ตอนที่ 1784 เสียงกระซิบจากหอนาฬิการาตรี

อัจฉริยะสมองเพชร

อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆

ตอนที่ 1784 เสียงกระซิบจากหอนาฬิการาตรี

1784 : เสียงกระซิบจากหอนาฬิการาตรี

หิมะโปรยปรายอย่างเงียบเชียบที่อาณาบริเวณเหนือสุดของทวีปแห่งปรมาจารย์

หอนาฬิกาเก่าแก่ยืนตระหง่านอยู่กลางดินแดนที่ปกคลุมด้วยหิมะนักผจญภัยมากมายนับไม่ถ้วนรวมตัวกันอยู่ใต้หอนาฬิกาเก่าแก่นั้น

มันคือหนึ่งในหกอาณาจักรใต้ดินใหญ่ คืออาณาจักรใต้ดินแห่งทะเลเยือกแข็ง โดยปกติจะมีผู้คนไปเยือนที่นั่นน้อยมาก แต่หลังจากที่เผ่าพันธุ์ปีศาจล่าถอยจากอาณาจักรใต้ดินแล้ว บริเวณนี้ก็กลายเป็นพื้นที่ซึ่งเป็นสื่อกลางการค้าขายแลกเปลี่ยน นักรบมากมายผ่านไปมาให้เห็นทุกวัน

ก็เหมือนกับอาณาจักรใต้ดินแห่งอื่น อาณาจักรใต้ดินแห่งทะเลเยือกแข็งมีเจตนาสังหารเข้มข้นอบอวลอยู่ เมื่อรวมเข้ากับพระจันทร์สีเลือดที่ลอยสูงเด่นอยู่กลางท้องฟ้า ก็มีอานุภาพสังหารสิ่งมีชีวิตทุกรูปแบบที่เพ่นพ่านอยู่บริเวณนั้น แต่พืชหายากมากมายที่ไม่ปรากฏในทวีปแห่งปรมาจารย์ก็ยังฝังรากลึกและเติบโตได้แม้จะมีสภาพแวดล้อมที่แปลกประหลาดและอยู่รอดได้ยาก พืชเหล่านั้นเป็นยาสมุนไพรล้ำค่า ทั้งยังเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาชั้นยอดสำหรับการหลอมอาวุธระดับสูง ทำให้พวกมันมีค่ามาก

เพื่อเสาะหาพืชเหล่านี้ เหล่านักผจญภัยพร้อมยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อเดินทางเข้าสู่อาณาจักรใต้ดินแห่งทะเลเยือกแข็ง

เพราะการปะทะกับเผ่าพันธุ์ปีศาจที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในอดีต สภาปรมาจารย์จึงปิดตายอาณาจักรใต้ดินไว้ อนุญาตให้เฉพาะปรมาจารย์เท่านั้นที่เข้าไปในพื้นที่ได้

แต่เมื่อเผ่าพันธุ์ปีศาจล่าถอย นักรบที่แข็งแกร่งบางคนก็ตั้งต้นเดินทางเข้าสำรวจดินแดนอันน่าสะพรึงนั้น โดยหวังว่าจะได้พบทรัพยากรหายาก ซึ่งภายในเวลาไม่นาน พวกเขาก็ได้รู้ว่าอาณาจักรใต้ดินเป็นขุมสมบัติชั้นดี เมื่อของล้ำค่าถูกส่งต่อจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง เหล่านักผจญภัยก็เริ่มเดินทางเข้าสู่อาณาจักรใต้ดินมากขึ้นเรื่อยๆเพื่อแสวงโชค

ตอนนี้ กลุ่มคนที่ออกันอยู่ใต้หอนาฬิกาเก่าแก่ก็คือเหล่านักรบที่เดินทางมาแสวงโชค

“พายุหิมะพัดหนักขึ้นทุกที ดูเหมือนจะเป็นเวลาที่อาณาจักรใต้ดินแห่งทะเลเยือกแข็งจะปิดตัวลงโดยอัตโนมัติ ทำให้เข้าไปในนั้นไม่ได้ ทั้งหมดที่เราทำได้ตอนนี้ก็คือรออยู่ที่นี่จนกว่าท้องฟ้าจะกระจ่าง!”

“ช่วยไม่ได้นี่ อาณาจักรใต้ดินแห่งทะเลเยือกแข็งอยู่กลางหุบเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ แถมดูจะเป็นช่วงเวลาที่เย็นเยือกที่สุดของปีด้วย อันตรายเกินไปที่จะออกเดินทางในช่วงเวลาแบบนี้”

“แล้วนั่งเฉยๆอยู่อย่างนี้น่ะมันไม่น่าเบื่อหรือ? ทำไมไม่มาเล่าสู่กันฟังถึงเรื่องน่าสนใจที่พวกเราได้พบมาก่อนหน้านี้กัน จะได้เปิดหูเปิดตาด้วย?”

“พี่อู๋ คุณเพิ่งมาจากสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ใช่ไหม? มีข่าวน่าสนใจบ้างหรือเปล่า?”

เมื่อได้ยินชื่อ ‘พี่อู๋’ สายตาของทุกคนในบริเวณนั้นก็หันไปจับจ้องชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ตรงกลาง

ชายวัยกลางคนผู้นั้นสวมเสื้อคลุมตัวยาวของปรมาจารย์ ดาว 7 ดวงที่อยู่บนตราสัญลักษณ์ของเขาเปล่งประกายโดดเด่น เขาสำเร็จวรยุทธระดับเซียนขั้น 4-จิตวิญญาณต้นกำเนิด ขั้นสูงสุดทำให้อยู่แถวหน้าในบรรดาปรมาจารย์ระดับ 7 ดาว

เมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาหลายคู่ที่จับจ้องมา พี่อู๋กวาดสายตามองฝูงชนด้วยทีท่ามีเลศนัยก่อนจะตั้งคำถาม “พวกคุณรู้ไหมว่าปรมาจารย์ที่ปราดเปรื่องที่สุดในยุคนี้คือใคร?”

“ปรมาจารย์ที่ปราดเปรื่องที่สุดในยุคนี้? ก็ควรจะเป็นฟงสืออี้ ใช่ไหม? ผมรู้มาว่าท่านอาจารย์ของเขาเพิ่งฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณได้ และระดับวรยุทธของเขาก็กำลังพุ่งพรวด เขาคือคนที่พวกเราได้แต่แหงนหน้ามอง!”

“ผมว่าน่าจะเป็นจ้าวโม่ฉวน ผมเคยพบเขาครั้งหนึ่ง เขาเป็นอัจฉริยะผู้ปราดเปรื่องมาก สามารถทำความเข้าใจและเชี่ยวชาญในสิ่งต่างๆได้อย่างรวดเร็ว จนดูเหมือนว่าไม่มีอะไรในโลกนี้ที่จะหยุดยั้งเขาได้!”

“ผมขอออกเสียงให้เจียงเฟยเฟย เพราะไม่เพียงแต่เธอจะสวย ยังเป็นนักออกแบบสวรรค์สร้างผู้เชี่ยวชาญที่เข้าถึงความรู้ในระดับที่น่าทึ่งด้วย…”

“สิ่งที่ผมรู้มาก็คือ…”

คำถามนั้นทำให้เกิดการโต้แย้งอย่างเข้มข้นในหมู่ฝูงชน

คนเหล่านั้นคือผู้ที่มีชื่อเสียงในทวีปแห่งปรมาจารย์ นักรบมากมายนับไม่ถ้วนได้แต่แหงนมองและกำหนดให้พวกเขาเป็นเป้าหมาย

ในตอนนั้นเอง ใครคนหนึ่งก็พูดขึ้น “พวกคุณลืมจางเซวียน…ไปหรือเปล่า?”

“จางเซวียน?”

ชื่อนั้นทำให้การถกเถียงก่อนหน้านี้เงียบลงทันที

“ผมไม่เถียงหรอกว่าเขาคือปรมาจารย์ที่ปราดเปรื่องที่สุดในช่วงหลายหมื่นปีที่ผ่านมา บางที…ผู้เดียวที่สามารถเทียบชั้นกับเขาได้ก็อาจมีแค่ปรมาจารย์ขงเท่านั้น แต่เขาผูกสัมพันธ์กับเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นเพื่อขโมยมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงไป ทำให้มวลมนุษย์ต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย เพียงเท่านั้นก็มากพอที่จะถอดถอนเขาออกจากการเป็นปรมาจารย์แล้ว!”

“พวกเราจะไม่ปล่อยให้แกะดำตัวหนึ่งมาทำลายชื่อเสียงของสภาปรมาจารย์!”

“เรื่องที่ผมได้ยินมาน่ะแตกต่างออกไปนะ เขาไม่ได้ร่วมมือกับเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ แต่แท้ที่จริงแล้ว เขาไม่รู้ตัวตนของอีกฝ่ายและหลงกลของเธอ!”

“ครูบาอาจารย์น่ะควรจะมีมาตรฐานสูงสุดทั้งในด้านค่านิยม หลักการ และความประพฤติ ต่อให้เขาไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณมาก่อน ก็ควรระงับความรู้สึกของเขาที่มีต่อเธอเอาไว้ และควรเลิกราทันทีเมื่อรู้ความจริง แต่เขาก็ยังคงทำตัวโง่งมไม่แม้แต่จะพยายามฉกฉวยมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงกลับมา เท่านั้นก็มากเกินพอแล้วที่จะทำให้เขาเป็นทรราชย์ในหมู่มวลมนุษย์!”

“มัวพูดถึงหมอนั่นน่ะไม่มีประโยชน์หรอก!”

…..

ฝูงชนออกความเห็นเซ็งแซ่ การโต้แย้งเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”

ทันใดนั้น เสียงคำรามเย็นเยียบก็ดังก้องไปทั่ว ทำให้หอนาฬิกาเก่าแก่สั่นสะท้านอย่างรุนแรง ราวกับมันกำลังจะถล่มลงมาทับกลุ่มคนที่นั่งอยู่

สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างปุบปับนั้นทำให้ทุกคนหันขวับไปมอง

น่าประหลาดใจที่บุคคลที่เพิ่งส่งเสียงคำรามออกมาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากปรมาจารย์ระดับ 7 ดาวคนนั้น, พี่อู๋!

เวลานี้ ดวงตาของพี่อู๋เต็มไปด้วยเกล็ดหิมะ รอยยิ้มของเขาหายไปอย่างไร้ร่องรอย เขาลุกขึ้นยืนและจ้องมองฝูงชนอย่างเคร่งขรึมขณะพูดว่า “พวกคุณเพิ่งบอกว่าปรมาจารย์จางไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นปรมาจารย์ใช่ไหม? กล้าดีอย่างไรถึงพูดอะไรเหลวไหลแบบนั้นออกมา?”

ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่มีแผลเป็นโดดเด่นอยู่บนใบหน้าคำรามตอบ “คนที่ทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ต้องตกต่ำและต้องจบชีวิตที่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่เพื่อชดใช้บาปกรรมของตัวเอง…คุณคิดจริงๆหรือว่าคนแบบนั้นน่ะสมควรที่จะได้รับการเรียกขานว่าปรมาจารย์?”

กว่า 10 วันแล้วตั้งแต่ที่จางเซวียนจบชีวิตของเขาที่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ และข่าวนี้ก็แพร่สะพัดไปทั่วทั้งทวีปแห่งปรมาจารย์

“คุณกำลังถามว่าเขามีคุณสมบัติเพียงพอหรือเปล่า?” พี่อู๋หรี่ตา“ขอผมถามหน่อย คุณรู้ไหมว่าทำไมตอนนี้พวกเราถึงเข้าสู่อาณาจักรใต้ดินแห่งทะเลเยือกแข็งได้?”

“ก็ไม่ใช่เพราะกองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจล่าถอยไปจากอาณาจักรใต้ดินหรือไง?” ชายวัยกลางคนที่มีแผลเป็นถามกลับ

คนอื่นๆต่างพยักหน้ารับ

ก็เพราะเผ่าพันธุ์ปีศาจล่าถอยไป พวกเขาจึงกล้าเข้าสู่พื้นที่นี้ เพราะไม่อย่างนั้น คงได้เสียชีวิตภายในเวลาไม่นานหลังจากที่ล่วงล้ำอาณาเขตเข้ามาแน่ แม้ที่อาณาจักรใต้ดินจะมีทรัพย์สมบัติอยู่มากมาย แต่ก็ไม่มีใครโง่เง่าพอจะพาตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่ความตายอยู่แค่เอื้อม

“ล่าถอย? เฮอะ!” พี่อู๋คำรามเยาะ “ตลอดหมื่นปีที่ผ่านมา เผ่าพันธุ์ปีศาจถูกผลักดันออกไปอยู่หลายร้อยครั้ง แต่ประชากรธรรมดาสามัญก็ไม่เคยได้รับอนุญาตให้เข้าสู่พื้นที่นี้เลย แล้วทำไมคราวนี้ถึงไม่เหมือนเดิมล่ะ?”

“เอ่อ…” ชายวัยกลางคนที่มีแผลเป็นไม่รู้จะตอบคำถามนั้นอย่างไร

ในการต่อสู้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ด้วยปัญหาเรื่องทรัพยากรและอัตราการตายที่พุ่งสูง ทั้งสองฝ่ายจึงถอนกำลังออกไปจากอาณาจักรใต้ดิน แต่สภาปรมาจารย์ก็ไม่เคยอนุญาตให้ประชากรทั่วไปเข้าสู่ดินแดนนี้ แล้วทำไมการล่าถอยครั้งล่าสุดของเผ่าพันธุ์ปีศาจถึงทำให้ทุกอย่างไม่เหมือนเดิม?

“พี่อู๋ คุณรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือ?” นักรบคนหนึ่งตั้งคำถาม

“เมื่อเดือนก่อน ผมได้รับคำสั่งให้เดินทางไปที่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่เพื่อปฏิบัติภารกิจบางอย่าง และผมได้ยินเรื่องร่ำลือมา” พี่อู๋ดูจะตกเข้าสู่ภวังค์ของความทรงจำ “จริงอยู่ว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นล่าถอยไปแล้ว แต่พวกมันเตรียมกำลังพลไว้เพื่อเปิดการโจมตีครั้งใหญ่ รวมแล้วก็มีกำลังพลเผ่าพันธุ์ปีศาจมากกว่า 1 แสนตัว!”

“การโจมตีครั้งใหญ่ที่มีทหารมากกว่า 1 แสนนาย?” ผู้ฟังถึงกับอัศจรรย์ใจ

ทุกคนรู้ดีว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจมีพละกำลังมากมาย ซึ่งหากต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่มีจำนวนมากในคราวเดียว ก็มีความเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะต้องเผชิญกับความเสียหายในระดับที่เกินกว่าจะจินตนาการได้ ยังน่าสงสัยอยู่ว่าทวีปแห่งปรมาจารย์จะรับมือกับความเสียหายระดับนั้นได้หรือไม่

“เดี๋ยวก่อน…ไม่ใช่สิ ถ้าพวกมันรวบรวมกองกำลังได้มากขนาดนั้นจริงๆ ทำไมถึงไม่มีการเคลื่อนไหวจากฝั่งของพวกมันเลย?”

เมื่อรู้สึกว่าคำพูดนั้นมีเหตุผล ทุกคนต่างหันมาจับจ้องพี่อู๋ อยากรู้ว่าเขาจะพูดอะไรต่อ

ด้วยความอันตรายของสถานการณ์ในเวลานั้น น่าแปลกใจที่พวกเขาไม่ได้รับรู้อะไรเลย

“แน่นอนว่าไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรทั้งนั้น! นั่นก็เพราะปรมาจารย์คนหนึ่งบุกเข้าเล่นงานกองทหารกำลังพลทั้งแสนนายและสังหารพวกมันทุกตัวด้วยน้ำมือของเขาเอง!” พี่อู๋พูดขึ้นด้วยแววตาที่เปล่งประกายของความเคารพยกย่อง

“เขาคือผู้ทำลายแผนการของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น ทำให้พวกมันต้องเก็บตัวเงียบและไม่กล้าบุกโจมตี เขาคือผู้ซ่อมแซมฉนวนและเปลี่ยนแปลงอาณาจักรใต้ดินจากโลกบาดาลให้กลายเป็นดินแดนใหม่ที่พวกเราเข้ามาสำรวจได้”

“คนๆหนึ่งสังหารเผ่าพันธุ์ปีศาจถึงแสนตัวด้วยน้ำมือของเขาเอง?”

“ผมรู้มาว่าแม้แต่เผ่าพันธุ์ปีศาจที่อ่อนแอที่สุดก็ยังมีวรยุทธระดับเซียนขั้น 3…”

เมื่ออดรนทนไม่ไหว ใครคนหนึ่งตั้งคำถามขึ้นมา “เขาทำแบบนั้นได้อย่างไร? พี่อู๋…เขาคนนั้นคือใครกัน?”

“เขาก็คือคนที่พวกคุณบอกว่ามีคุณสมบัติไม่เพียงพอที่จะเป็นปรมาจารย์นั่นแหละ…” พี่อู๋กำหมัดแน่น “จางเซวียน!”