เมิ่งซื่อยื่นสองมือของตนไปทางเมิ่งเชี่ยนโยว กล่าวด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นว่า “โยวเอ๋อร์ โยวเอ๋อร์ ลูกสาวคนดีของแม่”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็รีบวิ่งเข้าไปทันที พุ่งเข้าไปในอ้อมกอดของเมิ่งซื่อ “ท่านแม่ ลูกอกตัญญู ทำให้ท่านเป็นห่วง”

 

 

น้ำตาของเมิ่งซื่อไหลลงมาดั่งสร้อยมุกที่ขาด กอดเมิ่งเชี่ยนโยวแน่นไม่ยอมปล่อย “โยวเอ๋อร์ เจ้าไปเช่นนี้ แทบพรากชีวิตของแม่ไปเสียแล้ว”

 

 

ความรู้สึกผิดในใจของเมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งมากขึ้นไปอีก น้ำตาก็ไหลลงมา ก้มตัวลงไป ตึกตัก คุกเข่าลงต่อหน้าเมิ่งซื่อ “ท่านแม่ ลูกผิดไปแล้ว ต่อไปจะไม่ทำอีกเจ้าค่ะ”

 

 

เมิ่งซื่อพยุงนางขึ้นด้วยความปวดใจ คำสั่งสอนออกมาจากปากไม่หยุด “กลับมาก็ดีแล้ว กลับมาก็ดีแล้ว”

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งเสียนก็พยุงเมิ่งจงจวี่สองสามีภรรยาเข้ามา

 

 

เหล่าเมิ่งซื่อก็จับมือนางแล้วน้ำตาไหลออกมา

 

 

ซุนเชี่ยนยิ่งไม่ต้องพูด เสื้อตรงหน้าอกเปียกไปหมดแล้ว

 

 

เมิ่งจงจวี่ เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งเสียนก็ตาแดงก่ำ

 

 

เมิ่งเส้าพุ่งตัวเข้าไปในอ้อมกอดของเมิ่งเชี่ยนโยวทันที เงยหน้าแล้วกล่าวถามด้วยความไร้เดียงสาว่า “ท่านอาไปไหนมาหรือ เส้าเอ๋อร์คิดถึงท่านมาก”

 

 

ณ ขณะนั้นเองที่เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกได้จริงๆ ว่านี่คือครอบครัวของตน เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกันกับตน ความเห็นแก่ตัวครั้งนี้ของตน ทำให้พวกเขาปวดใจและเป็นห่วงอย่างมาก ความรู้สึกผิดในใจยิ่งมากขึ้นไปอีก กล่าวขอโทษทีละคนด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น สัญญาว่าจะไม่ทำเรื่องเช่นนี้อีก

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาก็ดีแล้ว ทุกคนพยักหน้าหลายๆ ครั้งด้วยความดีใจ พยุงกันเดินเข้าไปในห้อง

 

 

เมิ่งซื่อจับมือเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ปล่อย แม้แต่ตอนนอนก็ไม่ปล่อย

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนมองดูเมิ่งเชี่ยนโยวถูกหวังเยียนพาตัวกลับไป หลังจากนั้นก็มาที่เรือนของพระชายาฉี บอกนางว่าตนได้ส่งข่าวให้คนที่บ้าน บอกข่าวที่เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมากับคนในครอบครัว คิดว่าประมาณสองสามวันพวกเขาน่าจะมาถึงกัน ก็เลยปรึกษาหารือกับพระชายาฉีเรื่องสินสอด

 

 

สินสอดถูกจัดเตรียมไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว ช่วงเวลาที่เมิ่งเชี่ยนโยวหายไปก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง ได้ยินหวงฝู่อี้เซวียนพูดออกมา พระชายาฉีก็กล่าวว่า “เซวียนเอ๋อร์ วางใจเถิด อย่าว่าแต่เรื่องสินสอด แม้แต่เรื่องแต่งงานแม่ก็จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนรู้อยู่แล้วว่าพวกนี้ได้ถูกจัดเตรียมไว้แล้ว แต่ก็ยังไม่วางใจ ตอนนี้ได้ฟังพระชายาฉีเอ่ย ใจที่กังวลก็ไม่หายไป ให้คนไปเฝ้าหน้าจวนเมิ่งเชี่ยนโยว รอคนในบ้านเก่ามาถึงให้รีบรายงานเขาทันที

 

 

ครอบครัวเมิ่งเพิ่งลงจากรถม้า คนที่มีหน้าที่เฝ้าก็รีบกลับจวนทันที หลังจากที่หวงฝู่อี้เซวียนได้ยิน ก็รีบไปยังเรือนของพระชายาฉีทันที

 

 

พระชายาฉีรีบตรวจสินสอดอีกครั้ง แล้วก็มิได้แจ้งครอบครัวเมิ่งล่วงหน้าด้วย สั่งคนยกสินสอดหนึ่งร้อยแปด**บนี้ไปหนานเฉินด้วยความครึกครื้น

 

 

จากจวนอ๋องฉีจนถึงหนานเฉินต้องผ่านเกือบครึ่งเมืองหลวง การเคลื่อนไหวยิ่งใหญ่นี้ ทำให้คนรู้เห็นมากมาย คนมากมายที่อยากรู้ก็เดินตามหลังขบวน หลังจากสองชั่วยามผ่านไปจนถึงหนานเฉิน คนครึ่งเมืองหลวงก็ตามไปดูกันหมด

 

 

มีหนึ่งขบวนยาวๆ เข้ามา ตามด้วยเสียงดนตรีบรรเลงเสียงดัง นายประตูสงสัย เงยหน้าขึ้น เขย่งขาขึ้นแล้วมองไปทางขบวนที่อยู่ไกล จนมองชัดว่าเป็นขบวนของจวนอ๋องฉี ก็เข้าใจทันที รีบวิ่งเข้าไปในจวนอย่างรวดเร็ว ตะโกนว่า “นายท่าน นายท่าน จวนอ๋องฉียกสินสอดมาแล้วขอรับ”

 

 

ครอบครัวเมิ่งหยุดชะงักไป

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็ตกใจเช่นกัน

 

 

เมิ่งจงจวี่รู้สึกตัวก่อน ลุกขึ้นมา กล่าวว่า “เร็ว เร็ว เร็ว เปิดประตูใหญ่ออกไปต้อนรับ”

 

 

เมิ่งซื่อไม่เอ่ยอะไร สีหน้าไม่ตกลง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็กัดปากไม่เอ่ยอะไร

 

 

เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีก็เงียบ

 

 

แต่เมิ่งเอ้ออิ๋นผุดลุกขึ้น แล้วเดินไปทางประตูใหญ่

 

 

เมิ่งเสียนห้ามเขาไว้ “ท่านพ่อ ข้าไปดีกว่า”

 

 

นายประตูกล่าวต่อว่า “นายท่าน ซื่อจือขี่อยู่บนม้า ข้างหลังตามมาด้วยรถม้าหนึ่งคัน ไม่ทราบว่ามีใครตามมาด้วยขอรับ”

 

 

เมิ่งเสียนหยุดเดิน

 

 

เรื่องให้สินสอด ท่านอ๋องฉีไม่มีทางมาเองแน่นอน ถ้าหากมีรถม้า ก็น่าจะเป็นพระชายาฉี ตอนที่เมิ่งเชี่ยนโยวบาดเจ็บ เมิ่งซื่อก็ได้พักอยู่ที่จวนอ๋องฉีนานหลายวัน เข้ากันได้ดีกับพระชายาฉี ในใจของนางรู้สึกมาตลอดว่าลูกสาวของตนโชคดีมีแม่สามีที่ดีอย่างนี้ ไม่มีมาดของพระชายา แล้วยังเห็นลูกสาวของตนเป็นลูกสาวของนางด้วย ถ้าหากเป็นครอบครัวเดียวกัน ต่อไปก็ไม่ดูถูกครอบครัวตนแน่นอน แต่สถานการณ์ตอนนี้ของเมิ่งเชี่ยนโยว ถ้าหากลูกสาวแต่งเข้าไปแล้วไม่สามารถมีบุตรได้ ถ้าหากเจอคำดูถูก ชีวิตต่อไปต้องลำบากแน่ๆ แม้ว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะรักโยวเอ๋อร์แค่ไหน นานไป ก็จะถูกเรื่องพวกนี้กัดกร่อนจนไม่เหลือความรู้สึกอะไรอีก ถึงตอนนั้น มีอนุเพิ่มขึ้นมา ชีวิตในจวนของโยวเอ๋อร์ต้องลำบากขึ้นไปอีก การแต่งงานนี้ ในใจของตัวเองนั้นไม่เห็นด้วยเลย แต่ถ้าหากพระชายาฉีมาให้สินสอดด้วยตัวเอง ถ้าหากตนไม่รับ ก็จะดูเย่อหยิ่งไป

 

 

ในขณะที่กำลังสับสนอยู่ เสียงกลองได้ดังมาถึงหน้าประตูแล้ว หากไม่ออกไปต้อนรับจะดูไม่ดีมาก

 

 

เมิ่งซื่อลุกขึ้นมา แล้วเดินออกไปพร้อมกับเมิ่งเอ้ออิ๋น

 

 

เมิ่งเสียนสองสามีภรรยาและเมิ่งฉีสองสามีภรรยาเดินตามออกไป

 

 

เหล่าเมิ่งซื่อจับมือเมิ่งเชี่ยนโยวไว้ไม่ให้นางขยับ

 

 

 

 

สินสอดถึงหน้าจวน หวงฝู่อี้เซวียนกระโดดลงจากม้า พระชายาฉีลงจากรถม้า ไม่เห็นคนออกมาต้อนรับ ก็ไม่รีบร้อน สั่งให้ดนตรีบรรเลงต่อไป ทั้งสองยืนรอหน้าประตู

 

 

คนในเมืองหลวงได้พบเห็นได้ยินมามาก แต่ก็ไม่เคยเห็นคนให้สินสอดมาถึงหน้าประตูแล้ว คนในจวนกลับไม่มีคนออกมาต้อนรับ รีบหันหน้าซุบซิบกัน วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก

 

 

พระชายาฉีเหมือนไม่ได้ยิน ยิ้มมองแล้วยืนอยู่หน้าประตู

 

 

เมิ่งซื่อเห็นว่าเป็นพระชายาฉีจริงๆ รีบเดินเร็วขึ้น แล้วรีบวิ่งออกมา

 

 

พระชายาฉีรีบก้าวเข้าไปพยุงนาง กล่าวด้วยความสนิทสนมว่า “ชิ่งจยาใจเย็นๆ”

 

 

น้ำเสียงของเมิ่งซื่อมีความรู้สึกเสียใจ “พระชายา ขอประทานโทษ พวกข้าออกมาช้าไป”

 

 

พระชายาฉียิ้มแล้วกล่าวว่า “พวกข้าไม่ได้แจ้งพวกเจ้าล่วงหน้า คนที่ควรขอโทษคือพวกข้า”

 

 

ในขณะที่นางพูดประโยคนี้นางตั้งใจเพิ่มระดับเสียงขึ้นไป คนรอบข้างที่มาดูได้ยินกันทุกคน เสียงวิพากษ์วิจารณ์ยิ่งดังขึ้นไปอีก ให้สินสอดแต่ไม่ได้แจ้งอีกฝ่าย เรื่องเช่นนี้ไม่เคยได้มาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นคือฝั่งที่ให้สินสอดคือจวนอ๋องฉี ที่เป็นความฝันของหญิงสาวในเมืองหลวงและลูกสาวของขุนนางทั้งหลายที่ยังไม่ได้แต่งงาน แต่ไม่นานก็คิดได้ว่าช่วงก่อนเมิ่งเชี่ยนโยวได้หายตัวไป ทุกคนก็เข้าใจอะไรทันที ดูแล้วงานแต่งครั้งนี้เป็นฝั่งจวนอ๋องฉีที่เร่งครอบครัวองค์หญิงชิงเหอเอง ทำให้ทุกคนอิจฉากันมาก

 

 

พระชายาฉีพูดจบ ความรู้สึกผิดในใจของเมิ่งซื่อยิ่งมากขึ้นไปอีก กล่าวทันทีว่า “เชิญท่านเข้าไปด้านในเถิด”

 

 

พระชายาฉียิ้มแล้วมองไปทางหวงฝู่อี้เซวียน

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวเสียงดังฟังชัดว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ พี่รอง พี่สะใภ้รอง”

 

 

ทั้งสองพยักหน้ากล่าวว่า “เข้าจวนเถิด มีอะไรเราเข้าไปคุยกันข้างใน”

 

 

เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา

 

 

รอยยิ้มบนใบหน้าของพระชายาฉีหยุดชะงักไปชั่วครู่ แล้วกลับมาเป็นเหมือนเดิมทันที เดินตามเมิ่งซื่อเข้าไปในจวน จนมาถึงในเรือนของเมิ่งเชี่ยนโยว

 

 

เมิ่งจงจวี่นำภรรยาและเมิ่งเชี่ยนโยวออกมายืนต้อนรับหน้าประตู เห็นพระชายาฉีแล้วเตรียมจะคุกเข่า

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนรีบไปพยุงเขาไว้ พระชายาฉีก็ทำท่าจะพยุงเขา “ต่อไปเราก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ไม่มีกฎอะไรเช่นนี้แล้ว”

 

 

เมิ่งจงจวี่เป็นซิ่วไฉมาทั้งชีวิต ความคิดโบราณนั้นฝังลึกอยู่ในใจ ได้ยินแล้วจึงกล่าวว่า “แม้ว่าอี้เซวียนและโยวเอ๋อร์จะแต่งงานกันแล้ว พวกเราก็ไม่สามารถละเลย กฎระเบียบนี้ไม่ทำไม่ได้”

 

 

เหล่าเมิ่งซื่อไม่คิดมากเหมือนเมิ่งจงจวี่ มองพินิจพิเคราะห์พระชายาฉีไปมา เห็นหน้าตานางเป็นคนจิตใจดี มีมารยาท พยักหน้าในใจ ยอมรับนางเล็กน้อย

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วทำความเคารพนาง “พระชายา”

 

 

พระชายาฉียิ้มแล้วพยักหน้ารับ “โยวเอ๋อร์ ไม่เจอเจ้าแค่วันเดียว ใจของข้าคิดถึงเจ้ามาก”

 

 

ใจของเหล่าเมิ่งซื่อยิ่งชื่นชมนางมากขึ้นไปอีก

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนจ้องมองเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยความรักอย่างไม่ละสายตา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถูกมองจนหน้าแดง

 

 

เมิ่งฉีเห็นสีหน้าของทั้งสอง ไอออกมาเบาๆ เพื่อตักเตือน

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนจึงเลื่อนสายตากลับมา

 

 

เหล่าเมิ่งซื่อยิ้มแล้วกล่าวว่า “เชิญเข้าไปนั่งข้างในก่อนเถิด”

 

 

เมิ่งซื่อรีบนำพระชายาฉีเข้าไปในห้อง

 

 

เหล่าเมิ่งซื่อจับมือของเมิ่งเชี่ยนโยวแล้วเดินตามเข้าไป

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเดินตามหลัง

 

 

เมิ่งจงจวี่ เมิ่งเอ้ออิ๋น เมิ่งเสียนสองสามีภรรยาและเมิ่งฉีสองสามีภรรยารออยู่ข้างนอก

 

 

นั่งในห้อง เห็นเมิ่งจงจวี่เขาไม่ได้เดินเข้ามา พระชายาฉียิ้มแล้วสั่งหวงฝู่อี้เซวียนว่า “ไปเรียกทุกคนเข้ามาเถิด ข้ามีเรื่องสำคัญจะพูด”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเดินออกไป กล่าวว่า “ท่านปู่ ท่านพ่อ พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ พี่รอง พี่สะใภ้รอง เสด็จแม่มีเรื่องจะพูดกับพวกท่าน”

 

 

เมิ่งจงจวี่เดินนำเข้าไปในห้อง

 

 

พระชายาฉียิ้มแล้วให้เมิ่งจงจวี่สองสามีภรรยาและเมิ่งซื่อสองสามีภรรยานั่งลง กล่าวว่า “วันนี้พวกข้านำสินสอดมาให้โดยที่ไม่ได้แจ้งล่วงหน้า หนึ่งเพราะกลัวพวกเจ้าปฏิเสธ ไม่ยอมให้โยวเอ๋อร์แต่งกับอี้เซวียน สองนั้น ฮ่องเต้ได้ออกราชโองการมาแล้ว ให้พวกเขาแต่งงานกันในวันที่หกเดือนแปด ตอนนี้สิ้นเดือนเจ็ดแล้ว ไม่มีเวลามากมายให้เตรียมตัวแล้ว ข้าเลยคิดว่ามาปรึกษาหารือกับพวกเจ้าด้วยตัวเอง ดูว่าพวกเจ้ายังต้องการอะไรอีกหรือไม่”

 

 

หลังจากครอบครัวเมิ่งรีบมา ก็มีความสุขอยู่กับเรื่องที่เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมา ไม่ได้คิดเรื่องแต่งงานของเมิ่งเชี่ยนโยวเลย ฉะนั้นจึงไม่รู้เรื่องที่ฮ่องเต้ออกราชโองการเลย แม้แต่เมิ่งฉียังไม่รู้เรื่อง ทุกคนได้ยินก็หยุดชะงักไปพร้อมกัน

 

 

เห็นทุกคนหยุดชะงักไป พระชายาฉีก็หยุดชะงัก กล่าวถามด้วยความสงสัย “เป็นอะไรหรือ ไม่มีผู้ใดบอกพวกเจ้าเลยหรือ”

 

 

ทุกคนส่ายหัวไปมา

 

 

พระชายาฉีรีบอธิบาย “วันแรกที่เซวียนเอ๋อร์และโยวเอ๋อร์กลับมาเมืองหลวง เซวียนเอ๋อร์ก็ไปขอราชโองการทันที สำนักโหรหลวงคำนวณว่าวันที่หกเดือนแปดเป็นวันมงคล ฮ่องเต้ก็ได้ออกราชโองการในทันที ฉะนั้นข้าจึงรีบยกสินสอดมา

 

 

เมิ่งซื่องงไปสักพัก กล่าวถามอย่างำม่เชื่อว่า “ฮ่องเต้ออกราชโองการให้พวกเขาแต่งงานกันหรือ”

 

 

พระชายาฉีพยักหน้า “ในราชโองการกล่าวว่า ถ้าหากรอบนี้โยวเอ๋อร์ยังกล้าหนีงานแต่งอีกครั้ง ก็จะประหารตระกูลเมิ่งเก้าชั่วโคตร”