ตอนที่ 282-2 บังคับสละบัลลังก์

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

สวีโย่วผลักองค์ชายรองมาข้างหน้า “ฉินชัง เจ้าลืมแล้วใช่หรือไม่ว่าองค์ชายรองของเจ้ายังอยู่ในมือข้าอยู่เลย” เขากดกระบี่ยาวในมือ โลหิตไหลลงมาตามคอขององค์ชายรอง “เจ้าอย่าเคลื่อนไหวโดยพลการดีกว่า หากมือข้าไม่นิ่ง องค์ชายรองก็ไม่รอดแล้ว”

 

 

เสนาบดีฉินหน้าถอดสี ยกมือขึ้นห้ามทหารรักษาพระองค์ที่บุกขึ้นหน้าทันที “ปล่อยองค์ชายรอง ข้าจะให้ศพเจ้าอยู่ครบ” องค์ชายรองเป็นไพ่ตายที่สำคัญที่สุดในมือเขา จะพลาดไม่ได้เด็ดขาด

 

 

เสิ่นเวยหัวเราะเยาะออกมาว่า “กวางตายในมือใคร*ยังไม่รู้เลย” สิ้นเสียงคนขยับ รอยามที่ทหารรักษาพระองค์กลุ่มนั้นได้สติกลับมา เสิ่นเวยก็ฆ่าไปแล้วสี่คน ถือกระบี่อ่อนชุ่มโลหิตกลับมายืนที่เดิม “ใครกล้าเข้ามา นี่ก็คือจุดจบของมัน” เสิ่นเวยชี้ศพบนพื้นแล้วข่มขู่อย่างน่าสยดสยอง

 

 

“ดี จยาฮุ่ยจวิ้นจู่เป็นวีรสตรีจริงๆ” ฮ่องเต้ยงเซวียนชื่นชมเสียงดัง บรรยากาศที่ตกต่ำพลิกผันทันที ฮ่องเต้ยงเซวียนพูดกับทหารรักษาพระองค์ว่า “พวกเจ้าจะช่วยคนเลวก่อกรรมชั่วจริงหรือ ขอเพียงพวกเจ้าวางอาวุธลงกลับตัวกลับใจ ข้าจะไม่ตำหนิในความผิดที่เกิดขึ้น”

 

 

ทว่าทหารรักษาพระองค์พวกนี้กลับไม่ขยับเขยื้อน เสนาบดีฉินหัวเราะอย่างได้ใจว่า “ฝ่าบาทก็อย่าเสียแรงเปล่าเลย พวกเขาเป็นทหารคนสนิทของข้าทั้งหมด”

 

 

ระหว่างที่พูดก็ได้ยินเสียงอาวุธแหวกอากาศ ลูกธนูสามดอกจู่โจมมาอย่างรวดเร็ว ดอกหนึ่งเล็งฮ่องเต้ยงเซวียน ดอกหนึ่งเล็งอ๋องเคียงบ่าเฉิงอี้ ยังมีอีกดอกหนึ่งพุ่งตรงไปยังผิงอัน

 

 

ลูกธนูสามดอกยิงเข้ามาอย่างดุดัน พริบตาเดียวก็มาถึงตรงหน้า ฮ่องเต้ยงเซวียนจ้องหัวลูกธนูสีเงินวาวที่ใกล้แค่เอื้อมด้วยความตกตะลึง ใจว่าชีวิตข้าสิ้นแล้ว และในชั่วลัดนิ้วมือเดียว เสิ่นเวยและสวีโย่วโถมเข้าไปพร้อมกัน ผลักฮ่องเต้ยงเซวียนทีหนึ่ง ถึงหลบลูกธนูนี้ได้อย่างหวุดหวิด

 

 

อ๋องเคียงบ่าเฉิงอี้ก็ไม่โชคดีปานนั้นแล้ว แม้เขาเคยเยี่ยมยุทธ ทว่าการจองจำสิบกว่าปีร่างกายของเขาก็เสื่อมโทรมไปนานแล้ว ย่อมหลบลูกธนูนี้ไม่พ้น ถูกยิงทะลุ

 

 

“เสด็จอา” ฮ่องเต้ยงเซวียนเรียกอย่างทำใจไม่ได้

 

 

เฉิงอี้กลับหัวเราะร่าว่า “ฉินชังเสี่ยวเอ๋อร์ ข้าจะไปรอเจ้าอยู่ข้างล่าง”

 

 

“เสด็จแม่!” เสียงร้องอย่างเศร้าโศกดังขึ้นอีกเสียงหนึ่ง มาจากปากองค์ชายรองที่ได้อิสระแล้ว เขามองข้างหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ เดินโซเซไปข้างหน้าสองก้าวทว่ากลับยกเท้าไม่ขึ้นอีก

 

 

นั่นคือเสด็จแม่ของเขา ทว่าไยนางถึงมองคนอีกคนหนึ่งอย่างอ่อนโยนเมตตาเช่นนั้น เสด็จแม่กลัวเจ็บถึงเพียงนั้น เพราะอะไรนางถึงต้องบังธนูให้คนคนนั้นด้วย

 

 

“ท่าน ท่าน!” ผิงอันมองหญิงที่โถมมาบังธนูให้เขาข้างหน้าอย่างทำอะไรไม่ถูก นางงดงาม สง่าเลิศล้ำ กลับน้ำตานองหน้า

 

 

“เจ้า เจ้าชื่อผิงอัน ใช่หรือไม่” ฉินซู่เฟยยกมุมปากขึ้นอย่างลำบาก ใบหน้าระบายรอยยิ้มอ่อนโยน นางยื่นมือที่สั่นเทาคิดจะลูบหน้าของเขา “เจ้า เจ้าเรียกข้าว่า เสด็จแม่คำหนึ่ง ได้หรือไม่” เจ็บ เจ็บจริงๆ ! ทว่านางไม่เสียใจเลยแม้แต่น้อย ยามที่ลูกธนูยิงมาที่ผิงอันนางไม่แม้แต่จะคิดก็โถมตัวมาถึงหน้าเขา นี่คือบุตรชายของนาง บุตรชายที่นางให้กำเนิดและไม่ได้เลี้ยงแม้วันเดียว!

 

 

ผิงอันยิ่งทำอะไรไม่ถูก หญิงผู้งดงามนี้ก็คือมารดาของเขาหรือ ทว่าในใจของเขาเพราะอะไรถึงเสียใจเพียงนี้

 

 

“อย่าร้อง ผิงอัน เรียกข้าสิ!” ในที่สุดฉินซู่เฟยก็ลูบถึงหน้าผิงอันแล้ว “เด็กดี ไม่ร้อง” นางมองใบหน้าของผิงอันอย่างละโมบ ราวกับดูเท่าไรก็ไม่พอ

 

 

ผิงอันถึงพบว่าที่แท้ตนน้ำตาไหลแล้ว เขายื่นมือไปเช็ด กลับเช็ดอย่างไรก็ไม่สะอาด “สะ เสด็จแม่! ท่านอย่าตาย ขอร้องท่านอย่าตาย!” เขาเพิ่งหามารดาเจอก็สูญเสียมารดาไปแล้ว เขาไม่ต้องการให้เป็นเช่นนี้ ผิงอันกอดฉินซู่เฟยไว้ ร้องไห้จนเสียงแหบแห้ง

 

 

ฉินซู่เฟยระบายยิ้มอันปลาบปลื้มบนใบหน้า “ผิงอัน ผิงอัน ลูกแม่!” เสียงของนางรีบร้อน จากนั้นจึงหยุดในทันใด มือที่ลูบหน้าผิงอันห้อยลงมาอย่างหมดแรง

 

 

“เสด็จแม่ เสด็จแม่ ท่านแม่!” ผิงอันตะโกนอย่างรวดร้าว ทว่าฉินซู่เฟยในอ้อมกอดของเขากลับหลับตาลงตลอดกาลแล้ว โฉมหน้ากลับสงบสุขเหลือเกิน

 

 

“เจ้า เจ้าฆ่าแม่ข้า!” ผิงอันเงยหน้าขึ้นโดยพลัน สายตาแห่งความเคียดแค้นยิงไปที่เสนาบดีฉิน

 

 

“เสด็จแม่ เสด็จแม่” องค์ชายรองคลานมาทางนี้อย่างตื่นตระหนก ทันทีที่เสนาบดีฉินให้สัญญาณ ก็มีคนขวางเขาไว้

 

 

“ปล่อย เจ้าปล่อยข้า ข้าจะไปหาเสด็จแม่” องค์ชายรองดิ้นรนสุดชีวิต เสด็จแม่ของเขาตายแล้ว ตายแล้ว ไม่ นั่นอาจไม่ใช่เสด็จแม่ของเขา เป็นเพียง พี่สาวของเขา!

 

 

คนชุดดำที่อยู่ดีๆ ก็โผล่ออกมายิงธนูออกมาพร้อมกันสามดอกคนนั้นเห็นดังนั้นก็ขมวดคิ้วทีหนึ่ง แล้วเดินเข้าไปสับมือคราหนึ่งองค์ชายรองหมดสติ “นายท่าน ข้าน้อยมาช้าแล้ว”

 

 

เสนาบดีฉินพูดว่า “ไม่ช้า กำลังดี” บุตรสาวตายไปคนหนึ่ง บนใบหน้าเขาไม่มีความโศกเศร้าเลยแม้แต่น้อย เสิ่นเวยรู้สึกไม่คุ้มแทนฉินซู่เฟย

 

 

“ข้างนอกจัดการเรียบร้อยหรือยัง” เสนาบดีฉินถาม

 

 

“นายท่านวางใจได้ คนในวังล้วนเป็นคนของเรา” คนชุดดำหยุดทีหนึ่งแล้วพูดอีกว่า “กองทัพมาถึงนอกประตูเมืองทิศตะวันตกแล้ว รอเพียงคำสั่งจากนายท่านเท่านั้น” ขอเพียงเห็นสัญญาณที่นายท่านปล่อย คนของพวกเขาก็จะเปิดประตูเมืองปล่อยกองทัพเข้าเมือง

 

 

เสนาบดีฉินพยักหน้าอย่างพอใจว่า “ฝ่าบาท ท่านรีบร่างราชโองการดีกว่า ความอดทนของกระหม่อมมีจำกัด ท่านไม่ต้องคาดหวังว่าจยาฮุ่ยจวิ้นจู่จะช่วยท่านได้ ต่อให้นางวรยุทธสูงเพียงใดก็มีเพียงคนเดียว ท่านยิ่งไม่ต้องคิดถ่วงเวลา บัดนี้ทั่วทั้งวังหลวงอยู่ในการควบคุมของกระหม่อมหมดแล้ว ท่านรอกองทัพหนุนไม่ได้หรอก บัดนี้ท่านติดปีกก็ยากจะบินแล้ว”

 

 

“ใครคุยโวอย่างไม่รู้สึกละอายถึงเพียงนี้” สวีเวยผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ที่ลากิจกลับบ้านเกิดเยี่ยมบิดานำคนเดินกร่างเข้ามา “ฝ่าบาท กระหม่อมมาอารักขาช้า ขอฝ่าบาทได้โปรดอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“ผู้บัญชาการสวีรีบลุกขึ้น” เห็นสวีเวยปรากฏตัวขึ้น ฮ่องเต้ยงเซวียนถึงวางใจ “ข้างนอกสถานการณ์เป็นเช่นไร”

 

 

“ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย สังหารโจรกบฏในวังหมดแล้ว” สวีเวยพูดเสียงกังวาน

 

 

ทันทีที่เสนาบดีฉินเห็นสวีเวยก็รู้ว่าแย่แล้ว รอได้ยินคำพูดของเขา ก็หน้าถอดสีทันที “แย่แล้ว รีบถอนกำลัง!” แล้วหันหลังวิ่งออกนอกตำหนัก ขอเพียงออกจากวังหลังได้ก็พอ เขายังมีกองกำลัง เขายังกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งได้

 

 

“เร็ว ขวางพวกเขาไว้ ฆ่าอย่าให้เหลือ” ฮ่องเต้ยงเซวียนแผดเสียงออกคำสั่ง

 

 

สวีโย่วและเสิ่นเวยคนหนึ่งซ้ายคนหนึ่งขวาอารักขาอยู่ข้างกายฮ่องเต้ยงเซวียน มองสวีเวยนำคนเข้าห้ำหั่นกับคนของเสนาบดีฉิน คนชุดดำที่โผล่มาท้ายสุดคนนั้นช่างร้ายกาจจริงๆ อารักขาเสนาบดีฉินที่ไม่รู้วรยุทธด้วยความคล่องแคล่วว่องไว

 

 

เสิ่นเวยเห็นแล้วไม่ได้การ คิ้สกระตุกหนึ่งครา คิดอุบายได้ จึงแผดเสียงตะโกนว่า “ฉินชัง เจ้ายังเพ้อฝันถึงกองทัพหนึ่งแสนนั่นของเจ้าสินะ ข้าจะบอกให้ พวกเขาคิดห่วงตัวเองยังไม่ทันการ ต่อให้ติดปีกก็ยากจะบินคือเจ้าถึงจะถูก!”

 

 

“เสิ่นผิงยวน” ได้ยินเสนาบดีฉินตะคอกด้วยความโกรธเสียงหนึ่ง

 

 

“ถูกต้อง เป็นท่านปู่ของข้า มีท่านปู่รักษาเมือง กองทัพหนึ่งแสนของเจ้านั่นโชคร้ายมากกว่าดีแล้ว! ไม่เชื่อ เจ้าก็ลองฟังดูดีๆ สิ!” เสิ่นเวยกล่าว

 

 

“ไอ้แก่!” เสนาบดีฉินโกรธแค้นจนด่าใหญ่ เขาก็ว่าผิดปกติ เจ้าไข่เต่าแก่นั่นไยถึงพิกลพิการได้นะ ที่แท้รอเขาอยู่ที่นี่นั่นเอง

 

 

“เจ้าสิไอ้แก่ ไข่เต่าแก่ ไข่เน่าแก่ แก่หน้าไม่อาย” เสิ่นเวยด่ากลับจนเสนาบดีฉินโกรธจนควันออกหู ฉวยโอกาสที่เขาเสียสมาธิ สวีเวยฟันลงที่ขาของเขา เขาล้มลงพื้นทันที จากนั้นอาวุธห้าหกเล่มก็พาดอยู่บนตัวเขาพร้อมกัน

 

 

คนชุดดำคิดจะกลับมาช่วยก็ไม่ทันการแล้ว เขาเห็นสถานการณ์แล้ว ก็ไม่มีใจคิดจะสู้อีก หันหลังหนีออกนอกวังไป

 

 

“ตาม!” สวีเวยออกคำสั่งเสียงดัง

 

 

“ไม่ต้องแล้ว เขาหนีไม่พ้นหรอก” เสิ่นเวยรีบห้ามไว้ มีองครักษ์เงาอยู่ เขาหนีได้ก็แปลกแล้ว

 

 

เสนาบดีฉินถูกมัดมือไขว้หลังคุมตัวไป อ้อ ที่ถูกคุมตัวไปยังมีองค์ชายรองที่หมดสติด้วย

 

 

“ฝ่าบาท ในวังต้องขอไหว้วานผู้บัญชาการสวีแล้ว จยาฮุ่ยและคุณชายใหญ่ควรไปช่วยท่านปู่อีกแรงแล้วเพคะ” เสิ่นเวยพูดเสียงเข้ม

 

 

“ไปเถอะ ระวังตัวด้วย” ฮ่องเต้ยงเซวียนพยักหน้า

 

 

“ไปเถอะ คุณชายใหญ่ เราควรไปสร้างผลงานแล้ว” เสิ่นเวยยิ้มให้สวีโย่วอย่างซุกซน ทั้งสองคนจับมือกันทะยานไปยังสนามรบของพวกเขา

 

 

นี่คือการรบที่ไม่ต้องวิตกเลยแม้แต่น้อย นี่คือการรบที่กองทหารเด็กสร้างชื่อในชั่วค่ำคืน คือการรบที่สร้างภาพลักษณ์ห้าวหาญให้จยาฮุ่ยจวิ้นจู่

 

 

ภายใต้การตีขนาบประสานกันทั้งด้านนอกด้านในของค่ายทหารซีซานและทหารรักษาเมือง กำจัดทหารกบฏสองหมื่นกว่าคน จับเป็นเชลยแปดหมื่น ในประตูเมืองทิศตะวันตกโลหิตไหลนองเป็นแม่น้ำ กลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้งอยู่หนึ่งเดือนกว่าเต็มๆ

 

 

การก่อกบฏครั้งนี้ในประวัติศาสตร์ขนานนามว่า “กบฏเดือนห้า” สุดท้ายจบลงด้วยการพ่ายแพ้ของเสนาบดีฉิน โจรกบฏฉินชังถูกตัดสินโทษหลิงฉือ** ประหารเก้าชั่วโคตร ทุกคนของตระกูลฉินที่หนีไปทางทางลับก็ถูกจับกลับมาทั้งหมด ตัดศีรษะไม่ตกหล่นสักคนเดียว

 

 

องค์ชายรอง อ้อไม่ใช่ องค์ชายรองในอดีตต่างหาก หลังจากช่วงไว้อาลัยสี่สิบเก้าวันให้ฉินซู่เฟยจบลงเขาก็ฆ่าตัวตาย ข่าวส่งไปถึงฮ่องเต้ยงเซวียน เขานิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน แล้วสั่งให้คนฝังศพอย่างสมเกียรติ

 

 

ยงเซวียนปีที่สิบเจ็ด ฝ่าบาทแต่งตั้งองค์ชายใหญ่สวีเช่อเป็นรัชทายาท พระชายาองค์ชายใหญ่เจียงซื่อเป็นพระชายารัชทายาท

 

 

ขณะเดียวกันก็แต่งตั้งองค์ชายผิงอันที่สาบสูญอยู่ข้างนอกคนนั้นเป็นอันอ๋อง องค์ชายสามสวีเฉิงเป็นอิงอ๋อง ผิงจวิ้นอ๋องสวีโย่วเนื่องจากมีความดีความชอบแต่งตั้งเพิ่มเป็นผิงอ๋อง ส่วนจยาฮุ่ยจวิ้นจู่เพิ่มหนึ่งพันศักดินา

 

 

ยงเซวียนปีที่ยี่สิบสาม เนื่องจากประชวรฝ่าบาทสละราชบัลลังก์ รัชทายาทสวีเช่อขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้ เริ่มศักราชใหม่ของราชวงค์ต้ายง

 

 

 

 

*กวางตายในมือใคร ในโลกของจีนโบราณ การแย่งชิงอำนาจของมนุษย์ถูกตีความไว้เหมือนการล่าสัตว์ “กวางตายในมือใคร” จึงมีความหมายว่า ใครจะชนะ

 

 

**หลิงฉือ คือ การใช้มีดเฉือนเนื้อของนักโทษออกทีละชิ้นทีละชิ้น ให้นักโทษเจ็บปวดทรมานและตายไปแบบช้าๆ เรียกได้ว่าเป็นวิธีการประหารที่โหดเ**้ยมไร้มนุษยธรรมที่สุดวิธีหนึ่ง