ตอนที่ 202 โดย Ink Stone_Romance
ตอนที่ 202 แบกรับข้อกล่าวหา (4)
บ้านลั่ว คุณแม่ลั่วรออยู่ในห้องโถง มองนอกประตูเป็นครั้งคราว สีหน้าร้อนรน ลั่วจื่อจี้ถือหนังสือพิมพ์นั่งอยู่บนโซฟา แม้จะมีท่าทีผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัดแต่ว่าก็มีเหงื่อชั้นบางๆ ซึมอยู่บนฝ่ามือ
“ไหนบอกว่าใกล้จะมาแล้วไง?”
“แม่ แม่อย่าใจร้อนสิ”
คุณแม่ลั่วฉีกหนังสือพิมพ์ในมือของลั่วจื่อจี้อออกจากกัน “อย่าใจร้อน อย่าใจร้อน จะไม่ให้แม่ใจร้อนได้ยังไง ลูกดูพี่ชายของลูกสิ จนป่านนี้แล้วยังไม่ฟื้นเลย ถ้าเขา…แม่จะต้องคิดบัญชีกับพวกเขาแน่”
ลั่วจื่อจี้ลุกขึ้นยืน กดคุณแม่ที่เดินอาละวาดลงไปบนโซฟา “อัยยา แม่ ไม่ใช่ว่าพี่ชายไม่ตื่น ส่วนแม่ก็เป็นลมไปอีกคนนะ” เขาถอนหายใจ “แม่วางใจเถอะ ก่อนหน้านี้คุณหมอก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าจะไม่เป็นอะไร วันนี้ก็แค่มาดูอีกรอบ แม่ไม่เชื่อหมอแล้วยังไม่เชื่อในร่างกายเหนือมนุษย์ของพี่ชายผมอีกเหรอ ”
“เชอะๆๆ ลูกอย่าพูดเหลวไหลนะ” เธอค้อนลูกชายตัวเองด้วยความโกรธ จากนั้นก็เห็นพ่อบ้านพาคนในชุดขาวเข้ามาไม่กี่คน ทุกคนล้วนใส่หน้ากากปิดปากสีน้ำเงิน มู่ลี่ไป๋ก้าวไปข้างหน้า เดินเข้าไปหาพวกเขา
“ยังไม่ฟื้น?”
ลั่วจื่อจี้พยักหน้า “ใช่แล้ว ไม่รู้ว่ากำลังฝันอะไรอยู่ จนป่านนี้จนไม่ยอมฟื้นขึ้นมาเลย”
ลู่มี่ไป๋ส่งสายตาให้ลั่วจื่อจี้ เขาเข้าใจในทันที วางสองมือไว้ลงบนบ่าของแม่ตัวเอง “แม่ครับ คนก็มาแล้ว ผมจะพาแม่ออกไปตากลม ให้พวกเขาตรวจพี่ชายอย่างสบายใจ”
“แม่อยู่มันไม่สะดวกขนาดนั้นเลยเหรอ?” คุณแม่ลั่วเลิกคิ้ว มีออร่าของการเป็นคุณนายเจ้าของบ้าน ลั่วจื่อจี้หัวเราะหึๆ
“แม่ไม่คิดว่าช่วงนี้แม่ตึงเกินไปเหรอ ที่นี่ก็มีมู่ลี่ไป๋แม่จะห่วงอะไรล่ะ ไปเถอะ ไปเถอะ บางทีพอพวกเรากลับมาแล้ว ลูกชายคนโตของแม่ก็อาจจะฟื้นแล้วก็ได้ แม่ว่าจริงไหม?”
คุณแม่ลั่วถูกผลักออกอย่างสมบูรณ์โดยลูกชายคนเล็กที่อยู่ข้างหลังเธอ แม้ว่าเธอจะไม่เต็มใจนัก แต่ว่าก็ยังออกไปเดินเล่นข้างนอกกับลั่วจื่อจี้แล้ว
มู่ลี่ไป๋ถอนหายใจ พาทีมงานขึ้นไปชั้นบน หลังจากทำการตรวจสอบตามปกติอย่างรวดเร็วแล้ว ก็เหลือหนึ่งคนไว้ดูแล คนที่เหลือไปหารือเกี่ยวกับอาการอยู่ที่ห้องประชุมด้านข้าง
คุณหมอที่อยู่นั้นมีรูปร่างเล็กกะทัดรัดมาก เสื้อคลุมสีขาวบนตัวของเธอก็หลวมไปหน่อย เธอนั่งลงข้างเตียง อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือออกมาสัมผัสใบหน้าของเขา และน้ำตาก็พรั่งพรูออกมาโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า
“ลั่วจื่อหาน ทำไมนายถึงยังไม่ฟื้นล่ะ นายรู้หรือเปล่า ฉันอยู่ข้างนอกถูกคนรังแกตลอดเลย นายเคยบอกว่าจะปกป้องฉันอย่างดี ไม่ให้ใครรังแกฉันไม่ใช่เหรอ?”
“คนเลว ตอนนี้นายนอนเงียบๆ คนเดียวอยู่ตรงนี้ไม่ต้องทำอะไรเลย นายรู้หรือเปล่าว่าคนที่อยู่ข้างกายของนายทรมานมากแค่ไหน”
“ทำไมนายถึงยังไม่ฟื้น ทำไมถึงยังไม่ลืมตามามองฉัน”
“ตอนนั้นที่นายเห็นปืนทำไมต้องเข้าไปขวางด้วย ตอนแรกมันเล็งมาที่ฉัน นายมายุ่งเรื่องของฉันทำไม! ฉันบอกให้นายออกตัวเหรอ ใครอนุญาตให้นายมาขวางไว้ล่ะ”
“ลั่วจื่อหาน นายรีบฟื้นขึ้นมา ฉันโกรธมากนะ นายรีบฟื้นขึ้นมาสิ”
“นายลืมตาสักทีได้ไหม ต่อไปฉันจะเชื่อฟังคำพูดของนายแล้ว และจะไม่ตัดสินใจอะไรเองลับหลังนายอีก นายโกรธฉันอยู่ใช่หรือเปล่าถึงได้ไม่สนใจฉัน”
“ลั่วจื่อหาน…ฉันทรมาน มากจริงๆ ทรมานมาก ฉันกลัวจังเลย ว่านาย ว่านายจะเป็นเหมือนลู่เยี่ยหวา…ลั่วจื่อหาน นายตอบฉันสักคำได้ไหม นายไม่เคยปล่อยให้ฉันพูดคนเดียวมากขนาดนี้มาก่อน นายไม่เคยไม่ตอบฉัน”
อี้เป่ยซีหมอบอยู่บนตัวของเขา หลับตาลง แต่น้ำตากลับไหลออกมาไม่หยุดจนเปียกชื้นเป็นวงกว้าง เธอสะอื้นอยู่หลายรอบ ลุกขึ้นแล้วปาดน้ำตาอย่างแรง
“ลั่ว…” เธอเพิ่งจะพ่นออกเพียงคำเดียว ก็เห็นว่านิ้วของเขาขยับเล็กน้อย เธอคว้ามือใหญ่ที่อบอุ่นของเขาคู่นั้นด้วยความตื้นตัน “นายกำลังจะตื่นแล้วใช่ไหม? ฉันรู้อยู่แล้ว ว่านายจะไม่ทิ้งฉันไปแบบนี้ใช่หรือเปล่า”
ประตูถูกเปิดออกเสียงดัง อี้เป่ยซียังไม่ทันตอบสนอง เหม่อมองคนที่ปรากฏตัวหน้าประตูกะทันหัน แล้วค่อยรู้สึกตัว
“คุณ คุณน้าลั่ว”
“ฉันก็ว่าทำไมวันนี้ลั่วจื่อจี้ถึงแปลกๆ…” เธอไม่สามารถซ่อนความประชดประชันบนใบหน้าได้ “คิดว่าจื่อหานโดนยิงยังไม่พอ ก็เลยคิดจะมาแทงซ้ำเหรอ?”
“คุณน้าคะ ฉันก็แค่อยากมาเยี่ยมเขา”
“แม่” เดิมทีลั่วจื่อจี้เดินเล่นกับคุณแม่ของตัวเองอยู่ในสวน จากนั้นแม่ก็บอกว่ารู้สึกหนาวอยากจะกลับไปเอาเสื้อ ตอนนั้นเขาเองก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่คิดไม่ถึงว่าเธอจะรับรู้ได้ถึงความร่วมมือระหว่างเขากับคนอื่นๆ แต่เขาก็ถามตัวเองว่าไม่ได้ทำอะไรผิดพลาดนี่นา ทำไมแม่ของเขาถึงได้ระแวดระวังแบบนี้
คุณแม่ลั่วเข้าใกล้อี้เป่ยซีอย่างเย็นชา “อย่านึกว่ามีจื่อหานคอยปกป้อง แล้วฉันจะแตะต้องเธอไม่ได้”
“คุณน้า ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมน้าต้องเกลียดฉันขนาดนี้ด้วย ฉันรู้จักกับลั่วจื่อหานมาตั้งนาน คุณน้าก็น่าจะดูออกว่าฉันไม่เคยคิดที่จะทำร้ายเขา ทำไมคุณน้าถึงทิ้งทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นในอดีตเพียงเพราะอุบัติเหตุครั้งนี้ด้วยคะ?” เธอพ่นประโยคยืดยาวออกมาภายในลมหายใจเดียว ดวงตายังคงแดงก่ำเล็กน้อยเพราะเพิ่งร้องไห้มา มองดูแล้วชวนให้น่าสงสาร แต่ว่าคำพูดนั้นกลับเปี่ยมไปด้วยพลัง
ลั่วจื่อจี้อดไม่ได้ที่จะชื่นชมว่าที่พี่สะใภ้ของตัวเองอยู่ในใจ และเห็นว่าใบหน้าของแม่ตัวเองก็ผ่อนคลายลงมาบ้าง แต่ทันใดนั้นเสียงเล็กแหลมของเด็กผู้หญิงก็ดังขึ้นที่หน้าประตู ลั่วจื่อจี้อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว สีหน้าของคุณแม่ลั่วที่อ่อนลงในตอนแรกเยือกเย็นลงอีกครั้งทันใด
“แม่คะ ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ เขายังทำร้ายพี่จื่อหานไม่พออีกเหรอ? เขาจะเอายังไงกันแน่” พูดพลางต้องการจะพุ่งเข้ามา แต่ถูกลั่วจื่อจี้คว้าไว้ได้
เขามองผู้หญิงที่โกรธเกรี้ยวด้วยอาการปวดหัว “หลิงจื่อเซี่ย เธอใจเย็นหน่อยสิ แม่ยังไม่ได้พูดอะไรเลย เธอจะทำอะไรน่ะ?”
คุณแม่ลั่วเอ่ยปากช้าๆ เปี่ยมด้วยความเย้ยหยันและดูถูก “เธอใช้ปากนี้หลอกล่อจื่อหานสินะ? อุบัติเหตุ ก็เพราะอุบัติเหตุนี้แหละ จื่อหานถึงเกือบเอาชีวิตไม่รอด ทำไม เธอยังอยากให้เกิดเรื่องอื่นอีกเหรอ”
อี้เป่ยซีกัดริมฝีปาก เงยหน้าขึ้นด้วยความดื้อรั้น “ฉันไม่เคยคิดทำร้ายลั่วจื่อหาน”
“เธอไม่เคยคิด แต่ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพราะเธอ คุณหนูอี้ เธอน่าจะเข้าใจหัวอกของฉันนะ” เธอเลิกคิ้วขวาขึ้น “จื่อเซี่ย ส่งแขก หวังว่าต่อไปคุณหนูอี้จะไม่เข้าบ้านคนอื่นตามใจชอบโดยไม่ได้รับอนุญาตอีก ถ้าพ่อแม่ไม่ได้อบรมสั่งสอนเธอเรื่องพวกนี้ ฉันก็ไม่รังเกียจที่จะช่วย”
หลิงจื่อเซี่ยหัวเราะเย็นชา สะบัดมือของลั่วจื่อจี้ “คุณหนูอี้ เชิญทางนี้ค่ะ”
อี้เป่ยซีกัดริมฝีปาก เธอต้องออกแรงอย่างมากเพื่อรักษาลำตัวให้ตั้งตรง ลำคอที่ยืดไว้ก็เมื่อยล้าเล็กน้อย เธอก้าวเดินตามหลังหลิงจื่อเซี่ยออกไปด้วยความเย่อหยิ่ง ประตูปิดลงแต่ไม่ได้ปิดกั้นเสียงประโยคสุดท้ายของคุณแม่ลั่ว
“อย่าซี้ซั้วเอาของอะไรก็ไม่รู้เข้าบ้าน เข้าใจไหมลูก?”
————