บทที่ 748 จุดเริ่มต้นของการออกสำรวจอวกาศ

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

เลย์เรีย เชย์ลี และลูกศิษย์คนอื่นๆ ต่างยืนอยู่ด้านนอกห้องทดลองเล็กและเฝ้ามองประตูมิติและลวดลายเวทมนตร์หรี่แสงลง พวกเขาไม่อยากไปจากตรงนั้น ต่างรู้สึกราวกับมีอุ้งมือแมวมาคอยข่วนหัวใจ และพวกเขาก็แทบจะเก็บความสงสัยใคร่รู้เอาไว้ไม่อยู่

เป็นเวลานานทีเดียว กว่าที่อัลฟาเลียจะเอ่ยปากขึ้นในที่สุด “เรายืนอยู่ตรงนี้ก็ทำอะไรไม่ได้ และเราก็ไม่รู้เลยว่าพวกเขาจะกลับมากันตอนไหน เราควรจะจดจ่อกับหน้าที่ของเราในตอนนี้ อย่างไรเสีย พวกเขาย่อมต้องบอกเราถึงสิ่งที่ได้ประสบพบเจอหลังจากกลับมาอยู่แล้ว”

ไฮดี้ยินดีแบ่งปันเรื่องราวเสมอ ตราบใดที่มันมิใช่ความลับ

“ใช่ เรายังมีการทดลองตามตารางเวลาอีกมากมายที่ต้องทำ มีข้อมูลอีกเป็นกองให้วิเคราะห์ การทดลองใหม่ๆ ที่ต้องออกแบบ และเวทมนตร์บทใหม่ก็ต้องวิเคราะห์…” ทีแรก เลย์เรียเพียงอยากจะบอกว่าตนเห็นด้วยกับอัลฟาเลีย แต่ยิ่งนางพูด นางก็ยิ่งรู้สึกว่าชีวิตของนางช่าง ‘สิ้นหวัง’ นัก

ลาซาร์พยักหน้าและปรบมือ หลังจากที่ทุกคนหันมาสนใจเขา เขาก็เอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “อย่ามัวแต่ยืนรอยู่ตรงนี้เลย ไม่มีใครรู้ว่าอีวานส์กับคนที่เหลือไปไหนกัน และจะใช้เวลานานแค่ไหนกว่าพวกเขาจะกลับมา เรากลับไปทำการทดลองให้เสร็จก่อนทีกว่านะ”

เวลาที่เขาพูดคุยกับลูเซียนและสหายที่คุ้นเคยกันดี ส่วนใหญ่แล้วเขาก็จะเรียกอีกฝ่ายว่า ‘ลูเซียน’ ตรงๆ แต่เวลาอยู่ในสถาบันอะตอม เพื่อแสดงความเคารพอีกฝ่ายในฐานะผู้จัดการสถาบัน เขามักจะเรียกอีกฝ่ายว่า ‘อีวานส์’ เวลาพูดคุยกับเหล่าผู้ช่วยระดับผู้ฝึกใช้มนตรา

“ขอรับ ท่านลาซาร์” โลวี่และผู้ช่วยคนอื่นๆ หันกลับไปมองห้องทดลองเล็ก ใจไม่อยากจะจากไป แต่พวกเขาก็สามารถกักเก็บความสงสัยใคร่รู้และกลับไปยังห้องทดลองของตน

“ข้าล่ะสงสัยจริงๆ ว่าอาจารย์ของเราเทเลพอร์ตไปที่ไหน” เชย์ลีเอ่ยกับเลย์เรียด้วยความสับสน

เลย์เนียครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบ “มันคงต้องเกี่ยวข้องกับการศึกษาในขอบเขตของโลกจุลภาคเป็นแน่ มิเช่นนั้นอาจารย์ของเราคงไม่ติดตั้งมันภายในสถาบัน แทนที่จะยื่นเรื่องขอตั้งโครงการงานวิจัยเวทมนตร์ขึ้นมาใหม่หรอก”

ทั้งสองเดินเลี้ยวหัวมุมขณะตั้งข้อสงสัยอย่างกระตือรือร้นถึงจุดหมายปลายทางของวงแหวนเวทที่อาจารย์สร้างขึ้น แม้ว่าพวกนางย่อมได้รับคำตอบหลังจากที่ไฮดี้กลับมา แต่เรื่องสนุกที่สุดของการสงสัยใคร่รู้ก็คือการคาดเดามิใช่หรือ

เลย์เรียและเชย์ลีเพิ่งก้าวไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆ ทั้งสองก็สัมผัสได้ถึงคลื่นเวทมนตร์ที่ระเบิดโพลงออกมาจากทางด้านหลัง จากการหยั่งรู้ด้วยพลังจิต พวกนางสัมผัสได้ว่าลวดลายสัญลักษณ์เวทมนตร์ภายในห้องทดลองเล็กกำลังเปล่งแสงขึ้นทีละลวดลาย แยกพลังงานจากหอคอยเวทมนตร์อัลลินและแผ่แสงสีเงินอันผุดผ่องเจิดจ้า

ท่ามกลางภาพชวนฝันนั้น ประตูมิติที่หรี่แสงลงกลับเปล่งประกายโปร่งแสงระยิบระยับขึ้นมาอีกครา

“กลับมากันแล้วหรือ”

“ท่านอีวานส์กลับมาแล้วหรือ”

ท่ามกลางเสียงอุทานด้วยความสับสนระคนตื่นเต้น อัลฟาเลีย โลวี่ และคนที่เหลือที่กำลังเดินเอื่อยเฉื่อยกลับไปทำงานพลันกระโดดตัวลอยราวกับกระต่าย พวกเขามีปฏิกิริยาขึ้นมาฉับพลันและว่องไว ดูราวกับพวกเขารอคอยเวลานี้มาตลอด

ประตูแห่งแสงพลันระเบิดแสงสว่างบริสุทธิ์ไร้สิ่งปนเปื้อนออกมาจนเต็มทั้งห้องทดลอง

เมื่อแสงนั้นหายไป ประตูมิติก็หายไปแล้วเช่นกัน กลับปรากฏร่างของคนห้าคน ณ ใจกลางวงแหวนเวท พวกเขาก็คือลูเซียนและลูกศิษย์ทั้งสี่

“ไฮดี้ เจ้าไปที่ใดมา”

“ไฮดี้ เจ้าได้ไปเห็นอะไรมา”

เลย์เรียและเชย์ลีโพล่งถามไฮดี้อย่างพร้อมเพรียงกัน ราวกับว่าพวกนางเป็นคนช่างพูดมาตลอด!

ไฮดี้ได้ยินคำถามของสหายตน ก่อนที่นางจะหายจากอาการวิงเวียนเสียอีก นางยกมือขึ้นนวดศีรษะพลางหัวเราะขัน “เจ้าต้องเดาไม่ออกแน่ๆ ว่าเราไปที่ใดมา มันเป็นที่ที่ ‘โรแมนติก’ สุดๆ ไปเลยล่ะ”

“โรแมนติกงั้นรึ” ลาซาร์อดไม่ได้ที่จะทวนคำนั้นซ้ำ นั่นมิช่คำที่เขาคิดไว้ในหัวเลย

“โรแมนติก…” เลย์เรียกับเชย์ลีถึงกับนึกจินตนาการไม่ออก ก่อนหน้านี้ทั้งสองลองเดาสถานที่ต่างๆ ดู แต่ก็ไม่มีที่ไหนมีความเกี่ยวข้องกับคำว่า ‘โรแมนติก’ แม้เพียงนิด ที่นี่คือสถาบันอะตอมนะ!

ไฮดี้ยิ้มแฉ่ง “ใช่ มันเป็นที่ที่โรแมนติกมาก โรแมนติกเสียยิ่งกว่าทิวทัศน์แสนโรแมนติกใดๆ ที่ข้าเคยเห็นมาก่อนเลย!”

เมื่อได้เห็นสีหน้าประหลาดใจและสับสนมึนงงของสหาย นางก็ให้รู้สึกดีขึ้นนัก

“เอ่อ…เจ้าขึ้นไปบนอวกาศมาเช่นนั้นหรือ” อัลฟาเลียถามด้วยท่าทางไม่มั่นใจนัก

หลังจากอึ้งไปครู่หนึ่ง ไฮดี้ก็ถามกลับด้วยความประหลาดใจ “เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน”

“เจ้าขึ้นไปบนอวกาศมาจริงๆ น่ะหรือ” เลย์เรียถามด้วยความตกตะลึง

เมื่อเห็นว่าทุกคนมองมาที่ตน อัลฟาเลียจึงกล่าวอย่างขัดเขินว่า “ข้าเพียงแต่นึกถึงแบบสอบถามใน ‘ทรรศนะอัลลิน’ ฉบับหนึ่งน่ะ มันเกี่ยวกับทิวทัศน์ที่โรแมนติกที่สุดสำหรับเหล่านักเวท ที่ติดอันดับต้นๆ คือท้องฟ้ายามราตรี ซึ่งสามารถทำให้คนคนหนึ่งรู้สึกได้ถึงความกว้างใหญ่ของจักรวาล ความเล็กจ้อยด้อยค่าของเหล่ามนุษย์ และความอยู่เหนือทุกสรรพสิ่งของสายธารแห่งโชคชะตา ข้าจึงเดาเอาว่าเจ้าคงขึ้นไปบนอวกาศมา…”

“จะต้องเป็นนักเวทจากสำนักโหราศาสตร์ที่ทำแบบสอบถามนี้เป็นแน่!” ไฮดี้บ่นฮึ่มฮั่ม “ก็ได้ อัลฟาเลีย เจ้าเดาถูก เราขึ้นไปเยี่ยมอวกาศมาจริงๆ อาจารย์ของเราได้สร้างห้องสังเกตการณ์จักรวาลขึ้นมาบนนั้นเพื่อให้เราศึกษารังสีคอสมิกและสังเกตดูดาวเคราะห์น้อยที่ผ่านไปมา เลย์เรีย เชย์ลี เจ้าต้องจินตนาการไม่ออกแน่ว่าการยืนอยู่ในอวกาศมันให้ความรู้สึกอย่างไร ที่นั่นมีแต่ความมืดมิดอันไร้ขอบเขตและลึกสุดหยั่ง เป็นที่ที่ดวงดาวฝังตัวอยู่เหมือนกับจุดแสงสีขาวเป็นประกายเจิดจ้า พวกมันไม่กระพริบแสงเลย ดูราวกับภาพวาดอันไร้ที่สิ้นสุด”

ยิ่งนางพูด นางก็ยิ่งมีท่าทางตื่นเต้น “พอไปถึงในอวกาศ ข้าจึงได้ตระหนักถึงความด้อยค่าของตัวเรา ความใหญ่โตมโหฬารของทั้งจักรวาล และความหวาดเกรงลึกล้ำจากก้นบึ้งของหัวใจข้า จักรวาลนั้นศักดิ์สิทธิ์เสียยิ่งกว่าพระเจ้าองค์ใดในคำประกาศชวนเชื่อเสียอีก! จนถึงตอนนั้นเอง ข้าถึงได้เข้าใจอย่างแท้จริงว่าท่านประธานพูดอะไรเป็นการปฏิเสธการล่อลวงของพระสันตะปาปาไวเค็น ผู้ใดก็ตามที่ได้ไปเห็นท้องทะเลแห่งดวงดาวและมองว่าดวงดาวเหล่านั้นคือเป้าหมายในชีวิต พวกเขาจะรู้สึกประทับใจกับแค่ ‘พระเจ้า’ สักองค์บนดาวเคราะห์ดวงเล็กๆ เช่นนั้นหรือ”

คำบรรยายของไฮดี้ทำให้ดวงตาของเลย์เรีย เชย์ลี อัลฟาเลีย และนักเวทหญิงคนอื่นๆ ถึงกับเหม่อลอย ราวกับพวกนางเองได้ไปยืนอยู่ในอวกาศและแบ่งปันความรู้สึกเหนือคำบรรยายนี้ ลาซาร์ เจโรม และนักเวทจากสำนักเวทธาตุต่างก็รู้สึกประทับใจเช่นกัน

ลูเซียนส่ายศีรษะอย่างเห็นขัน ‘นี่ห้องสังเกตการณ์จักรวาลมีความสำคัญด้านการศึกษาถึงขนาดนี้เชียวหรือ มันช่วยให้นักเวททั้งหลายสร้างทัศนคติที่ดีโดยไม่ถูกนักบุญแห่งสัจธรรมหลอกลวงได้เชียวหรือ’

“อาจารย์เจ้าคะ เมื่อไหร่…เมื่อไหร่เราถึงจะไปที่ห้องสังเกตการณ์จักรวาลได้หรือเจ้าคะ” หลังจากได้ยินคำพร่ำพรรณนาของไฮดี้ เลย์เรียจึงมองไปทางลูเซียนด้วยดวงตาเป็นประกาย ทั้งใบหน้าและท่าทางของนางแสดงออกชัดว่านางทนรอไม่ไหวแล้ว

เชย์ลี อัลฟาเลีย และสตรีนางอื่นต่างมีท่าทางเดียวกัน ลาซาร์ ร็อค โลวี่ และสุภาพบุรุษท่านอื่นมิได้พูดอะไรและพยายามควบคุมตัวเอง แต่ดวงตาที่ฉายแววปรารถนาแรงกล้านั้นก็ยังคง ‘ทรยศ’ พวกเขาอยู่ดี

ลูเซียนหัวเราะ “ห้องนี้สร้างมาเพื่อให้พวกเจ้าทำการทดลอง อีกอย่าง เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง พวกเจ้าต้องอยู่ในห้องนั้นตลอดสัปดาห์ทุกครั้ง การอยู่ในอวกาศหนึ่งหรือสองชั่วโมงอาจจะดูโรแมนติก แต่ถ้าเกิดว่าระยะเวลามันนานกว่านั้นเล่า ความมืดที่มีอยู่มากมายล้นเหลือ ความว่างเปล่าหาใดเปรียบ และความโดดเดี่ยวชั่วนิรันดร์จะทำให้พวกเจ้าเสียสติเอาได้ แม้ว่าพวกเจ้าจะมีกันอยู่ห้าคนก็ตาม มันมิใช่ความรู้สึกที่จะทดแทนได้ด้วยความโรแมนติก พวกเจ้าทำได้เพียงค่อยๆ ปรับตัวไปกับมันช้าๆ และพวกเจ้าก็ต้องเตรียมใจให้พร้อมสำหรับการผจญภัย มิเช่นนั้นข้าจะไม่อนุญาตให้ไปบนนั้น”

“อาจารย์วางใจได้ขอรับ ข้าสามารถอยู่เงียบๆ ได้เป็นเดือนเลยขอรับ” แอนนิคแสดงความตั้งใจของตนเป็นคนแรก

ไฮดี้ที่มักจะเป็นคนไม่อยู่นิ่งพลันขมวดคิ้วมุ่น แต่นางก็ยังคงบอกออกไปว่า “อาจารย์เจ้าคะ ระหว่างที่เราอยู่บนนั้น เราก็คงอุทิศความสนใจส่วนใหญ่ให้กับการทดลองอยู่แล้ว ไม่ว่าที่แห่งนั้นจะว่างเปล่า มืดมิด และโดดเดี่ยวมากเพียงใด มันย่อมไม่ส่งผลอันใดกับเราหรอกเจ้าค่ะ”

“เช่นนั้น พวกเจ้ากลับไปร่างแผนการทำวิจัยของตัวเองมา ข้าจะเลือกผู้ที่เตรียมการได้อย่างละเอียดถี่ถ้วนที่สุด” ลูเซียนแย้มยิ้ม

ไฮดี้หันไปพูดกับคาทรินาและสหายคนอื่นๆ เสียงแผ่ว “ช่างสมกับเป็นรอยยิ้มปีศาจจริงๆ…”

เพื่อความโรแมนติกของอาร์คานาศาสตร์ พวกเขาจึงสลายตัวอย่างรวดเร็วและเริ่มออกแบบแผนการทำวิจัยเพื่อศึกษารังสีคอสมิกและอวกาศอันกว้างใหญ่ทันที

“เลย์เรีย เจ้าไม่มีทางเข้าใจได้จริงๆ ว่าข้ารู้สึกอย่างไรจนกว่าเจ้าจะได้ขึ้นไปบนห้องสังเกตการณ์จักรวาลจริงๆ…ข้านึกภาพเอาไว้แล้วล่ะ ข้านั่งขัดสมาธิอยู่ภายในห้องสังเกตการณ์ตามลำพัง โดยมีความว่างเปล่าและความมืดอันไร้ขอบเขตอยู่รอบกาย รวมถึงดวงดาวสุกสกาวที่มีอยู่ทุกทิศทาง ที่นั่นไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นใดอีกนอกจากข้า…ถ้าเพียงแต่เราจะมองเห็นโลกที่เราอยู่ได้ล่ะก็นะ ความรู้สึกเหมือนว่ากำลังมองลงมายังทุกสรรพสิ่งจากบนนั้นคงจะต้องวิเศษยิ่งกว่านั้นเป็นแน่!” ไฮดี้พูดกับเลย์เรียไม่หยุด ทุกคนย่อมมีความหมายของคำว่าความโรแมนติกเป็นของตัวเอง

เลย์เรียไม่ได้รู้สึกว่าไฮดี้พูดมากอะไร นางกลับรับฟังอย่างตั้งใจและออกความเห็นด้วยความรู้สึกที่ปะปนกันหลากหลาย “แม้จะไม่มีภาพที่เจ้านึกจินตนาการไว้ เพียงการได้ไปยืนอยู่ในอวกาศก็เป็นประสบการณ์ที่ทำให้จอมเวทส่วนใหญ่อิจฉาแล้วล่ะ”

“ฮ่าๆ โดยเฉพาะพวกที่มาจากหอคอยและสำนักโหราศาสตร์ พวกนั้นคงจะโขกหัวกับกำแพงด้วยความอิจฉาริษยาเป็นแน่ ช่วยไม่ได้ที่พวกเขามิได้มีอาจารย์ผู้เก่งกาจสุดยอดเช่นนี้!” ไฮดี้นึกถึงสหายบางคนที่รู้สึกแล้วหัวเราะอย่างมีความสุขยิ่งกว่าเดิม

ภายในองค์กรหอคอย…

ซาแมนธาจดจ่ออยู่กับการศึกษาดวงชะตาที่เพิ่งวาดออกมาใหม่ในตอนที่นางได้ยินเสียงฝีเท้าถี่รัวดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ก่อนที่ใครบางคนจะเคาะประตูห้องของนาง

“ราเชล รีบร้อนอันใดกัน” เมื่อซาแมนธาเงยหน้าขึ้น ประตูก็เปิดออกด้วยตัวมันเอง

ราเชลเอ่ยตอบด้วยความตื่นเต้นและกระตือรือร้น “ท่านอีวานส์ได้สร้างห้องสังเกตการณ์ในอวกาศเพื่อศึกษารังสีคอสมิกและโหราศาสตร์!”

“ห้องสังเกตการณ์จักรวาลเช่นนั้นหรือ” ซาแมนธาทวนคำด้วยความตกตะลึง

“ใช่แล้ว ไฮดี้เพิ่งไปที่ห้องสังเกตการณ์นั้นมาและได้เดินทางในอวกาศจริงๆ ประสบการณ์ที่นางบรรยายนั้นช่าง…ช่าง…” ราเชลลังเลอยู่นาน แต่ก็ไม่อาจหาคำอธิบายที่เหมาะสมได้ ทว่าสีหน้าอิจฉาริษยาของนางกลับไม่อาจปิดบังได้

ซาแมนธาผุดลุกขึ้นพลางพึมพำ “เดินทางในอวกาศงั้นรึ”

จักรวาลอันไร้ขอบเขตคือสถานที่อันยอดเยี่ยมและศักดิ์สิทธิ์ที่สุดสำหรับนักเวททุกคนในสำนักโหราศาสตร์ การท่องไปในอวกาศคือหนึ่งในแรงผลักดันสำหรับพวกเขาในการกลายเป็นนักเวทชั้นตำนาน แต่บัดนี้ พวกเขากลับมีโอกาสขึ้นไปบนนั้นล่วงหน้าอย่างนั้นน่ะหรือ

“ใช่! จอมเวทแห่งหอคอยต่างตื่นเต้นกันไปหมด! บางคนยังเสนอว่าราควรจะสร้างเป็นของเราเองสักห้องหนึ่ง และใครสักคนได้ยื่นเรื่องไปทางคณะกรรมการวิจัยแล้ว ด้วยหวังจะขอยืมห้องสังเกตการณ์จักรวาลของสถาบันอะตอม!” ราเชลตอบด้วยอาการตื่นเต้น “เร็วเข้า เรามาร่างแผนการทำวิจัยของเราเองกันเถิด!”

แม้ว่า ‘ห้องสังเกตการณ์จักรวาล’ ของลูเซียนจะเป็นวัตถุขนาดใหญ่ยักษ์ระดับเก้า ซึ่งใกล้เคียงกับระดับตำนานอย่างมากและต้องใช้วัตถุดิบอุปกรณ์มากมายนับไม่ถ้วน แต่มันก็หาใช่ของในระดับตำนานอยู่ดี ทางหอคอยย่อมมีกำลังพอจะสร้างมันได้สักห้องสองห้อง

ซาแมนธาออกความเห็นด้วยความสับสน “นี่เราเริ่มออกสำรวจท้องทะเลแห่งดวงดาวแล้วอย่างนั้นหรือ…”