จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าหิวมากจริงๆ ความพะว้าพะวังที่มีต่อเหยียลี่ว์ฉียังไร้หนทางต่อต้านความยั่วยวนของอาหารไหนี้ นึกไม่ถึงว่าเจ้าคนนี้เกิดในตระกูลใหญ่โต จะเป็นยอดฝีมือในการปรุงอาหารด้วย
ผู้ชายที่ทำกับข้าวเป็นดูมีเสน่ห์แฮะ
น่าเสียดายว่านางยังต้องไปช่วยคน
“ได้สิขอบคุณเก็บไว้ประเดี๋ยวข้ากลับมากินลาก่อนจุ๊บๆ” นางยกเท้าจะหายตัว
นิ้วมือนิ้วหนึ่งจิ้มลงตรงหัวไหล่ของนางอย่างแผ่วเบา นางพลันหนีไปไม่ได้อีกแล้ว
จิ่งเหิงปัวถอนหายใจออกมา คร้านจะชำเลืองมองรอยยิ้มน่าขยะแขยงของคนคนนั้น หยิบตะเกียบขึ้นมาคีบกระเพาะหมูชิ้นหนึ่งเข้าปากเสียเลย หรี่ตาขึ้นอย่างดื่มด่ำ ร้องว่า “อื้ม…ไม่เลวเลย! อยากจะมาสมัครเป็นพ่อครัวหลวงหรือไม่”
“ข้าเพียงอยากเป็นพ่อครัวของเจ้าคนเดียว” เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มออกมาด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง จิ่งเหิงปัวขานรับ พยักหน้าลงนิดหน่อยพลางลงตะเกียบดุจเหาะเหิน อย่างไรเสียก็หนีไม่รอดไปชั่วขณะ กินให้อิ่มก่อนก็ดี กินให้อิ่มแล้วจะได้มีเรี่ยวแรงไปช่วยคน
“กินให้มากหน่อย” เหยียลี่ว์ฉีใช้สองมือเท้าคาง สายตาจ้องมองจดจ่อ ท่าทางเฉกเช่นพ่อบ้านผู้มีคุณธรรมน้ำใจ เอ่ยว่า “กินให้มากหน่อยถึงจะมีเรี่ยวแรงไปช่วยคนนะ”
ตะเกียบของจิ่งเหิงปัวหยุดชะงัก
“เจ้ารู้ว่าข้าจะทำเรื่องใดหรือ?”
“วันนี้เจ้ากับซย่าจื่อหรุ่ยออกมาซื้อบ้าน สุดท้ายไม่ได้ซื้อบ้าน ทว่าแล่นมาถึงจวนข้าแล้ว” เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “เจ้าคงจะไม่มาจวนข้าด้วยตนเองก่อนเป็นแน่ คงจะวิ่งมาผิดที่แล้ว จวนที่กำแพงติดกันกับจวนข้ามีจวนเสนาบดีกองขุนนางกับจวนองค์ประกันเผ่าเฉินเถี่ย องค์ประกันมีนิสัยรอบคอบระมัดระวัง ไม่ได้คบค้าสมาคมกับเจ้า เจ้าคงจะไม่มีปัญหาใดกับเขา ทว่าในจวนเสนากองขุนนางนั้นเละเทะวุ่นวาย ตาเฒ่าบ้ากามป่วยกระเสาะกระแสะ ฮูหยินตระหนี่ถี่เหนียว น้องสาวภรรยาแพรวพราวทรงเสน่ห์ เอาแต่ก่อเรื่องก่อราว ส่วนบ้านหลังที่เจ้าต้องการซื้อนั้น คล้ายจะเป็นอสังหาริมทรัพย์ส่วนตัวที่ฮูหยินเสนากองขุนนางมีไว้ในครอบครอง ฉะนั้นข้าเดาว่ายามพวกเจ้ากำลังเจรจาค้าขายเกิดความผิดพลาด มีคนข้างกายเจ้าถูกจับตัวเข้าจวนเสนาบดีกองขุนนาง เจ้าจะไปช่วยคนทว่าวิ่งมาผิดที่ ใช่หรือไม่?”
จิ่งเหิงปัวกะพริบตา ใช้ตะเกียบจิ้มหน้าผากเขาแผ่วเบา แล้วกล่าวว่า “บางครั้งข้าก็ไม่รู้เลยว่าศีรษะของพวกเจ้าเหล่านี้เติบโตมาอย่างไร”
“ในเมื่อรู้ว่าสมองข้าเฉลียวฉลาดนัก แล้วยังกังวลเรื่องใดอีก?” เขาจิ้มหน้าผากนางอย่างสนิทสนมครั้งหนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “รีบกินสิ กินเสร็จแล้วข้าจะพาเจ้าไปช่วยคน”
จิ่งเหิงปัวกลอกตาขาว…เอ่ยวาจาสนิทสนมขนาดนี้ทำไมกัน? นางมีความสนิทสนมกับเขาเหรอ?
ตะเกียบของนางค้ำอยู่บนหน้าผาก ปัดนิ้วมือของเขาออกไปอย่างไม่เกรงใจ แล้วกล่าวว่า “อย่ามาแตะต้องมั่วซั่ว ยามนี้พี่เป็นคนมีแฟนหนุ่มแล้ว”
“แฟน…หนุ่ม?” เหยียลี่ว์ฉีครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ คล้ายคาดเดาได้บ้าง ก่อนจะหัวเราะแผ่วเบาเสียงหนึ่ง เอ่ยว่า “บุรุษ? กงอิ้นหรือ?”
รอยยิ้มเขาบิดเบี้ยวเล็กน้อย เสียดสีหลายส่วน
“อะไร” ดวงตาของจิ่งเหิงปัวบิดเบี้ยวกว่าเขาเสียอีก กล่าวว่า “ไม่ได้หรือ? ได้หรือไม่ได้ไม่ใช่ธุระกงการของเจ้า”
“ได้ เหตุใดจะไม่ได้” เหยียลี่ว์ฉีพลันยิ้มแย้ม ประชิดข้างหูนางด้วยท่าทางยิ้มแย้มแจ่มใส แล้วเอ่ยว่า “ทว่า เรื่องได้หรือไม่นี้น่ะ ไม่ใช่กิจธุระของข้าจริงๆ ทว่าเป็นกิจธุระของเจ้าแน่แท้ เจ้าเอ่ยมาขนาดนี้ ข้าก็รู้สึกกังวลขึ้นมาแล้ว”
“เหยียลี่ว์ฉี!” จิ่งเหิงปัวเคาะตะเกียบครั้งหนึ่ง หน้านิ่วคิ้วขมวด กล่าวว่า “เจ้าก้าวหน้าสักหน่อยได้หรือไม่? เห็นเขาขัดหูขัดตาก็โจมตีโจมตีจุดยุทธศาสตร์เขา ต่ำทรามที่สุดแล้ว!”
“ใช่ ใช่ ข้าต่ำทราม” เหยียลี่ว์ฉียังคงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ทว่ารอยยิ้มค่อยๆ เย็นชา เอ่ยว่า “พวกเจ้าเหล่าสตรีเอ๋ย ดื้อรั้นไม่ยอมฟังความเห็นผู้อื่น เหตุใดข้าต้องเป็นคนชั่วให้เสียแรงเปล่า? สักวันหนึ่งเจ้าจะรู้เอง ถึงยามนั้นอย่ามาร้องไห้กับข้าแล้วกัน”
“ต่อให้พี่ถูกทิ้งจนต้องขอทานอยู่ที่ถนนใหญ่จิ่วกง พี่จะไม่เสียน้ำตาสักหยดเบื้องหน้าเจ้าเป็นแน่” จิ่งเหิงปัวเคี้ยวกระเพาะหมูอย่างรุนแรง จินตนาการว่านี่คือส่วนสำคัญบนร่างกายของเหยียลี่ว์ฉี
“ข้าเฝ้ารอคอยการมาถึงของวันนั้นเหลือเกิน เฉกเช่นเดียวกับที่ข้าเฝ้ารอคอยความจริงทุกสิ่งที่ถูกความเป็นจริงพิสูจน์” เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มจนเปี่ยมด้วยเจตนาร้าย เอ่ยว่า “ยินดีกับเจ้าด้วย ได้สามีที่รุ่งโรจน์หมื่นจั้งทั่วทั้งโลกหล้า”
“เจ้าคงไม่ได้หมายความว่าเขาไม่เหมาะจะเป็นสามีกระมัง?” จิ่งเหิงปัวกลับไม่โกรธเคืองแล้ว ควานหาสิ่งที่ตนเองชื่นชอบในไหอย่างเอื่อยเฉื่อย กล่าวต่อไปว่า “เขาไม่เหมาะสม แล้วเจ้าเหมาะสมหรือ? เหยียลี่ว์ฉี เจ้านึกถึงตัวเจ้าเองสิ ชั่วชีวิตนี้เจ้าเคยเอ่ยวาจาจริงใจกี่ประโยคกัน เคยมีรอยยิ้มจริงใจสักกี่ครั้ง เคยมีความจริงใจต่อผู้ใดบ้าง เจ้าอาจจะเห็นว่ากงอิ้นประหลาดไปทุกสิ่ง ไม่คู่ควรจะเป็นสามีผู้ใดทั้งนั้น ทว่าข้าบอกเจ้าได้ว่า…” ตะเกียบนางชี้ไปยังเหยียลี่ว์ฉี ดั่งถือมีดเล่มหนึ่ง กล่าวต่อไปว่า “เขาอาจจะไม่เอ่ยวาจากับข้า หรือวาจาที่เอ่ยอาจจะไม่ไพเราะ ทว่าวาจาที่เอ่ยออกมาจนถึงยามนี้ต่างเป็นความจริง เขายิ้มแย้มน้อยครั้งนัก เวลาส่วนใหญ่ล้วนทำหน้าเย็นชาใส่ข้าดูน่ารังเกียจยิ่ง ทว่ายามที่เขายิ้มให้ข้าเป็นครั้งแรก เขาก็ยิ้มแย้มด้วยเพราะข้าผ่านพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จมาได้ คนที่เขาไม่ชื่นชอบมีมากมายนัก เอ่ยได้ว่าทั่วทั้งโลกหล้าต่างเป็นศัตรู ถึงขนาดยามนี้ข้ายังไม่แน่ใจว่าเขาชื่นชอบข้าเพียงใดกันแน่ ทว่าข้ารู้สึกว่าแม้มีความชื่นชอบเพียงเสี้ยวเดียว นั่นย่อมเป็นความชื่นชอบที่แท้จริง”
เหยียลี่ว์ฉีจ้องมองนาง ไม่ยิ้มแย้มออกมาแล้ว แสงรุ่งโรจน์ในดวงเนตรดั่งเพลิงพลิ้วไหวไม่แน่นิ่ง ดูลุกโชนมัวสลัว
“เช่นเดียวกับอาหารนี้ คล้ายพระกระโดดกำแพงนั่นของพวกเราอยู่บ้าง” จิ่งเหิงปัวชูปลิงทะเลชิ้นหนึ่งขึ้น กล่าวว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดอาหารหม้อนี้ของเจ้าถึงได้หอมขนาดนี้? ด้วยเพราะวัตถุดิบที่แม้จะไม่โดดเด่น แต่แท้จริงแล้วเป็นวัตถุดิบที่จริงแท้ยิ่งนัก อย่างเช่นปลิงทะเลนี้ของเจ้า คงเป็นปลิงหนาม[1]ชั้นหนึ่งกระมัง? ฉะนั้นถึงมีผลลัพธ์เช่นนี้ หากเปลี่ยนเป็นปลิงหวงอวี้[2] ดูท่าทางคงไม่เท่าไร ถึงขนาดยังต้องประดับตกแต่งเล็กน้อย ทว่ารสชาติจะด้อยลงไปมาก วัตถุดิบทุกอย่างภายในนี้ต่างเป็นของจริง เป็นของชั้นสูง เป็นวัตถุดิบที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำหรือสารเจือปนซ้ำยังถูกคัดเลือกอย่างพิถีพิถัน ฉะนั้นถึงมีรสชาติเลิศล้ำของน้ำแกงข้นหม้อหนึ่งนี้” นางตักเอ็นกระดูกมากินอีกชิ้นหนึ่ง อมตะเกียบพลางส่งยิ้มให้เขากล่าวว่า “ความรู้สึกก็เป็นเช่นนี้”
ปลายตะเกียบของเหยียลี่ว์ฉีคีบหอยเป๋าฮื้ออยู่ชิ้นหนึ่ง ยังไม่ตกถึงท้องตั้งแต่แรก ดวงตาของเขาจ้องมองไปที่หอยเป๋าฮื้อนั้น ทว่าแววตาคล้ายทะลุผ่านหอยเป๋าฮื้อมองไปยังภายภาคหน้า เอ่ยว่า “แท้จริงแล้วเจ้าก็เฉลียวฉลาดยิ่งนักมาโดยตลอด มีความรู้สึกเฉียบไวต่อสรรพสิ่งบนโลกมนุษย์ เพียงแต่ไม่แสดงออกมาโดยง่ายเท่านั้น วันนี้ได้ฟังเจ้าเอ่ยวาจาขนาดนี้ นับว่าเป็นความโชคดีของข้า ทว่ามนุษย์เปลี่ยนแปลงได้ ความรู้สึกก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ข้ารู้ว่าด้วยจุดยืนของข้า เอ่ยเรื่องใดต่างมีผลลัพธ์ตรงกันข้าม ช่างเถิด ขออวยพรให้น้ำแกงหม้อหนึ่งนี้ของเจ้า รสชาติเข้มข้นหอมหวนชั่วกาล ทานร้อยครั้งไม่แหนงหน่ายเถิด”
เขายิ้มแย้มเพียงครั้ง หอยเป๋าฮื้อไถลสู่กลางริมฝีปาก รสชาติที่เดิมทีควรจะสดอร่อย แต่มิรู้ว่าเหตุใด เมื่อลิ้มรสแล้วดั่งคล้ายไร้รสชาติ
ยากนักที่จะได้ฟังสตรีที่มีอารมณ์หลากหลายนางนี้เอ่ยวาจามากมายขนาดนี้ เอ่ยวาจาที่อยู่ในใจ สุดท้ายแล้วยามได้ยินวาจาเหล่านี้ นับว่ามีบุญวาสนาหรือได้รับความทุกข์ทรมาน?
ของจริงหรือ? สิ่งใดเป็นของจริง สิ่งใดเป็นของปลอม แดนฤทัยดุจมีสายลมพัดผ่าน ผู้ใดรู้จะว่าการสูบฉีดครู่ก่อนนี้มิใช่ของจริง?
โต้เถียงไม่ได้และโต้เถียงไม่ออก ได้แต่เพียงยิ้มแย้มครั้งหนึ่ง
จิ่งเหิงปัวไม่ได้มองเขาเช่นกัน นางวางตะเกียบลง แล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ในเมื่อยากนักที่พวกเราจะได้ทานอาหารในห้องครัวอย่างสงบเงียบขนาดนี้ เช่นนั้นเจ้าให้ข้าจากไปอย่างสงบเงียบด้วยเถิด ข้ามีเรื่องสำคัญจริงๆ และไม่คาดหวังให้เจ้าช่วยเหลือ ขอแค่อย่าสร้างปัญหาเพิ่มก็พอแล้ว”
เหยียลี่ว์ฉีไม่ตอบ เขาเก็บไหขึ้น จูงมือของนางไว้ เอ่ยว่า “ตามข้ามา”
จิ่งเหิงปัวจนปัญญา ได้แต่เดินตามเขาผ่านสะพานโค้งหลายแห่ง ระเบียงทางเดินรอบหลายสาย จนกระทั่งมาถึงหน้าหอหลังเล็กหลังหนึ่ง
ที่ซึ่งห่างไกลออกไป มีเงาคนหลายสายพลันพุ่งผ่านท้องฟ้า เงาร่างเบาบางยิ่งนัก ดั่งเมฆดำกลุ่มหนึ่งกำลังขยับเขยื้อนอย่างรวดเร็ว ไร้ผู้คนพบเห็น
เงาคนไม่ได้เข้าใกล้จวนราชครูฝ่ายซ้าย เพียงยืนอยู่บนสันกำแพงปลอดคนแห่งหนึ่งของจวนเสนาบดีกองขุนนาง มองดูจวนราชครูฝ่ายซ้ายทางนั้นอยู่ห่างไกล
ยามเริ่มแรกเงาคนนั่งอยู่บนสันกำแพงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย สักพักค่อยๆ มีคนเอนก็เอนไปล้มก็ล้มไป คนแคะจมูกก็แคะจมูกไป คนแคะเท้าก็แคะเท้าไป คนหาวก็หาวไป นอกเสียจากเจ้าผู้หนึ่ง แววตาแพรวพราวหมอบอยู่บนสันกำแพง จ้องมองจวนราชครูฝ่ายซ้ายไม่ผ่อนคลาย
เสียงวาจาเกียจคร้านแว่วมา
“ข้าว่านะเสี่ยวชีชี เหตุใดเจ้าต้องตามติดราชินีทั้งวันด้วย ซ้ำยังลากพวกเราตามมาด้วย คิดว่าพวกเราน่ะไม่มีกิจธุระหรือ”
“พวกเจ้ามีแต่กิจธุระไร้สาระ ผู้ใดใช้ให้พวกเจ้าตามมาด้วย? ถอยไปเลย ขวางสายตาของข้าแล้วรู้หรือไม่ อีกทั้ง เรียกว่าศิษย์พี่ใหญ่ด้วย!”
“อิดอี้อ่าย” เจ้าผู้หนึ่งแทะขาหมูอยู่ เอ่ยด้วยเสียงไม่ชัดเจนว่า “เจ้าคิดจะแอบมองถึงยามใดกัน”
“ข้านี้ไม่เรียกว่าแอบมอง เรียกว่าตามติดประชิดใกล้ปกป้องภรรยาของข้า” อีชีเปลี่ยนทิศทางจ้องมอง เอ่ยว่า “เฮ้อ ภรรยาข้าเจอปัญหาเหตุใดถึงไม่เรียกหาข้า ดันไปหาแมงป่องดำตัวนั้นเสียได้? หากถูกเขาลักพาตัวไปจะทำอย่างไร อีกทั้งบุรุษสตรีอยู่ด้วยกันสองต่อสองได้เช่นไรกัน เหอะ นางยังยิ้มให้เขาอีกด้วย เหตุใดนางต้องยิ้มให้เขา เหตุใดกัน!”
“ด้วยเพราะเขาหล่อกว่าเจ้า”
“ในฐานะที่เป็นคนที่งดงามที่สุดในกลุ่มแปดคน ข้ารู้สึกว่าวาจาประโยคนี้ของพวกเจ้ากำลังปฏิเสธพวกเจ้าเองทั้งนั้น”
“หวังว่าอาจารย์จะไม่ได้ยินวาจาประโยคนี้ของเจ้า มิฉะนั้นปีนี้เจ้าคงต้องนอนกับหมีควายตัวนั้นที่หลังเขาตลอดฤดูหนาวแล้ว”
“อ่ะคิกๆ คิกๆ อาจารย์ได้ยินหรือไม่เขาก็ต้องไปนอนกับหมีควายอยู่ดีนั่นล่ะ ผู้ใดให้เขาวาดสิวบนคันฉ่องของอาจารย์ ทำให้อาจารย์นึกว่าสิวขึ้น อ่ะคิกๆๆ อาจารย์ร้องไห้ไปสามชั่วยามแน่ะ ไม่ให้เขาเผชิญหน้ากับหมีควายสามปีข้าไม่ขอใช้แซ่ซือ…อ่ะคิกๆๆ นึกว่าตะลอนอยู่ในตี้เกอไม่กลับบ้านจะหนีพ้นแล้วหรือ…”
“อ่ะคิกๆๆ ข้าหนีออกมาแล้ว เหตุใดพวกเจ้าหกคนต้องตามมาด้วยเล่า? หา? คนที่วาดสิวมีเพียงข้าคนเดียวหรือ? คนที่ตั้งใจย้อมผมอาจารย์เป็นสีขาว หลอกเขาเอ่ยว่าเขาชราแล้วคือข้าหรือ? คนที่ทำคันฉ่องเปลี่ยนรูปหน้าให้เขาส่องคือข้าหรือ? คนที่ใส่เซิงฮวาซั่นในอาหารเขาอยากให้เขาเกิดผื่นคันคือข้าหรือ…”
“นี่ พวกเจ้าว่ายามนี้เขาจะร้องไห้อยู่ในถ้ำหรือไม่”
“ร้องไห้กับผีสิ อย่างมากคงรู้สึกว่าเงียบเหงาอยู่บ้าง เฮ้อ หมีควายเสือโคร่งหลังเขาเหล่านั้นคงต้องโชคร้ายอีกแล้ว ต้องฟังเฒ่าหลงตัวเองเอ่ยเจื้อยแจ้วเรื่องความงามของเขาอีกแล้ว…”
“เฮ้อ น่าผิดหวังยิ่งนัก…”
เจ็ดคนที่ผิดหวังนอนผึ่งท้องตากแดดอย่างมีความสุข
[1] ปลิงหนาม ปลิงทะเลชนิดหนึ่ง ชื่อวิทยาศาสตร์ Stichopus japonicus ลำตัวกลมสีน้ำตาลดำ มีหนามรอบลำตัว
[2] ปลิงหวงอวี้ ชื่อเรียกปลิง Cucumaria japonica ที่มีคุณภาพดีที่สุด ลำตัวสีดำ เมื่อแห้งแล้วมีสีเหลือง แหล่งกำเนิดอยู่ในทะเลใต้