ภายในห้องโถงของหอคอยอัลลินสาขาสหพันธ์บทเพลงจันทรา เหล่าจอมเวทต่างกล่าวสรรเสริญเยินยอและแสดงความอัศจรรย์ใจเกี่ยวกับความเรียบง่ายขององค์ประกอบในขอบเขตของโลกจุลภาค

“ข้าจำได้ว่าท่านเฮย์นส์เคยพูดเอาไว้ว่าธรรมชาติของอาร์คานานั้นคือความเรียบง่ายและความตรงไปตรงมา และความงามของอาร์คานาก็มาจากนิยัตินิยมและความสมมาตรที่น่าตื่นตะลึง แม้ว่าความตรงไปตรงมาจะถูกปัดตกด้วยเลขาคณิตเลฟสกี เลขาคณิตอีวานส์ ทฤษฎีสัมพันธภาพทั่วไป กับกลศาสตร์เมทริกซ์ ส่วนนิยัตินิยมก็ใกล้จะพังทลายลงเพราะคำอธิบายเกี่ยวกับความน่าจะเป็นของฟังก์ชันคลื่นและหลักความไม่แน่นอนที่ได้รับการพิสูจน์ในการทดลองทั้งหลาย แต่ดูเหมือนว่าความเรียบง่ายกับความสมมาตรจะยังครองโลกของเราอยู่ นั่นคือเหตุผลที่เราสามารถสรรเสริญสมการบรูกว่าเป็นบทกวีแห่งเทวีเจ้า และสมารมวลสาร-พลังงานก็เต็มไปด้วยความงดงามเลิศล้ำ”

จอมเวทคนหนึ่งออกความเห็นได้อย่างซาบซึ้งตรึงใจ ราวกับว่าเขากำลังกล่าวสุนทรพจน์อยู่

เฮย์นส์คือนักเวทชั้นตำนานผู้หนึ่งของสภาเวทมนตร์เมื่อราวๆ ศตวรรษก่อน ผู้สร้างคุณงามความดีอันใหญ่หลวงให้กับอาร์คานาและเวทมนตร์ เขาได้รับรางวัลแห่งเกียรติยศสูงสุดในหลายๆ สาขา สมการหลายอย่างในเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสนามพลังและโหราศาสตร์คือความสำเร็จของเขา หากทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี เขาก็คงจะได้เป็นมหาจอมเวทแล้ว น่าเสียดายที่เขาต้องเผชิญหน้ากับนักบุญจากศาสนจักรฝ่ายใต้ในช่วงออกสำรวจ และพวกเขาก็ตกตายไปพร้อมกัน

จูรีเซียนวางวารสารในมือลงแล้วแย้มยิ้ม “เช่นนั้น ว่ากันตามความสมมาตร ทั้งนิวคลีออนและอิเล็กตรอนควรจะมีปฏิยานุภาคของพวกมันเอง ประเภทของอนุภาคเล็กจิ๋วไม่มีทางเรียบง่ายอย่างที่คาดคิดหรอก”

“นั่นคือเรื่องปกติขอรับ เมื่อมียามราตรีย่อมมียามกลางวัน การมีอยู่ของปฏิยานุภาคคือเรื่องที่ยอมรับได้ในทางปรัชญา มันมิได้ลดทอนความงามของความเรียบง่ายในอนุภาคพื้นฐานเลย” จอมเวทอีกคนตอบด้วยความรู้สึกมั่นอกมั่นใจ

จูรีเซียนพยักหน้า ก่อนจะเอ่ยเน้นเสียง “แน่นอน ในขณะที่การแบ่งประเภทนั้นเรียบง่าย แต่คุณสมบัติเฉพาะของอนุภาคเล็กจิ๋วนั้นไม่เรียบง่ายเลยสักนิด”

ทันทีที่เขากล่าวจบ สีหน้าจอมเวททุกคนก็พลันเปลี่ยนไป บ้างก็ยิ้มขื่น บ้างก็ดูหมดหนทาง บางคนเริ่มดูไม่สบายใจ และบางคนก็นิ่งอึ้งไป

ในขณะที่ทวิภาคของคลื่น–อนุภาคยังไม่ได้รับความเห็นพ้องเป็นเสียงเดียวกัน แต่มันก็ถือว่าเป็นคำอธิบายหลักๆ ในยามนี้และเป็นที่ยอมรับของจอมเวทส่วนใหญ่ ทว่าหลักความไม่แน่นอนกับคำอธิบายของความน่าจะเป็นนั้นท้าทายประสาทและดวงจิตของพวกเขาอย่างยิ่ง ราวกับว่าโลกทั้งใบอาจกลายเป็นภาพมายาและเหนือจริงได้ทุกเมื่อ ส่วนการทดลองแทรกสอดช่องเปิดคู่ด้วยอิเล็กตรอน การซ้อนทับของควอนตัม และตามมาด้วย ‘ผลกระทบจากผู้สังเกต’ เหล่าจอมเวทจึงไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากหลบลี้หนีหน้าไปจากคำถามแสนยากเย็นนี้ เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขานึกถึงปัญหาเหล่านี้ พวกเขาก็พลันรู้สึกว่าสมองตนเองกำลังจะระเบิดโพลง

“ท่านจูรีเซียน ข้าขอตัวก่อนนะขอรับ คำถามเกี่ยวกับทฤษฎีสนามควอนตัมกำลังกระตุ้นทุกเซลล์ในร่างกายข้าให้กลับไปอ่านมันเรื่องละเอียดเสียแล้วล่ะขอรับ” หนึ่งในจอมเวทที่อยู่ในห้องโถงหยุดยิ้มขมขื่นแล้วขอตัวลาจากด้วยการอ้างว่าจะศึกษาทฤษฎีสนามควอนตัม

จูรีเซียนยิ้มเยือน “ข้าหวังว่าผลงานของเจ้าจะมอบแรงบันดาลใจให้กับท่านมหาจอมเวทนะ”

“ข้าก็หวังเช่นนั้นขอรับ” จอมเวทผู้นั้นตอบกลับด้วยรอยยิ้มแข็งทื่อ เขาจะมอบแรงบันดาลใจให้ท่านมหาจอมเวทได้อย่างไรในเมื่อตัวเขาเองยังอ่านแทบไม่เข้าใจเลยด้วยซ้ำ

แม้ว่าจะยังมีหวังที่เขาจะทำความเข้าใจทฤษฎีสนามควอนตัมใน ‘อาร์คานา’ ฉบับนี้ได้ หากเขาใช้เวลาทุ่มเทในฐานะจอมเวทระดับห้า แต่มันก็คงยังต้องใช้เวลาราวปีหรือสองปี เมื่อถึงตอนนั้น เป็นไปได้มากทีเดียวว่าทฤษฎีสนามควอนตัมอาจพัฒนาไปถึงจุดที่เขาไม่อาจทำความเข้าใจได้เลยสักนิด!

เขารู้สึกได้ถึงช่องว่างระหว่างองค์ความรู้ที่เขามีกับความรู้ใหม่ๆ เกี่ยวกับโลกจุลภาคที่เริ่มกว้างขึ้นเรื่อยๆ หากไร้ซึ่งความบังเอิญ การชี้แนะที่ดี และความมานะอุตสาหะ ช่องว่างนี้คงมีแต่จะกว้างขึ้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง จนกระทั่งเขาทำได้เพียงศึกษาจากงานเขียนของผู้อื่นที่ตีพิมพ์เมื่อหลายปีก่อน เขาทำได้เพียงไล่ตามหลังยุคสมัยนี้ หากว่าเขาไม่ถูกกำจัดไปเสียก่อนแล้วล่ะก็

แน่นอนว่าเขาหาได้กลัวเกรงถึงขนาดนั้น เพราะเขาบอกได้ว่าวารสารอย่าง ‘อาร์คานา’ ‘ธรรมชาติ’ ‘เวทธาตุ’ และ ‘แม่เหล็กไฟฟ้า’ นั้นมีจอมเวทไม่เกินหนึ่งร้อยคนที่ถกเถียงและศึกษาความรู้ใหม่ๆ เกี่ยวกับโลกจุลภาคอย่างจริงจัง และคนอื่นๆ ก็ทำได้เพียงพิสูจน์ความจริงหรือให้ตัวอย่างที่ตรงกันข้ามกับทฤษฎีนั้นๆ โดยสรุปแล้ว คนอย่างเขาก็คือกระแสหลักของยุคสมัย

‘บางทีทุกยุคทุกสมัยอาจมีชนกลุ่มน้อยคอยนำทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นเรื่องของอาร์คานา สำหรับจอมเวทส่วนใหญ่แล้ว ทุกอย่างที่พวกเขาต้องทำก็คือทำความเข้าใจผลงานของพวกเขา’ จอมเวทส่ายศีรษะแล้วเลิกสนใจคำปลอบใจตนเองเมื่อครู่นี้

โรงเรียนสายสามัญเรนทาโตแห่งที่สามถูกสร้างขึ้นโดยอาณาจักรโฮล์มและสภาเวทมนตร์ หลังจากที่สองโรงเรียนแรกดำเนินการไปด้วยดีและประชาชนแห่งเรนทาโตต่างก็ยอมรับว่านักเรียนหลายคนมีศักยภาพเมื่อดูจากการใช้ชีวิตประจำวัน แต่เนื่องจากนักเรียนกลุ่มแรกยังเรียนไม่ครบห้าปีตามกำหนดและจบออกไป ศักยภาพที่แท้จริงของพวกเขาจึงยังไม่ถูกเปิดเผย โรงเรียนสายสามัญจึงยังมีเพียงในนครเรนทาโต และยังไม่ถูกนำเสนอไปที่เมืองใหญ่แห่งอื่น

อาลีตัวสั่นสะท้านภายใต้สายลมเย็นยะเยียบ ทั้งเสื้อกั๊กไหมพรม เสื้อเชิ้ตตัวหนา และเสื้อสูทกระดุมสองแถวที่หนายิ่งกว่าบนตัวไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นขึ้นเลย

เขาซุกมือทั้งสองข้างไว้ในกระเป๋าและก้มหน้าซุกคอเสื้อขณะเดินตรงไปด้วยความเร็วรี่

“นครเรนทาโตหนาวกว่าที่ซามาราจริงๆ” เขาไม่เคยประสบพบเจอกับอากาศหนาวเหน็บถึงเพียงนี้มาก่อน เพราะซามารานั้นอยู่ทางใต้ของภูเขาสูงใหญ่ ซึ่งช่วยสกัดกั้นลมหนาวจากทางตอนเหนือ

ความจริงแล้ว อาลีต้องรอสอบเข้าในเดือนมิถุนายนเพื่อที่จะเข้าเรียนในโรงเรียนสายสามัญ และเขาก็ต้องเข้าชั้นเรียนเตรียมความพร้อมที่จัดขึ้นโดยอาจารย์และผู้ฝึกใช้มนตราทั้งหลายจนกว่าจะถึงเวลานั้น แต่การก่อสร้างโรงเรียนสายสามัญแห่งที่สามกลับมอบโอกาสให้กับเขา

เพราะจำนวนผู้ฝึกใช้มนตราที่เพิ่มมากขึ้น ภารกิจที่ไม่มีผู้ใดรับไปทำในอดีต ในยามนี้กลับมีคนรับไปทำทุกภารกิจ นอกจากนี้ แรงงานก็พากันหลั่งไหลเข้ามายังนครเรนทาโต ยังผลให้โรงเรียนสายสามัญแห่งที่สามก่อสร้างแล้วเสร็จก่อนกำหนดถึงครึ่งปี ทางศาลากลางประจำนครเรนทาโต ซึ่งมีปัญหาทางการเงินในช่วงขยายเมือง จึงไม่ยินยอมที่จะเห็นว่าโรงเรียนแห่งใหม่ถูกปล่อยว่างมิใช้งาน ด้วยเหตุนี้ การสอบเข้ารอบพิเศษจึงจัดขึ้น และรับนักเรียนกลุ่มใหม่เข้ามาก่อนช่วงสิ้นปี

“ท่านตาชอว์ มีจดหมายจ่าหน้าถึงข้าหรือไม่ขอรับ” อาลีมาหยุดยืนหน้ารั้วโรงเรียนแล้วถามชายชราผมสีดอกเทารูปร่างกำยำ ว่ากันว่าเขาเคยเป็นอัศวินฝึกหัดภายใต้กองกำลังของอัศวินระดับสูงผู้หนึ่ง จนกระทั่งเขาได้รับบาดเจ็บระหว่างการสู้รบกับสัตว์อสูรที่ถูกปีศาจบงการ เขาได้รับการแนะนำให้มาทำงานเป็นภารโรงของโรงเรียนสายสามัญแห่งที่สาม

ชอว์ส่ายศีรษะ “อาลี วันนี้ไม่มีจดหมายส่งมาถึงใครเลย”

“ขอบคุณขอรับ ท่านตาชอว์” อาลีจากไปด้วยความผิดหวัง หลังจากที่เขามาถึงนครเรนทาโต เขาก็รู้สึกต่ำต้อยและหยุดเขียนจดหมายถึงเจน เพื่อนทางจดหมายของเขา จนกระทั่งเขาสอบเข้าโรงเรียนสายสามัญแห่งที่สามได้และลงหลักปักฐานได้สำเร็จ เขาจึงได้เขียนจดหมายไปหานางเพื่อบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเขาในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงที่อยู่ใหม่ นับแต่นั้น เขาก็เฝ้ารอจดหมายตอบกลับจากนางมาโดยตลอด

ทันทีที่เขาเข้ามาในห้องเรียน เขาก็ได้รับการต้อนรับเป็นอากาศอันอบอุ่น ความหนาวเย็นมลายหายไปแล้ว และอาลีก็รู้สึกอบอุ่นสบายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

‘ห้องเรียนทุกห้องมีระบบระบายอากาศของเครื่องทำความเย็นเวทมนตร์ มันให้ความอบอุ่นยิ่งกว่าเตาผิงเสียอีก’ อาลีพบว่าตนตกหลุมรักชีวิตในเรนทาโตมากขึ้นทุกวันๆ

ในตอนนั้นเอง ไบรอัน อาจารย์สอนวิชา ‘พื้นฐานอาร์คานา’ ก็เดินเข้ามา เขาเคาะนิ้วบนโต๊ะเบาๆ เป็นการบอกให้ทุกคนเงียบเสียงลง

ไบรอันคือชายหนุ่มรูปร่างสูงปานกลางผู้มีรอยยิ้มเหนียมอาย ว่ากันว่าเขาคือนักเรียนจากสำนักเวทมนตร์ดักลาสและเป็นผู้ฝึกใช้เวทมนตร์ระดับสูง เขาสอนวิชา ‘พื้นฐานอาร์คานา’ เป็นงานนอกเวลาเพื่อทำภารกิจให้เสร็จและรับคะแนนอาร์คานา

“ทุกคนขยันมากจริงๆ ยังเหลือเวลาอีกตั้งสิบนาทีกว่าชั้นเรียนแรกจะเริ่ม แต่พวกเจ้าก็มาถึงห้องแล้วทุกคน” ไบรอันพยักหน้าพออกพอใจ

ปัจจุบันยังไม่มีเด็กคนไหนที่เกลียดตำราและการเรียนรู้อยู่ในโรงเรียนสายสามัญทุกแห่ง จึงไม่ต้องสงสัยในความกระตือรือร้นของพวกเขาเลย อีกอย่าง ทางโรงเรียนมีสิทธิ์ขาดในการไล่นักเรียนคนใดก็ตามที่ละเมิดกฎของโรงเรียนเกินสามครั้งออก

“เหตุใดอาจารย์ไบรอันถึงมาเร็วล่ะขอรับ” อาลีรู้ดีว่าไบรอันเป็นคนที่เข้าถึงได้ง่าย จึงกล้าถามออกไปตรงๆ

ไบรอันตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ข้ามาก่อนเวลาก็เพื่อบอกข่าวดีกับพวกเจ้าน่ะสิ ข้อเสนอของฝ่ายการศึกษาของศาลากลางประจำนครเรนทาโตได้รับการยินยอมจากทางคณะกรรมการกิจการของสภาแล้ว นักเรียนที่สอบได้อันดับยี่สิบคนแรกของชั้นปีในการสอบเดือนหน้าจะได้รับการเชื้อเชิญไปเยี่ยมเยือนนครอัลลิน”

“อัลลิน? นครลอยฟ้าน่ะหรือ สำนักงานใหญ่ของสภาเช่นนั้นน่ะหรือ”

“เราจะได้ไปเยือนนครลอยฟ้าจริงๆ หรือนี่”

“เราเข้าไปเยี่ยมชมสถาบันอะตอมได้ไหมนะ”

นักเรียนในห้องพากันตื่นเต้นขึ้นมาทันใด ต้องขอบคุณ ‘เสียงแห่งอาร์คานา’ และหนังสือพิมพ์ทุกประเภทที่ทำให้ชื่ออย่างนครอัลลินและสถาบันอะตอมฝังรากลึกในใจพวกเขา เมื่อตอนนี้พวกเขาได้ยินว่าตนเองมีโอกาสได้ไปเยี่ยมเยือนสถานที่เหล่านั้น จะไม่ให้พวกเขาตื่นเต้นดีใจและเอะอะโวยวายได้อย่างไรกันเล่า

แม้ว่าอาลีจะใช้ชีวิตด้วยการพึ่งพาตนเองมาตั้งแต่เด็ก เขากลับพบว่าตนควบคุมความรู้สึกไม่ได้เลย เขากำหมัดแน่น ภาพมากมายที่เขาเคยเฝ้าฝันถึงในอดีตผุดขึ้นมาในหัวเขาไม่หยุด ‘ข้ามีโอกาสได้ไปเยือนนครลอยฟ้าและแวะชม “สถาบันอะตอม” ชื่อก้องโลกอย่างนั้นน่ะหรือ’

“ใช่ เจ้าจะได้ไปเที่ยวชมนครลอยฟ้าและหอคอยเวทมนตร์อัลลิน พูดคุยกับพรอสเปลล์ และเข้าไปเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการพันธุกรรม ห้องปฏิบัติการสังเคราะห์สิ่งมีชีวิต ศูนย์วิจัยจิตวิทยา ห้องสมุดอาร์คานา และ…” ไบรอันหยุดพูดขณะยิ้มกว้าง ก่อนจะกล่าวต่อว่า “…และสถาบันอะตอม”

“เยี่ยม!”

“เย้!”

เสียงอุทานด้วยความตื่นเต้นดังก้องห้องเรียน นักเรียนทุกคนต่างตื่นเต้นจนหน้าแดง

ไบรอันเคาะนิ้วบนโต๊ะเพื่อให้เด็กเงียบ “เพราะฉะนั้น พวกเจ้าต้องตั้งใจเรียน มีเพียงการสอบให้ได้ยี่สิบอันดับแรกของชั้นปีเท่านั้นที่เจ้าจะได้รับการเชื้อเชิญ เมื่อถึงตอนนั้น นักเรียนที่สอบได้ยี่สิบอันดับแรกของโรงเรียนสายสามัญแห่งที่หนึ่ง แห่งที่สอง โรงเรียนมิลส์ และอีกหลายโรงเรียนจะร่วมเดินทางไปกับพวกเจ้าด้วย”

“โรงเรียนมิลส์งั้นรึ” ใบหน้าอาลีพลันแข็งทื่อจากความตื่นเต้นของเขา ความคิดมากมายวนเวียนอยู่ในหัวเขา แต่พวกมันกลับเป็นเรื่องของชื่อคนคนเดียว เจน!

‘นางจะไปที่นั่นหรือไม่ นางบอกอยู่เสมอว่านางเป็นหนึ่งในสามอันดับแรกของชั้นปี!’

‘ข้าควรแนะนำตัวหรือไม่นะ ข้าควรจะพูดกับนางอย่างไรดี’

อาลีคิดไปไกลขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเสียงกริ่งดังขึ้น เป็นการประกาศว่าชั้นเรียน ‘พื้นฐานอาร์คานา’ เริ่มขึ้นแล้ว

รอยยิ้มของไบรอันเลือนหายไป เขากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “วันนี้เราจะเน้นไปที่เรื่องกรอบแนวคิดพื้นฐานในขอบเขตของโลกจุลภาค”

มันมิใช่การตีความลงรายละเอียด เพียงแต่ต้องการให้นักเรียนรู้และเข้าใจแนวคิดพื้นฐานเท่านั้น

“นับแต่ที่ท่านอีวานส์ค้นพบอิเล็กตรอนและเปิดประตูสู่โลกจุลภาค เราก็ได้ค้นพบอนุภาคพื้นฐานที่มีอยู่จนถึงทุกวันนี้ ได้แก่โปรตอน นิวตรอน อิเล็กตรอน และโฟตอน…โปรตอน นิวตรอน และโฟตอนนั้นไม่สามารถแบ่งแยกย่อยได้อีกแล้วและเป็นโครงสร้างระดับพื้นฐานที่สุดของทุกสสาร…อีกอย่าง มันไม่ควรจะมีอนุภาคพื้นฐานอื่นๆ มากจนเกินไป รากฐานของสสารก็คือความเรียบง่าย…” ไบรอันสอนอย่างลื่นไหล

“โครงสร้างระดับพื้นฐานที่สุดของทุกสสาร…โครงสร้างระดับพื้นฐานที่สุดของทุกสสาร…” อาลีจดโน้ตอย่างตั้งอกตั้งใจ

…………………………………….