ตอนที่ 1786 เข้าสู่อาณาจักรใต้ดินกับอำมาตย์เฉินหย่ง

อัจฉริยะสมองเพชร

อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆

ตอนที่ 1786 เข้าสู่อาณาจักรใต้ดินกับอำมาตย์เฉินหย่ง

“ปรมาจารย์ฟ้าประทาน?”

นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงกับคนอื่นๆพากันปากคอแห้งผาก นัยน์ตาเบิกโพลงอย่างไม่อยากเชื่อ

“คุณกำลังบอกว่าชายหนุ่มคนนั้นเป็นปรมาจารย์ฟ้าประทานเหมือนปรมาจารย์ขงอย่างนั้นหรือ?”

ไม่น่าแปลกใจที่ทุกคนพากันสงสัยหลังจากได้ยินคำพูดของปรมาจารย์หยาง ตลอดหลายหมื่นปีที่ปรมาจารย์ขงจากไป ยังไม่เคยมีปรมาจารย์ฟ้าประทานปรากฏตัวขึ้นในโลก แต่ตอนนี้ ปรมาจารย์หยางกำลังบอกพวกเขาว่าจางเซวียนคนนั้นเป็นปรมาจารย์ฟ้าประทาน!

“ใช่!” ปรมาจารย์หยางพยักหน้า “เขาคือปรมาจารย์ที่ได้การยอมรับจากสวรรค์!”

“แต่เขา…”

ริมฝีปากของนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงกับคนอื่นๆสั่นสะท้านไม่หยุด ความตกตะลึงที่เข้าถาโถมสมองของพวกเขาทำให้ทุกคนพูดไม่ออก

ในแง่ของความสำคัญ แน่นอนว่าปรมาจารย์ฟ้าประทานสำคัญกว่ามหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงมาก การที่ปรมาจารย์ฟ้าประทานคนใหม่จะปรากฏขึ้นในหมู่พวกเขาไม่ใช่เรื่องง่าย แต่พวกเขากลับทำให้อีกฝ่ายจนมุมจนถึงขั้นที่เลือกจบชีวิตของตัวเอง

หากเลือกได้ พวกเขาก็จะยอมตายแทน!

“ตัวเขาเพียงคนเดียวสังหารเผ่าพันธุ์ปีศาจในอาณาจักรใต้ดินถึง 110,000 ตัว และลูกศิษย์ทุกคนของเขาก็เติบโตขึ้นเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีที่มีพละกำลังอันน่าทึ่ง…ผมน่าจะเดาออกตั้งแต่แรกแล้วนะ…พลั่ก!” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงซวนเซและทรุดฮวบลงกับพื้นขณะเหม่อมองไปข้างหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า

หากเขารู้เสียก่อนว่าจางเซวียนเป็นปรมาจารย์ฟ้าประทาน จะไม่มีวันบีบบังคับให้อีกฝ่ายต้องมอบคำอธิบายให้สภาปรมาจารย์ แต่ตอนนี้ก็พูดอะไรไม่ได้ เพราะไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีกแล้ว

“โชคดีเหลือเกินที่เขายังไม่ตาย…ว่าแต่เขาไปไหนล่ะ?” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงตั้งคำถาม

เหล่านักปราชญ์โบราณที่อยู่ตรงนี้ต่างรู้ว่าจางเซวียนได้ซึมซับหยดเลือดของจางหงเทียน จึงเป็นไปไม่ได้ที่สิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นที่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่จะสามารถสังหารเขา

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน…” ปรมาจารย์หยางส่ายหน้าอย่างกังวล

ทันทีที่เขาได้ยินว่าจางเซวียนตัดสินใจฆ่าตัวตาย ก็รีบไปเพื่อหวังว่าจะช่วยชีวิตอีกฝ่าย แต่ก็ไม่พบแม้กระทั่งศพ ทุกอย่างหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย

ด้วยเหตุนี้ ที่อยู่ของจางเซวียนจึงยังคงเป็นปริศนา

“เราต้องส่งคนออกตามหาเขาโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และห้ามเปิดเผยตัวตนของเขาในฐานะปรมาจารย์ฟ้าประทานเด็ดขาดจนกว่าเขาจะได้เป็นนักปราชญ์โบราณ เพราะเขาจะตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวงหากเผ่าพันธุ์ปีศาจล่วงรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงอันนี้!” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงสั่งการ

มีแต่นักปราชญ์โบราณเท่านั้นที่จะรับมือกับนักปราชญ์โบราณด้วยกันได้ สำหรับเผ่าพันธุ์ปีศาจ การปรากฏตัวของปรมาจารย์ฟ้าประทานคือสิ่งที่น่าสะพรึงเสียยิ่งกว่าการปล่อยให้มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงตกไปอยู่ในมือของเผ่าพันธุ์มนุษย์

มีความเป็นไปได้สูงที่พวกมันจะส่งนักปราชญ์โบราณไปลอบสังหารจางเซวียน เพื่อขจัดปัญหาก่อนที่ทุกอย่างจะเลวร้ายไปกว่านี้

“ได้” ปรมาจารย์หยางพยักหน้า

เขารู้ดีถึงความสำคัญของการเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ไม่อย่างนั้นคงไม่เก็บมันไว้กับตัวจนเนิ่นนานขนาดนี้

“เมื่อไรก็ตามที่เขาได้เป็นนักปราชญ์โบราณและเปิดเผยตัวตนในฐานะปรมาจารย์ฟ้าประทาน ทุกเรื่องที่เคยเป็นความเข้าใจผิดจะคลี่คลายด้วยตัวมันเอง” นักปราชญ์โบราณคนหนึ่งตั้งข้อสังเกต

เพราะอำมาตย์เฉินหลิงกับอำมาตย์เฉินชิงอยู่เบื้องหลัง ผู้คนส่วนใหญ่จึงมีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อจางเซวียน แต่หากเขาได้เปิดเผยตัวตนของตัวเอง สิ่งใดก็ตามที่ทำให้ใครต่อใครคลางแคลงใจในตัวเขาก็จะคลี่คลายไปโดยเร็ว

เพราะใครเล่าจะกล้าตั้งคำถามกับปรมาจารย์ที่ได้การยอมรับแม้แต่จากสวรรค์?

“ผมคิดว่านั่นคงเป็นสิ่งเดียวที่พวกเราพอมีความหวังในตอนนี้” ปรมาจารย์หยางถอนหายใจเฮือก

…..

ฝูงชนที่รวมตัวกันอยู่ใต้หอนาฬิกาต่างหารือกันอย่างเคร่งเครียด พวกเขาปฏิญาณว่าจะเป็นกระบอกเสียงเพื่อเรียกชื่อเสียงของจางเซวียนกลับคืนมาให้ได้ เพราะกำลังหมกมุ่นอยู่กับเรื่องนั้น จึงไม่เห็นคนสองคนที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด

ทั้งคู่คือชายหนุ่มคนหนึ่งกับเด็กชายวัยรุ่นอีกคนหนึ่ง

เด็กชายวัยรุ่นมีสีหน้าออกจะซีดเผือด ดูเหมือนเขากำลังบาดเจ็บไม่น้อย

ชายหนุ่มได้ยินบทสนทนาของฝูงชนโดยตลอด และได้แต่ส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆโดยไม่เข้าร่วมวง เขาหันไปมองเด็กชายวัยรุ่นที่อยู่ข้างๆและถามว่า “ตอนนี้คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง?”

“นายน้อย, ผมสบายดี ผมยังไม่ตายหรอก!” เด็กชายวัยรุ่นส่ายหน้าด้วยนัยน์ตาเป็นประกายวาบ “ผมจะต้องมีชีวิตอยู่ให้ได้จนกว่าจะได้จับตัวเจ้าสองคนทรยศนั่น!”

เด็กชายวัยรุ่นคนนั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหวู่เฉิน ซึ่งก็คืออำมาตย์เฉินหย่ง

เพราะการจัดฉากของอำมาตย์เฉินหลิงกับอำมาตย์เฉินชิง เขาจึงต้องลงเอยด้วยการปะทะกับนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงและคนอื่นๆ ซึ่งหลังจากนั้น เจ้าสองคนนั่นก็ปรากฏตัวและพยายามลงมือสังหารเขา

แม้เขาจะเอาตัวรอดมาได้ แต่ก็สูญเสียพลังไปมาก

ถ้าไม่ใช่เพราะความจงเกลียดจงชังที่เป็นเชื้อเพลิงคอยหล่อเลี้ยงความมุ่งมั่นของเขา เขาคงยอมแพ้ไปแล้ว

เมื่อได้ยินว่าหวู่เฉินยังคงรับไหว ชายหนุ่มพยักหน้า “อือ อย่างนั้นก็ดี”

“นายน้อย แล้วคุณล่ะ…เป็นอย่างไร?” นัยน์ตาของหวู่เฉินฉายความวิตกกังวล “ถึงคุณจะยังมีชีวิตรอดเพราะเลือดของนักปราชญ์โบราณที่อยู่ในร่างกาย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าร่างกายของคุณได้รับความบอบช้ำครั้งใหญ่เพราะเรื่องนั้น น่าจะต้องใช้เวลาสักระยะกว่าคุณจะฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ…”

นายน้อยที่หวู่เฉินพูดด้วยก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากจางเซวียน

ต่อให้นักรบที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดก็ยังต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง อีกทั้งต้องสะสมพลังงานให้ได้มากพอเพื่อเยียวยาตัวเองหลังจากถูกสังหาร ในเมื่อจางเซวียนเป็นแค่นักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติที่ได้ซึมซับหยดเลือดนักปราชญ์โบราณ ก็แน่นอนว่าความสามารถในการฟื้นตัวของเขาย่อมอ่อนด้อยกว่านักรบที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดอย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้ ความบอบช้ำที่เขาได้รับจึงสาหัสกว่ากันมาก

“ผมยังอ่อนแรงอยู่เล็กน้อยแม้จะได้พักมาแล้วสิบวัน แต่สำหรับสภาพของผมตอนนี้ ผมคงรับมือไม่ไหวแม้แต่กับนักรบระดับเซียนขั้น 1 แต่ผมคิดว่าอาการบาดเจ็บของผมหายดีเกือบหมดแล้ว ทันทีที่ร่างกายของผมฟื้นตัว การจะเรียกวรยุทธกลับคืนมาก็คงไม่ยากนัก” จางเซวียนตอบพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ

เขานึกไม่ถึงว่าผลข้างเคียงของการฟื้นคืนชีพของสายเลือดจะหนักหนาสาหัสขนาดนี้

แต่ด้วยเคล็ดวิชาเทียบฟ้าและพลังปราณเทียบฟ้า เขาจะสามารถเรียกความแข็งแกร่งกลับคืนมาได้ทันทีที่บาดแผลทั้งหมดได้รับการเยียวยา

อำมาตย์เฉินหย่งพยักหน้าก่อนจะเงียบไป

พลทหารกว่า 110,000 ตัวที่จางเซวียนได้สังหารไปนั้นล้วนแต่เป็นกองกำลังของอำมาตย์เฉินหลิงกับอำมาตย์เฉินชิง ส่วนบริวารทุกคนของหวู่เฉินทำตามคำสั่งของเขาและล่าถอยทันทีที่ได้รับคำสั่ง ดังนั้น แม้หวู่เฉินจะเสียใจกับความตายของเผ่าพันธุ์ของเขา แต่ก็ไม่ได้เคืองแค้นอะไรจางเซวียนมากนัก

อีกอย่าง ตัวเขาก็รู้ว่าจางเซวียนคือผู้ที่เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณเลือก อีกทั้งชายหนุ่มก็เป็นผู้ยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือชีวิตเขาในช่วงเวลาคับขัน ด้วยเหตุนี้ หวู่เฉินจึงให้ความสำคัญกับชายหนุ่มและเต็มใจทำตามคำสั่งของอีกฝ่าย

จางเซวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตั้งคำถามอีกครั้ง “คุณแน่ใจหรือเปล่าว่าแท่นบูชาฟ้าประทานของเผ่าพันธุ์ปีศาจจะเข้าถึงตัวเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณได้?”

เหตุผลที่เขาเลือกจบชีวิตที่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ไม่ใช่เพราะอยากหลบเลี่ยงปัญหา แต่เป็นเพราะจางเซวียนอยากใช้โอกาสนี้แทรกซึมเข้าไปในหมู่เผ่าพันธุ์ปีศาจและขจัดภัยคุกคามให้ได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ในเวลาเดียวกัน นี่ก็เป็นโอกาสให้เขาได้รู้ที่อยู่ของหลัวลั่วชิงด้วย

ด้วยเหตุนี้ ทันทีที่ร่างกายของเขาเริ่มฟื้นตัว จางเซวียนก็ปลอมตัวและให้หวู่เฉินพาเขามาที่นี่

“ใช่ นั่นคือวิธีการที่ผมใช้สื่อสารกับเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณก่อนหน้านี้” หวู่เฉินพยักหน้า

เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณกลับสู่โลกของเธอแล้ว วิธีเดียวที่จะสื่อสารกับเธอได้ก็คือต้องผ่านแท่นบูชา แต่แท่นบูชาที่เข้าถึงตัวเธอได้จะต้องมีขนาดใหญ่กว่านี้และผ่านพิธีกรรมเฉพาะ ซึ่งเป็นสภาวะที่จะเกิดขึ้นได้เมื่อกลับสู่เผ่าพันธุ์ปีศาจเท่านั้น

“ค่อยยังชั่ว” จางเซวียนพูด

เขาต้องการความแน่ใจว่าหลัวลั่วชิงอยู่ที่ไหนก่อนจะมุ่งหน้าไปตามหาเธอ ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น ฐานที่ตั้งของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นจึงเป็นสถานที่ที่เขาต้องไปเยือน

“แต่นายน้อย พิธีกรรมขนาดใหญ่ระดับนั้นต้องอาศัยความร่วมมือจากมนุษย์จำนวนมากและแม้แต่เหล่านักปราชญ์โบราณด้วย ผมเกรงว่าอำมาตย์เฉินหลิงกับอำมาตย์เฉินชิงกำลังจ้องเอาชีวิตของผมอยู่ และเตรียมกับดักที่จะเล่นงานพวกเราถึงตายเอาไว้แล้วหากเรากล้าเข้าไป” อำมาตย์เฉินหย่งพูด

หากเขาอยู่ในสภาพแข็งแกร่งสูงสุด ก็ไม่มีอะไรให้ต้องกลัว…

แต่ในสภาพนี้ ถ้าเขาถูกกองกำลังของอำมาตย์เฉินหลิงและอำมาตย์เฉินชิงตีวงล้อม ชะตากรรมเดียวที่รอคอยเขาอยู่ก็คือความตายเท่านั้น

“พวกเราต้องค่อยเป็นค่อยไป” จางเซวียนส่ายหน้า

เปล่าประโยชน์ที่จะครุ่นคิดถึงเรื่องนั้นจนเกินเหตุ พวกเขาเพียงแค่ต้องระมัดระวังทุกฝีก้าวและพยายามอย่างดีที่สุดที่จะปรับตัวให้รอดพ้นจากอะไรก็ตามที่เข้ามา

ถึงอย่างไร ด้วยความสามารถในการปลอมตัวของทั้งคู่ ตราบใดที่พวกเขาไม่เปิดเผยตัวตนที่แท้จริง การจะแทรกซึมเข้าสู่พระราชวังหลวงก็คงไม่ยากเกินไป

ขณะที่จางเซวียนกำลังหารือกับหวู่เฉิน ‘พี่อู๋’ ก็ก้าวออกมาจากฝูงชนและพูดว่า “สหาย พายุหิมะสงบแล้ว เรากำลังจะเข้าสู่อาณาจักรใต้ดินแห่งทะเลเยือกแข็ง มีใครอยากไปด้วยกันบ้าง? ผมชื่ออู๋ควง เป็นนักรบขั้นจิตวิญญาณต้นกำเนิด สูงสุด ผมรับประกันความปลอดภัยให้พวกคุณได้หากพวกคุณเดินทางไปกับผม…”

เขาคือผู้แข็งแกร่งที่สุดในหมู่นักรบที่รวมตัวกันอยู่ ในเมื่อภัยคุกคามจากเผ่าพันธุ์ปีศาจหายไปจากอาณาจักรใต้ดินแห่งทะเลเยือกแข็งแล้ว เพียงแค่วรยุทธขั้นจิตวิญญาณต้นกำเนิดสูงสุดก็มากพอที่จะรับประกันความปลอดภัยให้ทุกคน

จางเซวียนมองไปรอบๆและเห็นว่าพายุหิมะสงบลงแล้วจริงๆ อากาศเย็นเยือกพุ่งเข้าใส่หอนาฬิกาเก่าแก่ เสื้อคลุมของเขาโบกสะบัด

“ผมจะเดินทางไปกับคุณ!”

“ผมด้วย, ผมด้วย…”

นักรบมากกว่า 12 คนก้าวออกมาด้วยนัยน์ตาเป็นประกายอย่างตื่นเต้น

แน่นอนว่าข้อเสนอของพี่อู๋น่าสนใจมาก เพราะอย่างน้อยที่สุด พวกเขาก็จะผ่านพ้นอันตรายส่วนใหญ่ไปได้ภายใต้การคุ้มกันของอีกฝ่าย

“พวกเราก็จะไปกับคุณ…” จางเซวียนกับหวู่เฉินก้าวออกมา