ตอนที่ 281-2 รัชทายาท

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

วังหลวง ตำหนักเจาเต๋อ

 

 

ฉินซู่เฟยกำลังเช็ดน้ำตาต่อหน้าฮ่องเต้ยงเซวียน “ฝ่าบาท ไยถึงมีคนอำมหิตเช่นนี้นะ หม่อมฉันเพิ่งรู้ว่ามีคนร้องเรียนบิดาว่าหมายก่อกบฏ ช่างเป็นเรื่องตลกจริงๆ! บิดาของหม่อมฉันตรากตรำทำงานด้วยความสุขุมรอบคอบเพื่อต้ายงมาหลายสิบปี เหล่านี้ฝ่าบาทก็เห็นอยู่กับตา บิดาจะกบฏได้อย่างไรเพคะ ฝ่าบาท ท่านต้องตัดสินแทนบิดาหม่อมฉัน อย่าให้แผนชั่วของคนถ่อยบรรลุผลนะเพคะ”

 

 

ฮ่องเต้ยงเซวียนตรัสว่า “ซู่เฟยวางใจเถอะ ข้าส่งคนไปตรวจสอบแล้วมิใช่หรือ ไม่มีทางปรักปรำเสนาบดีฉินเด็ดขาด ใช่หรือไม่ลูกพ่อ” เขาเบือนหน้าถามองค์ชายรองที่ยืนอยู่ข้างๆ

 

 

องค์ชายรองรีบกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “เสด็จพ่อทรงปรีชา! กระหม่อมแม้เชื่อว่าเสนาบดีฉินไม่มีทางทำเรื่องไม่ภักดีเช่นนี้ ทว่าท้ายที่สุดสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น อย่างไรก็ตรวจสอบสักคราดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

แล้วหันหน้าปลอบใจเสด็จแม่ของเขาว่า “เสด็จแม่ไม่ต้องกังวล ผู้บริสุทธิ์ย่อมบริสุทธิ์ เสด็จพ่อมิอาจทนดูขุนนางถูกปรักปรำหรอก”

 

 

ฮ่องเต้ยงเซวียนพยักหน้าว่า “ใช่ เสนาบดีฉินเป็นขุนนางสำคัญของแคว้น ข้าไม่มีทางทนดูเขาถูกปรักปรำหรอก”

 

 

“หม่อมฉันขอบพระทัยฝ่าบาทที่เชื่อมั่นในตัวบิดา” ฉินซู่เฟยเช็ดน้ำตาที่หัวตาทิ้งไป ยังคงไม่ค่อยวางใจ เกิดเรื่องนี้ในช่วงที่บุตรชายกำลังจะได้รับการแต่งตั้งเป็นรัชทายาท อย่างไรก็ไม่ค่อยดีนัก “ฝ่าบาท ยิ่งลือมากคนยิ่งเชื่อว่าเป็นจริง ข่าวลือฆ่าคน หม่อมฉันไม่ห่วงว่าฝ่าบาทจะถูกคนถ่อยปิดพระเนตรพระกรรณ ทว่าหม่อมฉันเป็นห่วงชื่อเสียงของบิดาเพคะ!”

 

 

“เช่นนั้นซู่เฟยคิดจะทำเช่นไร ไม่สู้เชิญเสนาบดีเข้าวังอธิบายเถอะ” ฮ่องเต้ยงเซวียนเลิกคิ้ว ไม่รอซู่เฟยตอบก็ตัดสินใจว่า “ใช่ ก็ทำเช่นนี้เถอะ! เรียกใต้เท้าชราพวกนั้นและผิงจวิ้นอ๋องมาพร้อมกัน”

 

 

ราชโองการสั่งลงไปแล้ว ฉินซู่เฟยนอกจากพยักหน้าก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว

 

 

เสนาบดีและคนอื่นๆ ได้รับราชโองการจากฮ่องเต้ยงเซวียนไม่นานนักก็มาถึงตำหนักเจาเต๋อ ฮ่องเต้ยงเซวียนตรัสว่า “เสนาบดีฉิน ผู้ตรวจการร้องเรียนท่านซ่องสุมอาวุธ ข้าเห็นแก่หน้าซู่เฟยและองค์ชายรองอนุญาตให้ท่านอธิบาย”

 

 

เสนาบดีฉินใบหน้าสงบว่า “ฝ่าบาท เรือนตากอากาศที่ชานเมืองของกระหม่อมเป็นเพียงเรือนธรรมดาเท่านั้น ไม่ได้ซ่องสุมอาวุธเด็ดขาด กระหม่อมภักดีทั้งต่อต้ายง และฝ่าบาทท่านพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอสาบานต่อสวรรค์ ไม่มีทางทำเรื่องไม่ภักดีเช่นนี้เด็ดขาด ขอให้ฝ่าบาทอย่าถูกคำพูดยุยงของคนถ่อยโน้มน้าวพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

พวกใต้เท้าชราที่ถูกเชิญมาเป็นพยานสบตากันปราดหนึ่ง อำมาตย์ฝังก้าวออกมาว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมและเสนาบดีฉินทำงานร่วมกันมาหลายสิบปี กระหม่อมเชื่อว่าที่เสนาบดีพูดเป็นความจริงพ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางที่เหลือต่างพยักหน้าตามๆ กัน

 

 

สวีโย่วกลับแค่นเสียงเย็นทีหนึ่ง เอ่ยว่า “ใต้เท้าทั้งหลายอย่าลืมว่ามีคำพูดประโยคหนึ่งกล่าวไว้ว่า ‘รู้คนรู้หน้าไม่รู้ใจ’ ไม่มีลมไหนเลยจะมีคลื่น เสนาบดีฉินหากไม่เคยทำไยถึงมีข่าวลือออกมาเล่า”

 

 

เสนาบดีฉินโต้ตอบด้วยความสุขุมว่า “หากอยากเพิ่มโทษย่อมหาข้ออ้างได้เสมอ”

 

 

สวีโย่วเลิกคิ้วขึ้น “ข้าว่าเสนาบดีฉินไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา พาเข้ามาเถอะ” เขาเสียงดังขึ้นทันที

 

 

แล้วก็เห็นคนคนหนึ่งถูกมัดมือไขว้หลังถูกทหารรักษาพระองค์หิ้วเข้ามา โยนลงพื้นอย่างแรง

 

 

เสนาบดีฉินหน้าถอดสี “ฉินสือ!” จากนั้นจ้องสวีโย่วด้วยความโกรธว่า “ผิงจวิ้นอ๋องทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร จับบ่าวไพร่ของจวนเสนาบดีมาทำอะไร”

 

 

“อ้อ ที่แท้คนผู้นี้เป็นบ่าวไพร่ของจวนเสนาบดีหรือ!” สวีโย่วพูดอย่างไม่แยแส “ข้าเห็นเขาที่เรือนตากอากาศที่ชานเมืองของท่านนั่น ยามนั้นเขาพฤติกรรมลับๆ ล่อๆ ข้าเห็นเขาน่าสงสัยจึงจับเขาไว้ จากนั้นทันทีที่ตรวจค้น ยังค้นพบอาวุธ ดาบยาวสามพันเล่ม ธนูสามพันคัน ยังมีลูกธนูนับไม่ถ้วนในห้องใต้ดินที่เรือนพักตากอากาศของท่านนั่นจริงๆ เสนาบดีฉินจะอธิบายอย่างไรล่ะ”

 

 

“อะไรนะ” เสนาบดีฉินยังไม่ทันอ้าปาก พวกใต้เท้าชราก็ตกตะลึงแล้ว “ที่ผิงจวิ้นอ๋องพูดมาเป็นความจริงหรือไม่”

 

 

สวีโย่วเหลือบมองพวกเขาปราดหนึ่ง กล่าวเสียงดังฟังชัดว่า “จริงแท้แน่นอน!”

 

 

“เป็นไปไม่ได้ เสนาบดีฉินไม่มีทางทำเรื่องทรยศเช่นนี้” องค์ชายรองแย้ง เรื่องเขาเป็นรัชทายาทไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้แล้ว ท่านตาชาญฉลาดปานนั้น ไม่มีทางทำลายตนเองหรอก “เสด็จพ่อ นี่ต้องมีคนใส่ร้ายป้ายสีแน่นอน กระหม่อมทูลขอให้สืบให้แน่ชัดด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เขาคุกเข่าลงบนพื้น

 

 

ฮ่องเต้ยงเซวียนหน้าไร้ความรู้สึกมองเขา ไม่ได้พูดสักคำ

 

 

“ใส่ร้ายป้ายสี ตาร้อยกว่าคู่ของกองปัญจทิศรักษานครจับจ้องอยู่ ใครมีความสามารถปานนั้นไปใส่ร้ายป้ายสี อ้อถูกแล้ว คนที่องค์ชายรองพูดถึงคือข้าสินะ ข้าไม่มีความแค้นกับเสนาบดีฉิน กินอิ่มไม่มีอะไรทำถึงไปใส่ร้ายป้ายสี” บนหน้าของสวีโย่วมีแต่ความเย้ยหยัน

 

 

“ผิงจวิ้นอ๋อง เจ้า เจ้าบังอาจ!” ฉินซู่เฟยโกรธจนยั้งอารมณ์ไม่ได้ ยามนี้นางลืมคำพูดของบุตรชายนานแล้ว รู้สึกเพียงว่าผิงจวิ้นอ๋องเป็นปฏิปักษ์กับบิดานางไปทั่ว เช่นนั้นก็คือศัตรูคู่อาฆาต

 

 

สวีโย่วแค่นเสียงเย็นเสียงหนึ่ง ไม่มองนางสักปราดเดียว

 

 

“เสนาบดีฉิน ท่านจะอธิบายอย่างไร” ฮ่องเต้ยงเซวียนถึงเอ่ยปากช้าๆ นัยน์ตาแฝงความน่าเกรงขาม

 

 

แล้วก็เห็นเสนาบดีฉินสีหน้าผิดหวัง ถอนใจยาวๆ ว่า “ฝ่าบาท ท่านยังคงสงสัยในตัวกระหม่อม! ฝ่าบาท ตอนนั้นท่านปราดเปรื่องเพียงใด ทว่าบัดนี้ท่านกลับถูกคนถ่อยหลอกลวงสงสัยขุนนางสำคัญของแผ่นดิน ฝ่าบาท ท่านทรงชราภาพแล้ว!” ความผิดหวังบนใบหน้าเปลี่ยนเป็นความโกรธ ความโกรธแค้นแทบจะพรั่งพรูออกมา

 

 

สายตาวนเวียนไปมาบนตัวพวกเขา แล้วพูดอีกว่า “ฝ่าบาท แม้ท่านสงสัยกระหม่อม ทว่ากระหม่อมยังคงต้องทำตามหน้าที่ของข้าราชบริพาร ท่านควรแต่งตั้งรัชทายาทแล้ว”

 

 

พระพักตร์ของฮ่องเต้ยงเซวียนยังคงไม่มีอารมณ์ว่า “แต่งตั้งรัชทายาท คนที่เสนาบดีฉินถูกใจเป็นใคร องค์ชายรองหรือ” ความเยาะเย้ยลอยขึ้นจากใต้ตา

 

 

เสนาบดีฉินสบตากับฮ่องเต้ยงเซวียนอย่างใจเย็นว่า “ใช่ กระหม่อมรู้สึกว่าไม่ว่าอุปนิสัยหรือความสามารถ ตัวเลือกของรัชทายาทต้องเป็นองค์ชายรองอย่างไม่ต้องสงสัย พวกใต้เท้าเห็นว่าอย่างไร”

 

 

พวกใต้เท้าจากคณะเสนาบดีสบตากัน แม้รู้สึกว่าที่เสนาบดีฉินพูดเป็นเรื่องจริง ทว่าไม่อาจไม่พูดว่าบีบคั้นเกินไป รองเสนาบดีใต้เท้าเหยาก้าวออกมาประนีประนอมว่า “เสนาบดีฉินอย่าใจร้อน ทุกอย่างฟังการวินิจฉัยจากฝ่าบาท”

 

 

ฮ่องเต้ยงเซวียนกลับเบือนสายตาไปที่องค์ชายรองว่า “ลูกล่ะ เสนาบดีฉินบอกว่าตำแหน่งรัชทายาทจะเป็นของใครไปไม่ได้นอกจากเจ้า เจ้าก็คิดเช่นนี้หรือไม่”

 

 

องค์ชายรองรู้สึกลำบากใจขึ้นมาทันที เช่นนี้เขาควรตอบอย่างไร เขาสามารถพูดว่าเขาเห็นตำแหน่งรัชทายาทเป็นของของเขามานานแล้วได้หรือ ทว่าหากบอกว่าไม่ใช่ ก็สิ้นเปลืองโอกาสดีเช่นนี้ไปเปล่าๆ อีก อย่างไรเสียที่ท่านตาทำก็เพื่อเขาทั้งนั้นนี่นา!

 

 

“เสด็จพ่อ ลูก ลูกไม่ได้คิดเช่นนี้เด็ดขาด!” องค์ชายรองกัดฟัน พูดออกมาเช่นนี้ ความเสียดายกลับแวบผ่านใบหน้าอย่างรวดเร็ว

 

 

ความเสียดายนี้ตกอยู่ในตาของฮ่องเต้ยงเซวีนแล้วบาดตาเป็นพิเศษ เขาตรัส “ในใจเจ้าเกรงว่าจะไม่ได้คิดเช่นนี้สินะ” เขาแผดเสียงขึ้นโดยพลัน “เจ้ามันคนไม่จงรักภักดีอกตัญญู ข้ายังไม่ตาย จับตัวไว้!”

 

 

คนทั้งตำหนัก รวมทั้งตัวองค์ชายรองเองล้วนตกใจหน้าถอดสี

 

 

“ฝ่าบาท ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ!” นี่คือเสียงร้องตกใจของเหล่าขุนนางคณะเสนาบดี

 

 

“ฝ่าบาทไม่นะเพคะ! นั่นเป็นบุตรแท้ๆ ของท่านนะเพคะ!” นี่คือการวิงวอนจากฉินซู่เฟย “ผิงจวิ้นอ๋อง เจ้าหมิ่นเกียรติเบื้องบน จะก่อกบฏหรืออย่างไร”

 

 

มีเพียงสองคนที่ไม่กระโตกกระตาก คนหนึ่งคือสวีโย่วที่พาดกระบี่ไว้ที่คอองค์ชายรอง อีกคนหนึ่งก็คือเสนาบดีฉิน

 

 

“ฝ่าบาท ท่านทรงชราภาพแล้วจริงๆ เลอะเลือนแล้ว ไม่คิดว่าท่านจะตัดสินใจฆ่าขุนนางผู้ภักดีและบุตรบังเกิดเกล้า!” เสนาบดีฉินเคียดแค้นชิงชังเป็นอย่างยิ่ง “ผดุงความเที่ยงธรรมคือหน้าที่ที่ไม่อาจปฏิเสธของพวกกระหม่อม ฝ่าบาท ท่านแต่งตั้งรัชทายาทเถอะพ่ะย่ะค่ะ” ท่าทางเหมือนสละชีวิตเพื่อสัจธรรม

 

 

องค์ชายรองก็พูดอย่างน้อยใจอยู่ข้างๆ ว่า “เสด็จพ่อ กระหม่อมทำอะไรผิดกันแน่พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“การที่เจ้ามีชีวิตอยู่ก็คือความผิดที่ใหญ่หลวงที่สุด!” ฮ่องเต้ยงเซวียนจ้องหน้าองค์ชายรอง สีหน้าซับซ้อนอย่างยิ่ง “พาเข้ามาเถอะ!”

 

 

ขันทีนำเด็กหนุ่มเดินออกจากตำหนักข้าง เขาอายุประมาณสิบแปดสิบเก้าปี แต่งกายเรียบง่าย ท่าทางกระสับกระส่าย ทว่าคนที่อยู่ในตำหนักมองใบหน้าของเขาแล้วกลับตกตะลึงจนอ้าปากค้าง เหมือน เหมือนเหลือเกิน เหมือนฝ่าบาทเหลือเกิน หรือว่านี่ก็เป็นบุตรมังกรของฝ่าบาทเช่นกัน

 

 

“เสนาบดีฉิน ท่านยังมีอะไรจะพูดหรือไม่” ฮ่องเต้ยงเซวียนมองเสนาบดีฉินอย่างเย็นชา มือที่วางอยู่ข้างๆ เอ็นปูดขึ้น ตระกูลฉินเก่งกาจเหลือเกิน เล่นลักมังกรสลับหงส์ได้ดี หากไม่ใช่อาโย่วพบโดยบังเอิญ แผ่นดินของตระกูลสวีมิต้องส่งมอบให้ผู้อื่นหรือ แล้วเขาจะมีหน้าลงไปพบเสด็จพ่อได้อยางไร

 

 

“ฝ่าบาทตรัสอะไร กระหม่อมฟังไม่เข้าใจ” เสนาบดีท่าทางนิ่งเงียบไม่ทุกข์ร้อน กลับมองเด็กหนุ่มอักอ่วนคนนี้อย่างแปลกใจว่า “ฝ่าบาท ท่านนี้คือ”