บทที่ 839 ศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิง!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

ปรมาจารย์ขั้นดาวพระเคราะห์เช่นนั้นหรือ…ในห้วงจักรพิภพ หวังเป่าเล่อนั่งขัดสมาธิอยู่ในเรือบินรบเวทของเขาหลังจากที่ถอดเกราะมหาจักรพรรดิออก หลังจากที่นึกย้อนไปถึงฉากสถานการณ์ก่อนหน้า นัยน์ตาของชายหนุ่มก็ค่อยๆ หรี่ลง

ข้ายังต้องรออีกสักหน่อยจึงจะมีพลังพอสู้กับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ได้ หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ถึงเปลวเพลิงดารานิรันดร์ในกายและฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์ที่เขาหล่อเลี้ยงอยู่ แต่ชายหนุ่มก็ทำได้เพียงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่หลังจากนั่งไปสักพัก

เขารู้ดีว่าไม่ว่าเขาจะหล่อเลี้ยงฝ่ามือนั้นดีเพียงใด มันก็จะมอบพลังให้เขาได้มากที่สุดเพียงแค่เสี้ยวหนึ่งของพลังระดับดาวพระเคราะห์เท่านั้น หวังเป่าเล่ออาจใช้มันเพื่อหลบหนีหรือรับการโจมตีจากผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ได้เพียงไม่กี่ครั้ง แต่หากต้องการสังหารคู่ต่อสู้ หรือต่อสู้กันได้อย่างสูสี ก็คงจะเป็นการยากยิ่ง

นอกเสียจาก…ข้าจะหลอมกระดูกมือของหลี่อู๋เฉินได้…นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกาย ตอนนี้กระดูกมือของหลี่อู๋เฉินในชาติก่อนผสานรวมกับเกราะจักรพรรดิของเขาอยู่ ชายหนุ่มสามารถใช้กระดูกนั้นเป็นไพ่ตายได้ เพราะอย่างไรเสีย มันก็มีระดับพลังใกล้เคียงอาวุธเทพมากไปแล้ว

ทว่าหวังเป่าเล่อได้ทดลองแล้วระหว่างที่เดินทางกลับมา แต่เปลวเพลิงดารานิรันดร์ของเขายังไม่มั่นคงแถมยังน้อยเกินไป มันอาจใช้หลอมฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์ได้ แต่เป็นการยากยิ่งที่จะใช้เปลวเพลิงเดียวกันนี้ในการหลอมกระดูกมือของหลี่อู๋เฉินจากชาติปางก่อนให้ปลดปล่อยพลังดั้งเดิมออกมา

เท่านี้ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าพลังปราณของหลี่อู๋เฉินในชาติก่อนนั้น…ต้องอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์เป็นอย่างต่ำ หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบไปชั่วอึดใจก่อนจะเก็บความคิดการหลอมกระดูกมือของหลี่อู๋เฉินเอาไว้ ชายหนุ่มปิดตาลงทำสมาธิ พลางคิดถึงแผนการณ์ของเขาเมื่อกลับไปถึงสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์

เวลาผ่านไปเช่นนั้นอย่างแช่มช้า หลังจากนั้นสองวัน เรือบินรบเวทของหวังเป่าเล่อที่ไม่พบอุปสรรคใดๆ ก็เดินทางกลับมาถึงอาณาเขตของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ ชายหนุ่มไม่ได้แวะไปคำนับปรมาจารย์มหาทัณฑ์ก่อน แต่มุ่งหน้ากลับไปยังกองทหารผ่าวิญญาณเลยแทน

เมื่อหวังเป่าเล่อจากไปในตอนแรก เขาได้ทิ้งหุ่นเชิดเอาไว้มากมาย พร้อมออกคำสั่งให้พวกมันสร้างฐานที่มั่นให้เขา ดังนั้นเมื่อเขากลับมาถึง ความรกร้างว่างเปล่าในตอนแรกจึงหากไป และมีสิ่งปลูกสร้างปกคลุมอยู่ทั่วเฉกเช่นเดียวกับที่ฐานที่มั่นของกองทัพควรจะมี อีกทั้งชายหนุ่มยังมองเห็นหุ่นเชิดจำนวนมหาศาลที่ยังง่วนอยู่กับการก่อสร้าง

ในขณะเดียวกัน จำนวนเรือบินรบที่ถูกหลอมขึ้นมาในช่วงนี้ก็พุ่งเฉียดหมื่นลำ ทำให้ฐานที่มั่นของหวังเป่าเล่อขณะนี้ดูทรงพลังยิ่ง

แน่นอนว่า ระดับของเรือบินรบนั้นแตกต่างกันออกไป เพราะอย่างไรเสีย วัตถุดิบที่มีก็ยังขาดแคลน ส่งผลให้ต้องใช้วัตถุดิบระดับต่ำลงมาเพื่อหลอมเรือบินรบ แต่ถึงอย่างนั้น หวังเป่าเล่อก็ยังพึงพอใจไม่ใช่น้อย

ดังนั้น หลังจากที่ตรวจตราเสร็จ หวังเป่าเล่อก็เมินเจ้าอู๋น้อยและเจ้าลาที่กำลังวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน ก่อนจะไปนั่งขัดสมาธิอยู่คนเดียวในห้องลับ หลังจากที่เรียบเรียงความคิดเสร็จสรรพ หวังเป่าเล่อก็ไม่เสียเวลา รีบยกมือขวาขึ้นมาทันที ก่อนจะโบกเรียกแผ่นหยกออกมาแผ่นหนึ่ง ทันทีที่แผ่นหยกปรากฏขึ้น ชายหนุ่มก็รีบส่งข้อความแจ้งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เพื่อท้าสู้กับกองทหารระดับสูงทันที!

“กองทหารผ่าวิญญาณต้องการท้าสู้กับกองทหารอันดับสอง!”

หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าคงเป็นเรื่องยากที่จะท้าสู้กับกองทหารอันดับหนึ่งของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์และเอาชนะได้ และก่อนหน้านี้ผู้บัญชาการของกองทหารอันดับสี่ก็ปฏิบัติกับเขาอย่างดีงาม หนำซ้ำหวังเป่าเล่อย่อมไม่ท้าสู้กับกองทัพของเทพธิดาหลิงโยวที่อยู่อันดับห้าแน่

ดังนั้นจึงเหลือเพียงกองทหารอันดับสามและสองเท่านั้น ชายหนุ่มคงจะเสียหายบ้างจากการท้าสู้นี้ แต่หวังเป่าเล่อไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้ จึงตัดสินใจท้าสู้กับกองทหารอันดับสองทันที

หลังจากที่ชำระค่าใช้จ่ายเสร็จเรียบร้อย ก็ยังต้องจัดการเอกสารการสมัครเพื่อท้าประลองอีกระยะหนึ่งเพราะมีผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะเข้ามาเกี่ยวข้อง ขณะที่หวังเป่าเล่อเฝ้ารอผลลัพธ์อยู่นั่นเอง ข่าวเรื่องการต่อสู้ระหว่างเขากับผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำก็ค่อยๆ แพร่ออกไปและสั่นคลอนบรรยากาศภายนอกอย่างช้าๆ

เป็นการยากยิ่งที่จะปกปิดข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวการปะทะกันครั้งนั้น เพราะอย่างไรเสียก็มีผู้ฝึกตนจากขั้วการเมืองอื่นที่เห็นการต่อสู้ในอวกาศไกลโพ้น ในเวลาเดียวกัน คลื่นพลังแทรกแซงที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้ก็ยิ่งใหญ่มาก การต่อสู้กันระหว่างผู้ที่อยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะย่อมดึงดูดความสนใจของคนอื่นๆ เป็นธรรมดา โดยเฉพาะเมื่อคิดว่าพลังปราณของอดีตผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกถึงกับเสียหาย ทำให้ข่าวที่ออกมายิ่งน่าตื่นตาตื่นใจเข้าไปอีก

“หลงหนานจื่อกลับมาอย่างยิ่งใหญ่! เขาทำลายพลังปราณของรองผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำเสียยับเยิน!”

“หลงหนานจื่อไปพบโชคก้อนใหญ่ในต่างแดน ทำให้พลังปราณรุดหน้าไปไกลลิบ จนบรรลุจากขั้นเชื่อมวิญญาณไปเป็นขั้นจิตวิญญาณอมตะเสียเฉยๆ!”

“สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์มีผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะเพิ่มอีกคนแล้ว!”

“พอหลงหนานจื่อกลับมา เขาก็เข้าไปสู้กับสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ แถมยังได้เปรียบอีกด้วย!”

ข้อมูลต่างๆ แพร่กระจายออกไปอย่างช้าๆ ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ แน่นอนว่า ต้องมีผู้ฝึกตนในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ได้ยินข่าว อันที่จริงแล้ว สิ่งที่พวกเขารู้นั้นยิ่งแม่นยำกว่าข่าวลือจากโลกภายนอกเสียอีก

เหตุการณ์นั้นทำเอาบรรดาผู้ฝึกตนจากสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ถึงกับตัวสั่น ยิ่งไปกว่านั้น ภายในสำนัก ข่าวเรื่องกองทหารผ่าวิญญาณไปท้าสู้กับกองทหารอันดับสองก็แพร่กระจายออกไป ทำให้สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เริ่มคึกคักขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

ไม่เพียงผู้ฝึกตนที่อยู่ในขั้นต่ำกว่าจิตวิญญาณอมตะเท่านั้นที่สนใจ ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะเองก็เริ่มจับตามองข่าวนี้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น เทพธิดาหลิงโยวเองก็เดินทางออกจากดาวเคราะห์ของนางแล้วมุ่งหน้าไปยังกองทหารผ่าวิญญาณเพื่อพบหวังเป่าเล่อทันทีที่ทำได้

พวกเขาพบกันเพียงสามสิบนาทีเท่านั้น เมื่อเทพธิดาหลิงโยวจากมา กองทหารลำดับที่ห้าของนางก็ประกาศออกไปทันทีว่าเทพธิดาหลิงโยวจะขอเป็นพาหนะให้กองทหารผ่าวิญญาณด้วยความตั้งใจของนางเอง สถานะของหวังเป่าเล่อจึงเทียบเท่ากับเทพธิดาหลิงโยวในกองทหารของนางเอง ในเวลาเดียวกัน นางก็ประกาศอีกว่ากองทหารของนางได้สร้างความสัมพันธ์อันลึกซึ้งยิ่งขึ้นกับกองทหารผ่าวิญญาณและจะขอเคลื่อนไหวไปพร้อมๆ กันนับแต่นี้!

และหลังจากที่เทพธิดาหลิงโยวจากไป ผู้บัญชาการของกองทหารอันดับสี่ ผู้ที่เคยนอนหลับใหลอยู่บนด้วงเกราะดำใกล้เขตชายแดนและช่วยหวังเป่าเล่อไว้ก่อนหน้านี้ ก็ระเบิดเสียงหัวเราะก่อนจะครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ หลังจากนั้น เขาก็จัดแจงให้ลูกน้องนำของขวัญชิ้นใหญ่ไปมอบให้กองทหารผ่าวิญญาณ

แค่นั้นก็แสดงความเป็นมิตรของเขาได้เป็นอย่างดี!

ทั้งหมดนี้ทำให้ชื่อหลงหนานจื่อเป็นที่กล่าวขวัญถึงไปทั่วอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ในขณะนั้น หวังเป่าเล่อ ผู้ซึ่งถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดจากทุกๆ ขั้วอำนาจ ก็กำลังถือแผ่นหยกและส่งผู้ฝึกตนคนหนึ่งออกไปยังอวกาศ

ผู้ที่ชายหนุ่มกำลังน้อมส่งไปนั้น คือรองผู้บัญชาการกองทหารอันดับสี่ ผู้อยู่ในขั้นแสร้งอมตะและมีพลังปราณที่ยอดเยี่ยม

แผ่นหยกนั้นเป็นของขวัญที่ผู้บัญชาการกองทหารอันดับสี่ส่งมาให้ ภายในจุไปด้วยข้อมูลโดยละเอียดของกองทหารอันดับสอง

กองทหารวงแหวนกาลเวลา…ชื่อนี้โดดเด่นดีแท้ หลังจากที่หวังเป่าเล่อตรวจสอบแผ่นหยกและเปรียบเทียบข้อมูลกับสิ่งที่เทพธิดาหลิงโยวบอกและสิ่งที่เขารู้อยู่ก่อนแล้ว ชายหนุ่มก็เริ่มรู้ได้รางๆ ว่ากองทหารอันดับสองแห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์นั้นเป็นเช่นไร

ผู้บัญชาการกองทหารอันดับสอง ศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิงมีตบะอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลาง และมีผู้ฝึกตนขั้นแสร้งอมตะเป็นลูกน้องถึงห้าคน ยิ่งไปกว่านั้น วิธีการพัฒนาของพวกเขาก็แตกต่างจากกองทหารอันดับหนึ่ง กองทหารวงแหวนกาลเวลาไม่มีหน่วยย่อย แต่รวมกำลังพลทั้งหมดเอาไว้ในกองทัพใหญ่! เมื่อคิดไปพลางเทียบข้อดีข้อเสียไป หวังเป่าเล่อก็ได้บทวิเคราะห์เล็กๆ เอาไว้ในใจ

เป้าหมายหลักของการต่อสู้นี้ไม่ใช่ศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิงแต่คือผู้ฝึกตนขั้นแสร้งอมตะทั้งห้า! หวังเป่าเล่อหลุบศีรษะลงมองที่อุ้งมือ เมื่อชายหนุ่มพลิกฝ่ามือครั้งหนึ่ง แหวนห้าวงมาปรากฏอยู่บนนั้น

แหวนทั้งห้าวงมีสีแตกต่างกัน เทพธิดาหลิงโยวทิ้งไว้ให้เขาเมื่อนางมาเยือน เมื่อชายหนุ่มสังเวยแหวนทั้งห้านี้ เขาก็จะสามารถผนึกผู้ฝึกตนขั้นแสร้งอมตะทั้งห้าไว้ได้สองชั่วโมง!

น่าสนใจดีนี่ ดูเหมือนว่ายังมีผู้ที่เกลียดกองทหารลำดับหนึ่งอยู่มากพอดู เทพธิดาหลิงโยวก็ให้แหวนปิดผนึกกับข้า ขณะที่กองทหารอันดับสี่ก็ส่งข้อมูลเบื้องลึกมาให้ แม้ว่าทั้งหมดนี้จะแสดงความใจดี แต่พวกเขาก็ทำเพราะรู้ดีว่าเป้าหมายของข้าคือกองทหารอันดับหนึ่ง พวกเขาต้องการให้ข้าไปสู้ให้กองทหารอันดับหนึ่งอ่อนกำลังลง ประกายกล้าฉายชัดอยู่ในแววตาของหวังเป่าเล่อ ความชาญฉลาดของชายหนุ่มทำให้เขาอ่านลูกไม้นี้ออกได้ไม่ยาก

เอาอย่างนั้นก็ได้ พวกเราทุกคนต่างก็มีเป้าหมายของตนเอง! หวังเป่าเล่อฉีกยิ้ม ชายหนุ่มเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงแหงนคอขึ้นมองฟ้า ขณะที่แหงนหน้าขึ้นนั้น ท้องฟ้าก็ส่งเสียงครั่นครืนสนั่น ก่อนจะมีหลุมดำขนาดมหึมาปรากฏออกมาจากสรวงสวรรค์ ดูคล้ายอุโมงค์ แล้วจึงมีเสียงทุ้มต่ำดังลั่นออกมา กระจายไปทั่วดาวเคราะห์ที่กองทหารผ่าวิญญาณตั้งอยู่

“คำท้าต่อสู้จากกองทหารผ่าวิญญาณถึงกองทหารวงแหวนกาลเวลาได้รับการรับรองแล้ว การต่อสู้จะเริ่มขึ้นในสิบลมหายใจ!”

เร็วขนาดนั้นเชียว หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ก่อนจะพุ่งทะยานออกไปด้วยการหมุนตัวเพียงครั้งเดียว ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้น เกราะมหาจักรพรรดิพุ่งเข้าสวมกายเขาเอาไว้ ก่อนที่พลังปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะจะปะทุออกมา เงาร่างของเขาไม่ได้หยุดนิ่ง แต่เคลื่อนไหวพุ่งตรงเข้าไปยังหลุมดำบนท้องฟ้าราวกับเป็นดาวหาง!

เขาพุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็วก่อนจะหายไปในพริบตา

เมื่อปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง หวังเป่าเล่อก็มาอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของดาวเคราะห์มหาทัณฑ์ ชายหนุ่มมาปรากฏตัวอยู่บนพื้นที่รกร้างที่เต็มไปด้วยสะเก็ดดาว

มีสะเก็ดดาวอยู่ดาษดื่นทั่วบริเวณ แถมยังกระจายออกไปรอบนอกอีกด้วย หากมองจากที่ไกลๆ ก็ดูคล้ายกับจะเป็นทะเลสะเก็ดดาว ที่นี่คือฐานที่มั่นของกองทหารวงแหวนกาลเวลา บนสะเก็ดดาวแต่ละชิ้นก็มีฐานที่มั่นเล็กๆ ตั้งอยู่ และในตอนนั้น ผู้ฝึกตนที่สวมชุดสีดำจำนวนมากก็กำลังยืนจ้องหวังเป่าเล่อเขม็งอย่างเยือกเย็น

เมื่อได้เห็นสถานที่นี่ แค่จำนวนผู้ฝึกตนก็นับไม่ถ้วนแล้ว ไหนจะเรือบินรบที่ลอยอยู่ระหว่างสะเก็ดดาวอีก ราวกับว่ามันเป็นเส้นเขตแดนที่ปิดผนึกทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ก็ไม่ปาน!

โดยเฉพาะในบรรดาผู้ฝึกตนจำนวนนับไม่ถ้วน มีรัศมีห้าสายที่สั่นคลอนทั้งสวรรค์แล้วพื้นพสุธาราวกับเป็นดวงจันทร์ทั้งห้ารวมอยู่ด้วย รัศมีเหล่านั้นคือพลังรบกวนระดับแสร้งอมตะ ซึ่งมีรัศมีการทำลายล้างพอๆ กับพลังอันเหลือล้น และบนสะเก็ดดาวตรงกลางระหว่างรัศมีทั้งห้านั้น ก็มีชายวัยกลางคนนั่งขัดสมาธิอยู่ เขาสวมชุดสีขาวโพลนและมีผมยาวเต็มศีรษะ บุรุษผู้นั้นดูสง่า แต่ในมือข้างหนึ่งกลับถือกระดูกอสูร และกกำลังเปิดปากแทะกินคำแล้วคำเล่า

ภาพนี้ปรากฏในคลองจักษุของหวังเป่าเล่อ ทำให้ชายหนุ่มหรี่ตาเล็กน้อย ก่อนจะยกมือประสานขึ้นไปทางบุรุษในชุดสีขาวพร้อมโค้งให้เล็กน้อย

“ข้าน้อยคารวะศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิง”

“หลงหนานจื่อ เจ้ากล้ามานั่งจิบเหล้ากับข้าสักหน่อยไหมเล่า” ศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิงพยักพเยิด มีประกายประหลาดปรากฏขึ้นในแววตา ก่อนที่ชายวัยกลางคนจะแสยะยิ้มขึ้นมาพลางพูดเชื้อเชิญ

………………………