บนท้องฟ้าในขณะนี้ มังกรเขียวตัวนั้นก็ได้กลับมาปรากฏกายขึ้นอีกครั้งเหนือเกาะกลางทะเลสาบ…
มันเป็นเวลาเดียวกับที่นายทหารชาวทะเลส่งเสียงเรียกระดมพลทั่วบริเวณ
เสียงกรีดร้องแหลมสูงดังลงมาจากกลุ่มก้อนเมฆ เต็มไปด้วยรังสีอำมหิตชนิดหนึ่ง
ความแค้นในจิตใจของชาวทะเลกำลังจะปะทุเดือดราวกับภูเขาไฟ
หลินเป่ยเฉินนำปืนยิงจรวด Type 69 ออกมา
เขาแบกมันเอาไว้บนหัวไหล่
เล็งเป้าหมายไปที่จวนผู้ว่าบนเกาะกลางทะเลสาบ
แต่แล้วเขาก็ลดปืนยิงจรวดลงด้วยความลังเลใจ
เพราะว่าอาจารย์ของเขายังอยู่ที่นั่น
หากอานุภาพของปืนยิงจรวดกระบอกนี้มีความรุนแรงมากกว่าที่คิด การยิงระเบิดเพียงลูกเดียว อาจจะทำให้ติงซานฉือต้องถึงแก่ความตายก็เป็นได้
หลินเป่ยเฉินรู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย จึงฆ่าเวลาด้วยการทำให้กิ่งไม้งอกงามออกมาจากแขนของเหลียวหวังซูอีกครั้ง
“อ๊าก… อ๊าก…”
เหลียวหวังซูยังคงส่งเสียงร้องโหยหวนต่อไปอย่างน่าเวทนา
“สิ่งที่เจ้าอยากรู้ ข้าก็ตอบไปหมดแล้ว… หยุดเดี๋ยวนี้นะ อ๊ากกกก”
ชายชราพยายามขอร้องด้วยความขมขื่น
หลินเป่ยเฉินนั่งเท้าคางอยู่บนยอดหอคอยและพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ความจริงข้าก็ไม่ได้อยากรู้อะไรหรอก แต่ข้าแค่อยากได้ยินเสียงกรีดร้องของเจ้าเท่านั้น… ไม่ต้องเป็นกังวลไป เจ้าบอกมาเองว่าตราบใดที่เจ้ายังไม่ตาย ฮันปู้ฟู่กับเยว่หงเซียงก็จะยังปลอดภัยดี เพราะฉะนั้น ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า แต่ข้าจะทำให้เจ้าได้รู้ว่าความอำมหิตมันเป็นเช่นไร”
เมล็ดต้นหญ้าในตอแขนของเหลียวหวังซูเริ่มเจริญเติบโตงอกงามออกมามากขึ้นเรื่อยๆ
หลินเป่ยเฉินอยากจะทำให้เหลียวหวังซูได้รู้ว่าความเจ็บปวดมันเป็นเช่นไร
เขาอยากจะทำให้เหลียวหวังซูได้นั่งมองร่างกายของตนเองเปลี่ยนแปลงกลายเป็นเรือนเพาะชำทีละเล็กทีละน้อย
เขาอยากจะทำให้เหลียวหวังซูไม่ลืมเลือนประสบการณ์นี้ไปจนวันตาย
หรือต่อให้ตายแล้ว ศพของเหลียวหวังซูก็ยังกลายเป็นแหล่งเจริญเติบโตของต้นไม้ใบหญ้าได้อีกด้วย
นี่แหละความอำมหิต
ถ้าต้องการ หลินเป่ยเฉินก็สามารถเลือกสีสันของดอกไม้ที่จะงอกงามออกมาจากร่างกายชายชราได้ด้วยซ้ำ
สุดท้าย เหลียวหวังซูก็ส่งเสียงร้องโหยหวนจนเสียงแหบแห้ง แล้วเขาก็เงียบเสียงไปเอง
ร่างกายสั่นเทาตั้งแต่หัวจรดเท้า
ลำคอแห้งผาก
เหลียวหวังซูได้แต่นอนเหม่อมองท้องฟ้า
เริ่มรู้สึกสำนึกเสียใจ…
แต่หลินเป่ยเฉินกลับไม่ได้ชำเลืองมองมาเลยแม้แต่นิดเดียว
ขอบฟ้าเริ่มมีแสงสว่างแล้ว
เสียงไก่ขันและเสียงสุนัขเห่าหอนดังไปทั่วเมืองหยุนเมิ่ง
วันเวลาหลายเดือนที่ผันผ่านพร้อมกับความหวาดกลัว ทำให้ชาวเมืองทุกคนมีประสาทตึงเครียด และช่วยเพิ่มความสามารถในการอพยพได้อย่างรวดเร็วมากกว่าปกติ
เพียงเวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป ผู้คนจำนวนหมื่นกว่าคนก็เก็บข้าวของสัมภาระเสร็จเรียบร้อย และกำลังมุ่งหน้าตรงไปที่ภูเขาเสี่ยวซีแล้ว
“ขอแค่อีกก้านธูปเดียว ทุกคนก็จะไปรวมตัวกันที่ภูเขาเสี่ยวซีได้สำเร็จ” หลินเป่ยเฉินนั่งฟังเสียงครวญครางของเหลียวหวังซูพร้อมกับเริ่มคำนวณเวลาอยู่ในใจ
ในทันใดนั้น เสียงของเสี่ยวจี้ก็ดังขึ้นในหูของเขาว่า
“กราบเรียนนายท่าน เสี่ยวจี้ต้องขออภัยเป็นอย่างสูง เสี่ยวจี้ไม่สามารถถอดรหัสเนื้อหาส่วนที่เหลือของคัมภีร์ 17 คาบสมุทรได้สำเร็จเจ้าค่ะ… ความสามารถนี้ยังเกินขีดจำกัดของเสี่ยวจี้มากเกินไป”
หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปอย่างไม่แปลกใจ “งั้นก็เลิกถอดรหัสได้”
“รับทราบเจ้าค่ะ นายท่าน”
เสี่ยวจี้ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงซาบซึ้งใจ
ก่อนหน้านี้ เขาลองสั่งให้ผู้ช่วยส่วนตัวอัจฉริยะลองถอดรหัสเนื้อหาส่วนที่หายไปของคัมภีร์ 17 คาบสมุทร
เพราะคัมภีร์ที่เขามีอยู่ในมือนั้น เป็นเพียงข้อมูลของ 7 กระบวนท่าแรกเท่านั้น
ปรากฏว่าเสี่ยวจี้ยังไม่มีความสามารถถึงขนาดนั้น
นับเป็นเรื่องน่าเสียดาย เพราะถ้าเสี่ยวจี้ทำได้สำเร็จ หลินเป่ยเฉินก็จะรับมือกับศัตรูได้อย่างมีความมั่นใจมากกว่านี้
แต่สำหรับเขา แค่ 7 กระบวนท่าแรกก็เพียงพอแล้ว
ยังไม่จำเป็นต้องถอดรหัสค้นหากระบวนท่าอื่นๆ ในตอนนี้
บางทีด้วยระดับพลังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ต่อให้เสี่ยวจี้สามารถถอดรหัสกระบวนท่าส่วนที่เหลือได้สำเร็จ แต่เขาก็คงอ่อนแอเกินไปที่จะใช้งานพวกมันได้อยู่ดี
หลินเป่ยเฉินนำโทรศัพท์มือถือออกมากดเข้าไปในแอปจิงตงมอลล์
เขาดูข้อมูลการขนส่งสินค้า และพบว่ารากชงโหลวจากร้านเพื่อนพ้องพี่น้องโจรจะส่งไปถึงมือเทพีกระบี่หิมะไร้นามในเวลาอีกครึ่งวัน
แต่กว่าที่เทพีกระบี่กับเทพีกระบี่หิมะไร้นามจะสามารถใช้พลังของรากชงโหลวฟื้นฟูอาการบาดเจ็บและเสริมสร้างความแข็งแกร่งของตนเองได้นั้น หลินเป่ยเฉินก็ไม่ทราบเลยว่าพวกนางต้องใช้เวลามากแค่ไหน
แต่อย่างไรก็ตาม หลินเป่ยเฉินได้เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้แล้วว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เทพีกระบี่คงช่วยเหลือเขาไม่ได้
จังหวะนั้น
‘ติ๊ง! พัสดุมาถึงปลายทางแล้ว กรุณาตรวจสอบ’
ข้อความแจ้งเตือนเด้งขึ้นมาบนหน้าจอโทรศัพท์
หลินเป่ยเฉินแตะข้อความเปิดเข้าไปในแอป Taobao
สีหน้าของเขาเกิดความประหลาดใจไม่ใช่น้อย
“มาถึงแล้วหรือ? มาได้ทันเวลาพอดีเลยนี่นา…”
หลินเป่ยเฉินกดรับสินค้าโดยไม่ลังเล
ครั้งนี้สินค้าที่เขาสั่งมาก็คือ ‘ที่เก็บเสียง’ และ ‘ขาตั้ง’ สำหรับปืน 98k
ที่เก็บเสียงจะช่วยทำให้เขายิงศัตรูได้ในความเงียบ
ส่วนขาตั้งปืนจะช่วยลดแรงถีบได้ถึงครึ่งหนึ่ง
หลินเป่ยเฉินกดสั่งซื้อมาตั้งแต่ก่อนต่อสู้กับแม่ทัพฉลามอู๋หยา
ในที่สุด สินค้าก็เดินทางมาถึงแล้ว
เหนือศีรษะของเด็กหนุ่มมวลอากาศแหวกออกจากกัน แล้วสินค้าสองชนิดก็หล่นลงมาสู่มือของเขาด้วยความแม่นยำ
หลินเป่ยเฉินติดตั้งที่เก็บเสียงเข้ากับปลายกระบอกปืนและนำขาตั้งมาประกอบส่วนอย่างรวดเร็ว
เมื่อจัดการเรียบร้อยแล้ว เขาก็วางปืน 98k ตั้งไว้โดยหันทิศทางตรงไปยังจวนผู้ว่าบนเกาะกลางทะเลสาบ
บัดนี้ นักรบชาวทะเลได้มารวมตัวกันเป็นจำนวนมาก นายทหารระดับสูงขี่ม้าน้ำยักษ์นำอยู่ด้านหน้า และพวกมันก็กำลังจะเคลื่อนขบวนพลข้ามสะพานโครงกระดูกมาแล้ว
ผู้ที่นำมาหน้าสุดเป็นแม่ทัพชาวทะเลระดับสูง
มันสวมใส่ชุดเกราะสีเงิน ร่างกายสูงใหญ่ราวกับหอคอย ม้าน้ำที่ควบขี่มีความสูงเท่ากับคนสองคน ราวกับเป็นอสูรกายที่ปรากฏตัวขึ้นมาจากใต้ทะเลลึกพร้อมด้วยพลังลมปราณที่รุนแรงยิ่ง
กะบังหมวกเหล็กของแม่ทัพชาวทะเลผู้นี้เปิดออก
เผยให้เห็นถึงใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความปรารถนาที่จะเข่นฆ่าสังหารมนุษย์
มันกระตุ้นให้ม้าน้ำยักษ์คู่กายเพิ่มความเร็ว พร้อมกับส่งเสียงคำรามอะไรบางอย่าง เพื่อเป็นการเคลื่อนย้ายกระบวนพลไปไล่ล่าชาวเมือง
นักรบชาวทะเลใต้บังคับบัญชาของมันมีความตื่นเต้นไม่แพ้แม่ทัพใหญ่ พวกมันชักกระบี่ออกจากฝักและยกกระบี่ชี้ไปยังทิศทางของจวนผู้ว่าหลังเก่า แทบรอไม่ไหวที่จะได้แก้แค้นให้กับมิตรสหายที่เสียชีวิตไปจำนวนมาก…
หลินเป่ยเฉินเล็งเป้าหมายและยิ้มมุมปาก
“ขอต้อนรับสู่การพิพากษา”
เขาพูดกับตัวเองแล้วเหนี่ยวไกยิง
ตัวของเขากระตุกเล็กน้อย
แต่แรงถีบเพียงเท่านี้ยังถือว่าพอรับได้
ห่างออกไปเป็นระยะทางบนโลกมนุษย์ 4 กิโลเมตร อยู่ดีๆ หัวของแม่ทัพใหญ่ชาวทะเลที่ขี่ม้าน้ำนำอยู่หน้าสุดบนสะพานโครงกระดูก ก็ระเบิดกระจายโดยไม่มีสัญญาณเตือน
หัวระเบิดเป็นม่านหมอกเลือด คล้ายกับมีคนยิงพลุดอกไม้ไฟสีแดงก็ไม่ปาน
ตอนแรก ขบวนผู้ติดตามไม่ทันได้สังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลง
จนกระทั่งร่างของแม่ทัพใหญ่ร่วงลงมาจากหลังม้าน้ำนั่นเอง ความตื่นเต้นของพวกมันถึงได้เปลี่ยนไปกลายเป็นความตื่นตระหนก
นักรบระดับนายกองผู้หนึ่งรีบรุดเข้าไปตรวจสอบซากศพของผู้บังคับบัญชา
มันเพิ่งจะก้มตัวลงไปเท่านั้น ศีรษะก็ระเบิดกระจาย พบจุดจบเดียวกับแม่ทัพใหญ่โดยไม่มีสัญญาณเตือน
หมวกโลหะและกะโหลกศีรษะระเบิดกระจาย
มันสมองสีขาวและโลหิตสีแดงฟุ้งกระจายราวกับละอองน้ำ
มองดูแล้วคล้ายกับเป็นบุปผาบานสะพรั่งสีแดงขาวที่สวยงาม
สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้กินเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น
ความตายมาถึงตัวโดยไม่คาดคิด
นี่คือการลงทัณฑ์ด้วยความอำมหิตที่แท้จริง!!
ถ้าอ่าน “เซียนกระบี่มาแล้ว” ถึงบทนี้แล้วยังไม่จุใจ งั้นไปอ่านกันต่อได้ที่เว็บ Enjoybook.co เพราะที่นั่นลงนำไปแล้วกว่า 30 ตอน !! อ่านก่อนใครได้ที่เว็บเอนจอย