เซี่ยฟางหวามิได้ตอบเซี่ยอวิ๋นจี้กลับ นางหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง ก่อนสั่งซื่อฮว่าให้เหยี่ยวนำไปส่งถึงเซี่ยอวิ๋นหลาน
เซี่ยอวิ๋นจี้วิ่งตามเหยี่ยวออกไปนอกเรือนแล้วขึ้นไปบนหลังคา มองดูเหยี่ยวตัวนั้นบินมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือก่อนหายเข้าไปในกลีบเมฆ เขาลงจากยอดหลังคาด้วยความสงสัย เอ่ยถามเซี่ยฟางหวา “อวิ๋นหลานอยู่ที่ไหนกันแน่”
“ที่ลำน้ำสวินสุ่ย” เซี่ยฟางหวาตอบ
“ลำน้ำสวินสุ่ยที่ว่าอยู่ที่ใด” เซี่ยอวิ๋นจี้คิดจนสมองแทบแตก ทว่าก็มิเคยได้ยินชื่อสถานที่นี้
“ใต้ผาไน่เหอมีสันปันน้ำทางหนึ่ง เรียกอีกชื่อว่าลำน้ำสวินสุ่ย มันเชื่อมต่อกับภูผาวกวน ธาราคดเคี้ยว และป่าวงกต” เซี่ยฟางหวาบอกคร่าวๆ
เซี่ยอวิ๋นจี้เกาศีรษะ ไตร่ตรองเป็นนานก่อนโพล่งขึ้น “ข้าเข้าใจแล้ว บริเวณทางเข้าเชื่อมต่อกับภูผาวกวน ธาราคดเคี้ยว และป่าวงกต หากเข้าไปตามร่องน้ำระหว่างภูเขาก็จะพบลำน้ำสวินสุ่ย”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
เซี่ยอวิ๋นจี้กะพริบตาปริบ กะพริบแล้วกะพริบอีก ก่อนถามเสียงเบา “ฉินเจิงกับอวิ๋นหลานอยู่ด้วยกันหรือ”
“หากท่านเบื่อที่จะอยู่ที่นี่ อยากไปหาพี่อวิ๋นหลานก็ไม่ต้องพูดมากความขนาดนั้น อยากไปก็ไปเถอะ แต่หากไม่อยากไปก็อย่าโหวกเหวกโวยวายต่อหน้าข้าอีก มิฉะนั้นข้าจะให้คนนำท่านกลับไปส่งที่เป่ยฉี” เซี่ยฟางหวามีใบหน้าเรียบเฉย
“นี่เจ้ารังเกียจพี่ใช่ไหม” เซี่ยอวิ๋นจี้ถลึงตาใส่ทันที
“นกแก้วที่เลี้ยงในเรือนหลังนี้ยังว่าง่ายกว่าท่านเสียอีก มันรู้ว่าควรพูดหรือไม่ควรพูดยามใด ท่านกลับเอาแต่โหวกเหวกโวยวายตั้งแต่ได้พบข้า” เซี่ยฟางหวายกมือไล่เขา
เซี่ยอวิ๋นจี้กระแอมขึ้น ก่อนเอื้อมมือดีดหน้าผากเซี่ยฟางหวา กล่าวด้วยความไม่พอใจ “เจ้ามันเด็กใจดำ พี่กลับมามิใช่เพราะเป็นห่วงเจ้าหรือ เจ้ากลับไม่ซาบซึ้งใจ ทั้งรำคาญที่ข้าโวยวาย ย่อมได้ เช่นนั้นข้าไปหาอวิ๋นหลานแล้วกัน เจ้าอย่าคิดถึงข้าล่ะ”
“ฝากถ่ายทอดข้อความแทนข้าด้วย” เซี่ยฟางหวาบอก
“เมื่อครู่เจ้าส่งจดหมายให้อวิ๋นหลาน ยังมีเรื่องใดมิได้บอกในจดหมายอีก” เซี่ยอวิ๋นจี้ชะงัก
“มิใช่บอกพี่อวิ๋นหลาน” เซี่ยฟางหวาตอบ
เซี่ยอวิ๋นจี้กะพริบตาปริบ เมื่อนึกขึ้นได้แล้วลากเสียงยาว “อ้อ เจ้าอยากส่งข้อความบอกฉินเจิงนั่นเอง” พูดจบ เขาก็กล่าวด้วยความเต็มใจยิ่ง “บอกว่าอะไร รีบพูดมาเถอะ ความจริงข้าไม่ค่อยถูกชะตากับเจ้าฉินเจิงเท่าไรนัก หลงระเริงโอ้อวด ยโสโอหังอย่างยิ่ง ยามนี้ต้องเจอกับความทุกข์ยากโดยคนที่โหดร้ายกว่าดังคาด”
เซี่ยฟางหวาตวัดตามอง
“ข้ามิได้บอกว่าคนโหดร้ายคือเจ้า ข้าหมายถึงฉินอวี้ต่างหาก” เซี่ยอวิ๋นจี้รีบยกมือขึ้น
เซี่ยฟางหวาละสายตากลับมา กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ท่านบอกเขาว่า ที่ผ่านมากลายเป็นเพียงเถ้าถ่าน ความรักดั่งสายหมอก ขอให้เขาลืมมันไปเถิด วันข้างหน้าเขายังเป็นท่านอ๋องน้อยแห่งจวนอิงชินอ๋อง ข้ายังเป็นคุณหนูแห่งจวนจงหย่งโหว ทำเหมือนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ต่างฝ่ายต่างหาคู่ครองใหม่ได้”
เซี่ยอวิ๋นจี้ตกตะลึง
เซี่ยฟางหวาหันหน้ากลับไป กวักมือเรียกซื่อฮว่า “ประคองข้าไปที่เตียง”
ซื่อฮว่ารีบเข้ามาประคองเซี่ยฟางหวาขึ้นเตียง ก่อนนำหมอนอิงมารองให้นางเอนกายพิงหัวเตียง
เซี่ยอวิ๋นจี้ตะลึงพักหนึ่งก่อนเดินตามมาที่หน้าเตียง มองนางแล้วเอ่ยขึ้น “บอกแบบนี้จริงหรือ”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
“หากข้าพูดแบบนี้ต่อหน้าฉินเจิง เขาจะไม่บันดาลโทสะสังหารข้ารึ” เซี่ยอวิ๋นจี้เกาศีรษะ
“ท่านกลัวรึ” เซี่ยฟางหวาเลิกคิ้วมอง
เซี่ยอวิ๋นจี้ยืดอกขึ้นทันที “ข้าไม่กลัวอยู่แล้ว” พูดจบ เขาก็เดินไปเดินมาหน้าเตียงสองก้าว ก่อนกล่าวขึ้นอย่างทนไม่ไหว “เจ้าบอกแบบนี้ออกจะใจร้ายไปหน่อยหรือไม่”
เซี่ยฟางหวาเงียบ
เซี่ยอวิ๋นจี้เดินไปเดินมาหน้าเตียงอีกครั้ง “เจ้าฉินเจิงคนนี้แม้ไม่มีข้อดี แต่…”
“ท่านจะไปหรือไม่ไป ถ้าไม่ไปก็ช่างมันเถอะ” เซี่ยฟางหวาเอ่ยขัด
“ได้ ได้ ข้าไป ไปก็ได้” เซี่ยอวิ๋นจี้หยุดพูดก่อนหันหลังเดินออกไปข้างนอก เมื่อเดินไปถึงหน้าประตูก็ทำหน้าสลด “ข้าไปลำน้ำสวินสุ่ยเพราะความใคร่รู้ อยากไปสำรวจดูและเที่ยวเล่นสักครั้ง แต่…เจ้าฝากข้าไปถ่ายทอดข้อความเช่นนี้ก็รู้สึกกดดันขึ้นมา หาก…หากฉินเจิงบันดาลโทสะสังหารข้าขึ้นมาจะทำเช่นไร พี่รับมือเขาไม่ไหวหรอก”
“ท่านวางใจเถอะ พี่อวิ๋นหลานก็อยู่ด้วย ไม่ปล่อยให้เขาฆ่าท่านหรอก” เซี่ยฟางหวากล่าว
“อวิ๋นหลานร้ายกาจมากหรือ” ขนตาของเซี่ยอวิ๋นจี้ไหวระริก ทันใดนั้นก็กระตือรือร้นขึ้นมา “ปกป้องข้าได้จริงหรือ ฉินเจิงมิใช่คู่ต่อสู้เขานี่”
“พี่อวิ๋นหลานมิใช่ผู้สืบทอดจวนแหล่งธัญพืช เรื่องนี้ท่านควรรู้ไว้” เซี่ยฟางหวาเห็นเซี่ยอวิ๋นจี้พยักหน้าจึงกล่าวเพิ่มเติม “เขาเป็นทายาทเผ่าภูตผีตัวจริง”
เซี่ยอวิ๋นจี้เข้าใจทุกสิ่งทันที “เข้าใจแล้ว เจ้าจะบอกว่าเขาใช้วิชาภูตผีได้ด้วยเช่นกัน” พูดจบ เขาก็ยืดหน้าอกขึ้นทันที “มิน่าเขาถึงไม่กลัวฉินเจิง เอาล่ะ เช่นนั้นข้าไปแล้ว” พูดจบก็กระโดดหายออกไปจากเรือน
“มิน่าเขาถึงไม่อยากกลับไปสืบทอดราชบัลลังก์ ตอนนี้ทั้งกายมีแต่ความผ่อนคลาย นึกจะไปก็ไป ไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ ไม่ถูกกฎเกณฑ์ตีกรอบไว้ น่าอิจฉาโดยแท้” เหยียนเฉินมองเซี่ยอวิ๋นจี้จากไป แม้แต่อาภรณ์บนกายก็ยังไม่ยอมเปลี่ยนจึงทอดถอนใจขึ้นมาเล็กน้อย
“สมัยที่ท่านอาจวนโรงเก็บเกลือนำพี่อวิ๋นจี้กลับมายังตระกูลเซี่ย ท่านปู่เคยทอดถอนใจว่าท่านป้ามีนิสัยกระตือรือร้นเป็นทุนเดิม ทว่ากลับต้องยืนหยัดในวังหลวงแห่งเป่ยฉี หลังกำแพงวังเมื่อเข้าไปอยู่แล้วก็ต้องอยู่ตลอดชีวิต แม้มีฐานะสูงศักดิ์มากด้วยเกียรติยศ สุดท้ายก็กลบฝังนิสัยเดิมจนไร้ความสนุกสนาน จึงไม่อยากให้พี่อวิ๋นจี้ต้องเดินตามรอยนาง ถึงแม้เขาเป็นโอรสของฮ่องเต้เป่ยฉีกับท่านป้า แต่ก็อยากให้ใช้ชีวิตอย่างที่อยากเป็นในภายภาคหน้า” เซี่ยฟางหวากล่าว “พี่อวิ๋นจี้ใช้ชีวิตสบายๆ เช่นนี้ ข้าเองก็อิจฉานัก”
“บางคนถึงอิจฉาไปก็มิอาจได้มา” เหยียนเฉินกล่าว
“มิผิด อิจฉาไปก็มิอาจได้มา” เซี่ยฟางหวายิ้มแล้วบอกเหยียนเฉิน “เจ้าไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนข้าหรอก หลายวันนี้คงเหนื่อยมากแล้ว รีบไปพักผ่อนเถอะ”
เหยียนเฉินพยักหน้า ก่อนออกจากห้องกลับไปที่ห้องตนเอง
ซื่อฮว่าเห็นเซี่ยอวิ๋นจี้และเหยียนเฉินทยอยกลับไป นางจึงเดินมาที่หน้าเตียงแล้วถามเซี่ยฟางหวาเสียงเบา “คุณหนู ท่านจะนอนพักผ่อนหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่ต้อง ข้าจะนั่งก่อนสักครู่” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า
“เช่นนั้นบ่าวจะอยู่เป็นเพื่อนท่าน” ซื่อฮว่ายกม้านั่งตัวเตี้ยมานั่งข้างเตียง
“หลายวันนี้พวกเจ้าก็เหนื่อยแล้วเช่นกัน ไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนข้าหรอก” เซี่ยฟางหวาหลุดยิ้ม
“ครั้งก่อนท่านทิ้งพวกเราออกไปเพียงลำพัง พวกเราตกใจแทบแย่ คุณหนู ต่อไปท่านอย่าออกไปเสี่ยงอันตรายเพียงลำพังเช่นนี้อีกเลยเจ้าค่ะ หากท่านทำแบบนี้อีก แสดงว่าพวกเราแปดคนไร้ประโยชน์ ควรปาดคอไถ่โทษต่อหน้าท่านโหว” ซื่อฮว่าส่ายหน้า
“ท่านพี่รู้จักนิสัยข้าดี ไม่ตำหนิพวกเจ้าหรอก ไถ่โทษอันใดกัน หากข้าคิดจะออกไปคนเดียวแล้วใครก็ห้ามข้ามิได้” เซี่ยฟางหวายิ้มขำ
“ถึงแบบนั้นก็มิได้เจ้าค่ะ อันตรายเกินไปแล้ว ถึงแม้พวกบ่าวไร้ประโยชน์ แต่ในช่วงเวลาสำคัญก็เป็นโล่รับลูกธนูให้ท่านได้” ซื่อฮว่าส่ายหน้า
เซี่ยฟางหวาส่ายหน้าอย่างจนใจทั้งยิ้มขำ “ไม่ต้องให้พวกเจ้าเป็นโล่รับลูกธนูหรอก”
“หลายวันก่อน ท่านหญิงอยู่บนกำแพงเมือง พวกผิ่นจู๋สี่คนเพราะปกป้องท่านหญิงได้ไม่ดีพอ แม้ท่านโหวมิได้ลงโทษพวกนาง แต่พวกนางก็ลงโทษตนเองแล้ว ทุกวันนี้ฝึกวิทยายุทธ์เองทุกคืน” ซื่อฮว่ากล่าวเสียงเบา
“พวกเจ้าแปดคนเดิมมิได้ใช้วิทยายุทธ์เป็นการตัดสินชี้ขาด หากแต่ใช้ความถนัดในแต่ละด้านวิเคราะห์หาจุดแข็งจุดอ่อน วิทยายุทธ์จะปล่อยให้ขึ้นสนิมมิได้ก็จริง แต่ก็ไม่จำเป็นต้องฝึกเกินพอดีจนส่งผลในทางกลับกัน ละทิ้งความเชี่ยวชาญดั้งเดิมไป” เซี่ยฟางหวากล่าว “เจ้าไปเถอะ ข้าไม่หนีไปเพียงลำพังแล้ว เจ้าไปบอกพวกผิ่นจู๋ด้วยว่าไม่ต้องเข้มงวดกับตนเองมากเกินไปนัก”
ซื่อฮว่าได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้า “ท่านรับปากบ่าวแล้ว ถือว่าเป็นสัจจะวาจา อย่าได้ออกไปเพียงลำพังอีกนะเจ้าคะ”
“ได้ ข้ารับปากเจ้า” เซี่ยฟางหวายิ้ม “สภาพข้าตอนนี้จะออกไปไหนได้เล่า”
ซื่อฮว่าพอใจแล้วก็ลุกขึ้นออกไปจากห้อง พร้อมปิดประตูให้นางแผ่วเบา
เมื่อภายในห้องเหลือเซี่ยฟางหวาเพียงลำพัง นางก็ละสายตากลับมา นั่งพิงหัวเตียงอย่างนิ่งสงบ แสงตะวันยามบ่ายแก่ๆ ลอดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง พร้อมด้วยจักจั่นส่งเสียงร้อง
นางคิดในใจ ฤดูร้อนมาถึงโดยไม่รู้ตัว
ฤดูหนาวปีก่อนนางกลับมาจากม่อเป่ย ยามนี้เพิ่งผ่านไปเพียงครึ่งปีเท่านั้น ทว่ากลับเกิดเรื่องขึ้นมากมายขนาดนี้
อีกครึ่งปีให้หลังเกรงว่าจะหนักข้อกว่าเก่า