ตอนที่ 206 โดย Ink Stone_Romance
ตอนที่ 206 ฟ้าบันดาลให้เป็นคู่ชีวิต (1)
พูดถึงปัญหา ปัญหาก็มา เพิ่งสิ้นเสียงของลั่วจื่อหาน คุณแม่ลั่วก็ผลักประตูเข้ามา อี้เป่ยซีต้องการจะหลบไปด้านข้างตามสัญชาตญาณ ทันทีที่ลุกขึ้นก็นั่งลงไปอีกครั้ง ยิ้มอย่างน่าเอ็นดู “คุณ คุณน้า” เธอรู้สึกว่ามุมปากของเธอกระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้
“ตื่นแล้วเหรอ” การแสดงออกของคุณแม่ลั่วนั้นเฉยเมยจนบอกไม่ได้ว่าชอบหรือว่ารังเกียจ พ่อบ้านที่อยู่ด้านหลังวางอาหารลงบนโต๊ะข้างเตียง ถอยออกไปอย่างนอบน้อม คุณแม่ลั่วยังคงมองลูกชายตัวเองอย่างไม่ไว้ใจเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าสายตาของเขาหยุดอยู่ที่อี้เป่ยซีตลอดเวลาก็ลังเลครู่หนึ่ง
“ไม่ต้องรีบร้อน พักผ่อนเยอะๆ เดี๋ยวอยากกินอะไรก็บอกจื่อจี้ ตอนเย็นค่อยทำให้กิน ตอนเที่ยงก็กินไปก่อนเถอะ”
อี้เป่ยซีได้รับการปฏิบัติอย่างดีจนรู้สึกประหลาดใจ “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรค่ะคุณน้า แค่นี้ก็ดีมากแล้ว” กลิ่นหอมจางๆ ของอาหารลอยอยู่ในอากาศ อี้เป่ยซีรู้สึกว่าท้องว่างนานแล้ว
“อืม” พูดจบก็ยังคงเดินออกไปจากห้องด้วยความเย็นชา ทำเอาอี้เป่ยซีสับสน
“คุณ คุณน้าเป็นอะไรไป? รู้สึกว่าท่าทางไม่เหมือนกับเมื่อก่อนนิดหน่อย” อี้เป่ยซีรีบวิ่งไปที่โต๊ะ สูดกลิ่นหอมของกับข้าวลึกๆ “หอมจังเลย”
“ในสายตาของเธอ ฉันสู้กับข้าวพวกนี้ไม่ได้งั้นเหรอ?” อี้เป่ยซีนั่งลงข้างเตียง หันหลังให้เขา ลั่วจื่อหานอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเอ่ย
อี้เป่ยซีกินข้าวหนึ่งคำ รสหวานกับกลิ่นหอมที่หนักหน่วงของข้าวแพร่กระจายอยู่ในปากขณะเคี้ยว เธอพูดไม่ชัด “ท้องอิ่มแล้วสมองถึงจะแล่น”
“อ๋อ…” ลั่วจื่อหานลากเสียงยาว อี้เป่ยซีได้ยินแล้วตัวสั่น
“นายไม่หิวเหรอ?”
เขาพยักหน้า “หิวมานานแล้ว”
อี้เป่ยซีเผยยิ้มเข้าใจ “หุหุ เขินที่ต้องให้คนอื่นป้อนนายใช่ไหม” เธอเลือกกับข้าวที่ลั่วจื่อหานชอบด้วยความจริงจัง เดินไปยังอีกด้านของเตียง ลั่วจื่อหานไม่อ้าปาก มองอี้เป่ยซีตาเป็นประกาย อี้เป่ยซีรู้สึกได้ถึงความร้อนในดวงตา มือสั่นเทา ข้าวในช้อนเกือบร่วงลงบนเตียง
“นาย นาย…นายมองฉันแบบนี้ ทำ ทำไม?”
“ก็บอกแล้วไง ว่าฉันหิว”
เธอเข้าใจในทันที เบือนหน้าหลบสายตาของเขา “หิวแล้วก็กินข้าว ถ้านายยังดื้ออีกเดี๋ยวก็ไม่เหลืออะไรแล้ว”
ลั่วจื่อหานพยักหน้า มองใบหน้าด้านข้างของเธอก้มหน้าลงเล็กน้อย กินข้าวที่อยู่ในช้อน
จนกระทั่งกับข้าวเย็นแล้ว ทั้งสองคนก็กินเสร็จพอดี อี้เป่ยซีเก็บถ้วยกับตะเกียบบนโต๊ะ ครุ่นคิดว่าจะเอาลงไปด้วยตัวเองดีหรือเปล่า
“แล้ว ห้องครัวบ้านนายอยู่ไหนเหรอ?”
“ชั้นล่างน่ะ”
“เดินไปยังไง?”
ลั่วจื่อหานเข้าใจความคิดของเธอ ในใจรู้สึกหวั่นไหวเพราะความคิดของเธออีกครั้ง “ลงไปข้างล่างก็พอแล้ว”
“ฉันรู้น่าว่าต้องลงไปข้างล่าง ฉันถามถึงตำแหน่งของห้องครัว ฉันต้องเลี้ยวหรือเปล่า มีเครื่องหมายสำคัญอะไรหรือเปล่า”
“ก็แค่ไปห้องครัว เธอตื่นเต้นอะไร?”
อี้เป่ยซีหันหลังกลับมา “ฉันตื่นเต้นตรงไหน ฉันก็แค่กลัว…”
“กลัวอะไร? หืม?”
“ไม่มีอะไร พูดแล้วนายต้องหัวเราะเยาะฉันแน่ๆ”
ลั่วจื่อหานไม่อาจปฏิเสธได้ “วางไว้ตรงนั้นแหละ เดี๋ยวก็มีคนมา นอนต่ออีกหน่อยไหม?”
“ไม่ดีมั้ง ฉันนอนหลับไปหลายวันแล้วไม่ใช่เหรอ? ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป คุณน้าลั่วจะไม่ชอบหรือเปล่า”
“คิดซะว่าอยู่เป็นเพื่อนลูกชายสุดที่รักของเขาดีไหม?” ลั่วจื่อหานโน้มน้าวเสียงอ่อนโยน “เด็กดีนะ”
อี้เป่ยซีอ้อยอิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ประคองลั่วจื่อหานนอนลง ตัวเองจึงเปิดผ้าห่มแล้วเข้าไปนอน เธอเพิ่งจะล้มตัวลงไม่ทันไรก็มีคนมาเก็บถ้วยและตะเกียบแล้ว อี้เป่ยซีหลับตาลง ได้ยินเสียงหายใจที่สงบของผู้ชายที่อยู่ด้านข้าง ยิ้มน้อยๆ ในสมองยังคงตื่นตัว
“ไม่อยากนอนเหรอ?”
“หา นายยังไม่หลับเหรอ?”
ลั่วจื่อหานยื่นมือขวาไปบีบจมูกของเธอ “เธอมองฉันแบบนี้ ฉันจะนอนหลับได้ยังไงล่ะ เป็นอะไรไป?”
เธอส่ายหน้า “ไม่มีอะไร ก็แค่รู้สึกว่าช่วงนี้เกิดเรื่องเยอะมากเลย เวลาก็ผ่านไปนานมากๆ แต่ว่าผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว ก็ยังไม่ได้มองนายให้เต็มตาเลย”
มีอะไรบางอย่างติดอยู่ในลำคอของลั่วจื่อหาน ทั้งหวานทั้งขมขื่น เขาขยับตัวเล็กน้อย แต่ยังไม่ได้พูดอะไร
“ลั่วจื่อหาน” มือน้อยๆ ของอี้เป่ยซีวางอยู่บนมือใหญ่โตของเขา “เมื่อก่อนฉันมักจะคิดว่าชีวิตที่ได้อยู่กับนายมันเกินจริงมาก เหมือนเดินอยู่บนก้อนเมฆ ภาพตรงหน้าก็เต็มไปด้วยหมอก มองไม่เห็นถนนที่อยู่ใต้เท้า ทำได้แค่เขยิบไปข้างหน้าทีละน้อย กลัวว่าจะพลัดตกลงจากก้อนเมฆ สุดท้ายแล้วแม้แต่กระดูกก็หาไม่เจอ”
“อย่าพูดเหลวไหล”
เธอหัวเราะหึๆ “ก็ไม่ใช่คำพูดเหลวไหลนะ บางทีความรู้สึกที่จริงที่สุดก็ดูเหมือนไร้สาระมากเลย นายไม่ชอบเหรอ”
ลั่วจื่อหานยังไม่ทันเอ่ยปาก เธอก็พูดต่อ “แต่ว่าหลังจากที่เจอเรื่องมากมายแบบนี้ฉันก็ไม่กลัวแล้ว ที่จริงพวกเราก็ไม่ได้ต่างกัน ความรักของพวกเราก็ไม่ได้ราบรื่นแบบนั้น พวกเราก็เหมือนคนธรรมดาที่มีความขัดแย้งและอุปสรรคมากมาย ฉะนั้น ทำไมถึงไม่คิดเหมือนคนทั่วไปล่ะ มีความรักที่ยืนยาว เดินไปจนถึงสุดทาง”
“พวกเราก็จะอยู่ด้วยกันตลอดไป ใช่ไหม”
ลั่วจื่อหานบีบมือของเธอแน่น “ใช่”
“เอาล่ะ” อี้เป่ยซีซุกตัวเข้าไปในผ้าห่มอีกครั้ง “ฉากซึ้งจบแล้ว พูดตั้งเยอะเหนื่อยจังเลย ฉันอยากนอนแล้ว”
“เป่ยซี”
“หืม?”
“หรือว่าเธอ…”
มืออีกข้างหนึ่งของอี้เป่ยซีลูบไล้ข้อนิ้วของลั่วจื่อหาน หลุบตาลงต่ำ “ฉันไม่มีอะไรอยากถาม นายไม่อยากให้ฉันรู้ก็ไม่รู้ก็ได้ ฉันเชื่อว่านายจัดการเรื่องนี้ได้ นี่ หรือว่าเมื่อกี้ที่นายเหม่อลอยตลอดเวลาเพราะกำลังคิดเรื่องไร้สาระอยู่ ไม่ได้ยินคำสารภาพที่ลึกซึ้งของฉันเหรอ?”
ลั่วจื่อหานใช้แขนข้างเดียวกอดเธอเข้ามาชิดตัวเอง “ได้ยินแล้ว”
“นี่ ลั่วจื่อหาน นายปล่อยฉันนะ” อี้เป่ยซีกลัวว่าจะทับบาดแผลของเขา ได้แต่จ้องเขา ไม่กล้าออกแรงดิ้นรน ยื่นมือจับแขนของเขาไว้
“ฉันยังมีแผลอยู่”
“นายรู้ตัวว่าตัวเองบาดเจ็บด้วยเหรอ” อี้เป่ยซีค้อนเขาเคืองๆ ตบๆ แขนของเขา “ปล่อยนะ”
ลั่วจื่อหานไม่เพียงไม่ฟังแต่ยังออกแรงแขนหนักกว่าเดิม อี้เป่ยซีแนบติดหน้าอกของเขาครึ่งหนึ่ง แก้มรู้สึกร้อนเล็กน้อย ได้ยินเขาพูดขึ้น “เรื่องนี้มันจบแล้ว เธอไม่ต้องเป็นห่วง ตอนนั้นพ่อแม่ของลู่เยี่ยหวาก็ไม่รู้เรื่องทั้งหมด ไม่งั้นพวกเขาก็จะไม่ทำแบบนี้”
อี้เป่ยซีได้ยินคำอธิบายที่คลุมเครือของเขา ตอบรับเสียงอู้อี้ ผู้ชายที่อยู่ด้านล่างเงียบไป เนิ่นนานอี้เป่ยซีจึงพูดต่อ “ลั่วจื่อหาน นายเองก็…” เธอเปลี่ยนหัวข้อทันที “ฉันจะไม่จากนายไปไหน ไม่มีวัน” พูดพลางกอดเอวของเขาแน่น
“เมื่อกี้ใครบอกให้ฉันปล่อยกันนะ” ลั่วจื่อหานหัวเราะ หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง อี้เป่ยซียกมุมปากยิ้ม หลับตาลงช้าๆ
“ไม่รู้สิ”
————