชื่อมจ้าวยินดีทีเดียว เพราะเหล้าสองขวดนี้เป็นเหล้าชั้นดี เขาก็ตัดใจดื่มไม่ลงเล็กน้อย
“ไม่ต้องให้ฉันหรอก ฉันเลิกเหล้าไปนานแล้ว” ช่างไฟฟ้าอู๋โบกมือพัลวัน
“โอเคครับ”
จางจื่ออันกลับไปวางเหล้าในร้าน แล้วหมุนตัวเดินออกมา ก็เห็นช่างเชื่อมจ้าวกับช่างไฟฟ้าอู๋กำลังขนวัสดุตกแต่งปรับปรุงออกมาจากกระบะของรถสามล้อไฟฟ้า รวมถึงท่อนไม้สำหรับทำหน้าต่างและวัสดุที่ใช้ทาป้องกันน้ำ รวมถึงของจิปาถะอื่นๆ
“ผมช่วยขนนะครับ” จางจื่ออันพูด
“ไม่ต้องหรอก เจ้าหนุ่มจางไปขนบันไดมาสักอันก็พอแล้ว…ซี๊ด…” ช่างเชื่อมจ้าวเพิ่งหอบท่อนไม้ขึ้นมามัดหนึ่ง ก่อนจะหันมาพูดกับจางจื่ออัน แต่อยู่ๆ ก็แบะปาก สูดลมหายใจเย็นๆ เสียงดังซี๊ด
“คุณลุงจ้าวเป็นอะไรไปครับ”
จางจื่ออันถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นไร มือโดนข่วนเป็นแผลน่ะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่” มือของช่างเชื่อมจ้าวหิ้วท่อนไม้ด้วยท่าอุ้ม แล้วพูดราวกับจัดการทุกอย่างได้ “ไอ้หนุ่มจางไปหาบันไดเถอะ”
“เอ่อ…ถ้าไม่สะดวก ไว้ค่อยมาวันหลังก็ได้นะครับ ผมไม่ได้รีบร้อน” จางจื่ออันเสนอ
ช่างเชื่อมจ้าวโบกมือด้วยความรำคาญ “ไอ้หยา! ฉันไม่ใช่เด็กวัยรุ่นอ่อนแอเหมือนพวกเธอนะ ปวดหัวตัวร้อนก็ขอหยุดงาน ตะโกนว่าเจ็บก็ร้องโยเยอยากหาแม่…คนแก่อย่างพวกฉันเนี่ย อย่าว่าแต่มือโดนข่วนเป็นรูเลย ตอนนั้นก้นฉันเป็นฝี ต้องตัดทิ้งที่โรงพยาบาล เพราะได้ยินว่ามีสินค้าล็อตหนึ่งต้องเร่งทำให้เสร็จ ฉันนอนคว่ำบนเตียงผู้ป่วยสามวันก็ทำขั้นตอนขอออกจากโรงพยาบาลกลับมาทำงานแล้ว ทำสินค้าล็อตนั้นให้เสร็จตลอดทั้งคืน พวกเพื่อนกรรมกรถึงจะรู้ว่าตรงก้นกางเกงเปื้อนเลือด แต่ไอ้เลวพวกนั้นกลับถามฉันว่าใช่ประจำเดือนหรือเปล่า…”
เรื่องนี้เขาไม่ได้โม้จริงๆ ช่างไฟฟ้าอู๋ก็เป็นพยานยืนยันได้ว่ามีเรื่องแบบนี้จริงๆ สำหรับคนงานเก่าในโรงงานอย่างพวกเขา มือโดนข่วนเป็นรูเล็กนับว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่นับว่าเป็นการบาดเจ็บเลยด้วยซ้ำ
จางจื่ออันฟังแล้วต้องยิ้มอย่างจนใจ นี่ก็นับเป็นตราประทับอันมีเอกลักษณ์ของยุคสมัย ชื่อเสียงเกียรติยศของพวกเขาในยุคนั้นสำคัญยิ่งกว่าชีวิต ยากที่วัยรุ่นยุคนี้จะเข้าใจได้
คุณลุงสองคนนี้สวมถุงมือป้องกัน จางจื่ออันมองไม่เห็นอาการของแผล ในเมื่อช่างเชื่อมจ้าวบอกว่าไม่เป็นไร แค่รอยโดนข่วนนิดหน่อย งั้นก็ได้แต่ปล่อยเขาไป
สมัยที่พ่อแม่ของจางจื่ออันบริหารร้านขายสัตว์เลี้ยง รอยโดนแมวข่วนบนมือก็มีไม่เคยขาด บางครั้งลึกจนเห็นกระดูก แต่ยังทำงานตามปกติไม่ใช่เหรอ? เหมือนอย่างที่ช่างเชื่อมจ้าวพูด วัยรุ่นเดี๋ยวนี้อ่อนแอเกินไปจริงๆ
มีลูกค้าทยอยมาที่ร้านขายสัตว์เลี้ยงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงแฟนคลับภาพยนตร์ของเฟยหม่าซือด้วย ตอนนี้ในร้านขาดคน จางจื่ออันจึงบอกกับคุณลุงทั้งสองคน กำชับว่าต้องการอะไรก็บอกได้เลยอย่าเกรงใจ จากนั้นก็กลับไปช่วยในร้าน
เวลาทั้งเช้าผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทีแรกจางจื่ออันเจียดเวลาว่างไปดูข้างนอกอยู่สองครั้ง พอเห็นว่าพวกเขาสองคนทำงานร่วมมือกันอย่างดี ทุกอย่างราบรื่น ทั้งวัดขนาดเลื่อยท่อนไม้ ทั้งทาสีกันน้ำ พวกเขาก็ดำเนินงานไปได้อย่างเป็นระเบียบ ไม่ต้องให้เขาช่วยเพิ่มเติมเลยจริงๆ หากเขาเข้าไปยุ่งอาจจะยิ่งเป็นภาระ บวกกับในร้านก็ยุ่งมาก หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้ออกมาอีก
ตอนกลางวัน ก็เป็นเวลากินข้าวกลางวันแล้ว ลูกค้าในร้านและแฟนภาพยนตร์ค่อยๆ ซาลงในที่สุด จางจื่ออันกับพวกพนักงานร้านก็ได้พักกันเสียที
“เอ่อ…คุณลุงสองคนนั้นทำงานมาครึ่งวันแล้ว เดี๋ยวฉันจะออกไปเลี้ยงข้าวพวกเขา พวกนายสั่งข้าวกล่องของตัวเองมากินนะ” เขาพูดกับพวกพนักงานร้าน
หวางเฉียนกับหลี่คุนแสดงออกว่าอยากไปขอกินด้วยเหมือนกัน แต่เขากลับปฏิเสธอย่างไม่ไยดี
ลูกค้าสองสามคนสุดท้ายออกไปเป็นกลุ่มก้อน จางจื่ออันเพิ่งบิดขี้เกียจ กำลังคิดว่าร้านอาหารไหนแถวนี้เหมาะกับการเลี้ยงข้าว ตอนนี้เขาก็ได้ยินเสียงวุ่นวายดังมาจากหน้าประตูร้าน ยังได้ยินเสียงร้องตกใจของช่างไฟฟ้าอู๋ด้วย “เหล่าจ้าว! เหล่าจ้าว! นายเป็นอะไรไป เหล่าจ้าว!”
จางจื่ออันหัวใจบีบรัดอย่างแรง ก่อนจะสบตากับพวกพนักงานร้านครั้งหนึ่ง แล้วพุ่งไปข้างนอกร้านอย่างรวดเร็ว
ช่างเชื่อมจ้าวที่ก่อนหน้านี้ยังแข็งแรงเหมือนมังกรกับเสือ ตอนนี้กลับนั่งอยู่บนพื้นพร้อมหน้าซีดเผือดและเหงื่อออกเต็มหน้า หายใจหยาบหนักอย่างแรง ถ้าไม่ได้ช่างไฟฟ้าอู๋ประคองไว้ ก็อาจจะนอนทรุดลงกับพื้นไปแล้ว