ตอนที่ 204 โดย Ink Stone_Romance
ตอนที่ 204 วิกฤตความจำ (2)
ลั่วจื่อจี้กัดฟัน เหลียวมองหลิงจื่อเซี่ยอย่างดุร้าย ยังไม่ทันได้คุยกับเขาก็คว้ากุญแจรถวิ่งออกไปแล้ว เมื่อก่อนเขามองหลิงจื่อเซี่ยผิดไปจริงๆ นึกว่าเป็นเพียงอารมณ์เอาแต่ใจและความเย่อหยิ่งของเธอ คิดไม่ถึงว่าจะใช้วิธีไร้ยางอายเช่นนี้ เธอก็รู้ดีว่าลู่เซิงเกลียดชังอี้เป่ยซีจนแทบอยากจะกำจัดเธอออกไปอย่างเร็วที่สุด
“เขาเป็นอะไรไป?” คุณแม่ลั่วถาม
หลิงจื่อเซี่ยควงแขนของคุณแม่ลั่ว ยิ้มหวาน “ไม่มีอะไรค่ะ จู่ๆ คงนึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ แม่คะ พวกเราเข้าไปกันเถอะ”
คุณแม่ลั่วพยักหน้า ทันทีที่หลิงจื่อเซี่ยเปิดประตูก็เห็นลั่วจื่อหานนอนคุดคู้อยู่บนเตียง ดวงตามีสีเลือดแดงก่ำ ราวกับไม่ได้นอนมาหลายวัน ดูอิดโรยมาก ประตูเพิ่งจะเปิดออก เขาก็กวาดตามองคนที่อยู่นอกประตูอย่างเย็นชา ทุกคนตะลึงงัน
“จื่อ จื่อหาน ลูกเป็นอะไรไป?” คุณแม่ลั่วมีปฏิกิริยาตอบสนองก่อน รีบเดินเข้าไปหาลั่วจื่อหาน “แผลลูกยังไม่หายดี รีบนอนลง นอนลง”
ลั่วจื่อหานตาแดง “พอนอนลงไปแล้ว แม่ก็จะหาวิธีให้คนลบความทรงจำผม?”
“แม่หวังดีกับลูกนะ”
“ผมไม่เห็นด้วย!” ไม่รู้ว่เพราะอะไร สีหน้าของลั่วจื่อหานซีดขาวมาก “แม่ ต่อให้ผมตาย ก็จะไม่อนุญาตให้แม่ทำแบบนี้”
คุณแม่ลั่วก็มีน้ำโหเหมือนกัน “ลั่วจื่อหาน ลูกดูสิว่าตอนนี้ลูกอยู่ในสภาพไหน เพื่อผู้หญิงคนเดียว ลูกพูดจากับแม่แบบนี้เหรอ?”
ลั่วจื่อหานพิงหมอน หลับตาลงช้าๆ เหงื่อค่อยๆ ไหลลงมาจากหน้าผาก “แม่ ดึกมากแล้ว แม่กลับไปเถอะ”
“จื่อหาน ลูก…” ทำไมเขา ทำไมเขาถึงยังนั่งอยู่ตรงนี้อย่างมีสติครบถ้วน เขาไม่ได้กินยาที่เธอส่งมาให้เหรอ? ทั้งๆ ที่เธอมั่นใจแล้วว่าจะไม่มีใครบอกเขาถึงแผนการของตัวเอง
ลั่วจื่อหานยังคงไม่ลืมตา “แม่ นี่เป็นเรื่องของผม เหินอวี่ ส่งคุณนายกับคุณหนูหลิงกลับไป” คนในชุดดำพุ่งเข้ามาหาคุณแม่ลั่ว เขายืนอยู่ด้านข้างอย่างนอบน้อม แต่กลับให้ความรู้สึกที่ไม่อาจต้านทานได้
“ลูกพักผ่อนให้มากๆ” มีแสงวูบผ่านดวงตาของคุณแม่ลั่ว เธอพาหลิงจื่อเซี่ยออกไปจากห้อง ลั่วจื่อหานจึงโล่งอกและหลับตาลงอย่างลึกซึ้ง
มู่ลี่ไป๋ไล่ทุกคนที่อยู่ด้านหลังเขาออกไป รุดเข้าไปหาลั่วจื่อหานอย่างรวดเร็ว ทันทีที่ดึงผ้าห่มออก เลือดสดๆ จากทรวงอกทำให้เสื้อผ้าเป็นสีแดงฉานแล้ว เขาขมวดคิ้วถอนหายใจ นำผ้าพันแผลที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ รวมทั้งเครื่องใช้และยารักษาบาดแผลทั้งหมดออกมา
แต่ว่าโชคดีที่สิ่งต่างๆ ยังไม่เลวร้ายนัก
“รู้ไหมว่าลั่วจื่อจี้ไปทำอะไร?”
เหินอวี่ส่ายหน้า ยังคงยืนอยู่ด้านข้างเหมือนท่อนไม้
หลังจากจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว มู่ลี่ไป๋จึงยืดเหยียดอย่างผ่อนคลาย มองดูประตูห้องที่ปิดสนิท
เขาคิดไม่ถึงเลยว่าแม่ของลั่วจื่อหานจะรังเกียจอี้เป่ยซีถึงเพียงนี้ รังเกียจจนไม่ลังเลที่จะลงมือกับลูกชายของตัวเอง เธออาจจะไม่รู้ว่าการลบความทรงจำจะนำความสูญเสียมาให้ลั่วจื่อหานมากมายแค่ไหน ถ้าไม่ใช่เพราะลั่วจี้หานบอกให้เขาปะปนอยู่ในบรรดาหมอเหล่านั้น ก็ไม่รู้จริงๆ ว่าหลังจากลั่วจื่อหานฟื้นแล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
แต่ว่าลั่วจื่อหานก็ไหวพริบดีมาก รับรู้ได้ถึงความผิดปกติของยา เลือกที่จะฉีกบาดแผลของตัวเองเพื่อให้ตื่นตัวอยู่เสมอ
แต่ว่าทำไมลั่วจื่อจี้ถึงออกไปอย่างกะทันหันล่ะ?
“เหินอวี่ นายรีบส่งคนไปที่ที่อี้เป่ยซีอยู่ เร็วเข้า”
อี้เป่ยซีทำเตียงอยู่ในห้องของตัวเอง เพราะว่าใจลอยเล็กน้อยผ้าปูเตียงสะอาดในมือจึงร่วงหลุดหลายรอบ เธอปัดๆ ฝุ่น กำลังจะลุกขึ้นมาจากพื้นก็มีอาการเจ็บแปลบที่ท้ายทอย ภาพเบื้องหน้าดับวูบ หมดสติไป เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าตัวเองถูกมัดอยู่กับเก้าอี้ไม้สีเหลือง
เธอมองสิ่งแวดล้อมโดยรอบ มันเป็นเหมือนโรงงานผุพังแห่งหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่ขึ้นสนิมอยู่ด้านข้าง บนพื้นก็เต็มไปด้วยเศษหิน มีแมลงที่ไม่รู้ว่าตัวอะไรเข้ามาให้เห็นเป็นครั้งคราว แล้วจากไปอย่างเชื่องช้า
ที่นี่มันที่ไหน?
เธอยังอยากจะมองดูอีกหน่อย แต่เทปบนปากก็ถูกคนดึงออกจนทำให้รู้สึกเจ็บหน้าเล็กน้อย อี้เป่ยซีมองผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า เธอใส่ชุดสีดำรัดรูป แม้จะค่อนข้างสะบักสะบอมแต่ก็ไม่สามารถซ่อนความงดงามของเธอได้ อีเป่ยซีขยับปากด้วยความเหลือเชื่อ
ลู่เซิง?
“เห็นฉันแล้วตกใจมากเหรอ?” ลู่เซิงจ้องอี้เป่ยซีด้วยความดุร้าย นั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามราวกับราชินี
“เธอ เธอไม่เป็นไรนะ?”
ลู่เซิงหัวเราะ “อี้เป่ยซี เธอคิดว่าฉันไม่เป็นไรเหรอ?”
“มัน เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
“เธออย่าแสร้งทำเป็นไม่รู้หน่อยเลย”
อี้เป่ยซีกระพริบตา “แต่ว่าฉันไม่รู้จริงๆ นี่นา”
“เธอไม่รู้ งั้นฉันจะบอกเธอ ที่ฉันเป็นแบบนี้ก็ต้องขอบคุณเธอ ลู่เยี่ยจิ่งถอนการแต่งงานไม่ต้องการฉันแล้ว ฉันก็ไม่ต่างอะไรกับหนูตัวนึง ต้องอยู่อย่างหลบซ่อนไปทุกที่ แม้แต่พ่อของฉัน ตอนนี้พ่อของฉันก็ถูกบีบอยู่ในกำมือของลั่วจือหาน ตอนนี้เธอเข้าใจแล้วยังว่าเกิดอะไรขึ้น?”
อี้เป่ยซีเงียบไป มาพูดถึงผลลัพธ์แล้วเธอจะไปรู้ถึงสาเหตุได้อย่างไร อีกอย่างเรื่องพวกนี้ก็เป็นของลั่วจื่อหานกับลู่เยี่ยจิ่ง เช่นนั้นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ หรือว่า…ลู่เซิงต้องการจะใช้เธอเพื่อข่มขู่พวกเขาสองคน?
ไม่ใช่สิ ถ้าเป็นแบบนั้น ทำไมต้องบอกว่าขอบคุณเธออี้เป่ยซีล่ะ คนที่ลู่เซิงลักพาตัวก็ควรเป็นพวกลั่วจื่อหานสิ
หรือว่ามีอะไรที่เธอไม่รู้?
อี้เป่ยซีครุ่นคิด อาจมีเรื่องที่เธอไม่รู้จริงๆ และมีมากด้วย จู่ๆ เธอก็รู้สึกอ่อนไหว ดูแล้วลั่วจื่อหานปิดบังเธอหลายอย่าง ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะคิดอย่างมีเหตุผลเมื่อตัวเองอยู่ในสถานการณ์แบบนี้
ทันใดนั้นบางอย่างก็แวบเข้ามาในสมองของเธอ เธอรู้สึกว่าตัวเองเกือบจะไขว่คว้าไว้ได้แล้ว แต่สุดท้ายก็ยังคงว่างเปล่า เธอไม่รู้อะไรเลยจริงๆ
ช่างเถอะ ตอนนี้รู้ไปก็ไม่มีความหมายแล้ว คิดว่าจะออกไปยังไงก่อนยังจะดีกว่า อี้เป่ยซีแอบมองลู่เซิงที่มีสีหน้าบึ้งตึง ลักษณะของเธอยังคงเผยให้เห็นถึงท่าทางของคุณหนูผู้สูงศักดิ์ เธอไม่สูญเสียสภาวะทางอารมณ์ของตัวเองเพียงเพราะสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน แต่ว่าพฤติกรรมที่เป็นปกติแบบนี้ยิ่งทำให้อี้เป่ยซีไม่เข้าใจว่าลู่เซิงต้องการจะทำอะไรกันแน่
“ลู่…”
“ชู่ว…” ลู่เซิงหัวเราะเยาะเย้ย “คนยังมาไม่ครบ รอแป๊บนึง พวกเราก็จะเริ่มได้แล้ว”
ทั้งสองคนนั่งอยู่ความเงียบครู่หนึ่ง จึงได้ยินเสียงเครื่องยนต์จากข้างนอก จากนั้นผู้หญิงในชุดเดรสสีขาวก็เดินขมวดคิ้วเข้ามาในห้อง หลิงจื่อเซี่ยมองดูอี้เป่ยซีที่ถูกผูกติดไว้กับเก้าอี้ ใบหน้าก็อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มแห่งความสำเร็จออกมา
“นี่คือคุณหนูใหญ่อี้ไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ได้ล่ะ?” เสียงหัวเราะของเธอเจือปนความเย้ยหยัน หน้าตาก็เบิกบานไปตามอารมณ์ของเธอด้วย
น่าเสียดายเหลือเกินที่เธอไม่สามารถลบร่องรอยของอี้เป่ยซีไปจากความทรงจำของลั่วจื่อหานได้ แต่ว่าตอนนี้เธอยังสามารถกำจัดอี้เป่ยซีออกไปจากชีวิตของลั่วจื่อหานได้โดยสิ้นเชิง ไม่ว่าเธอต้องจ่ายด้วยราคาเท่าไรก็ตาม!
————