บทที่ 2449 กองหนุนที่ทรงพลัง 4 / บทที่ 2450 กองหนุนที่ทรงพลัง 5

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 2449 กองหนุนที่ทรงพลัง 4

ผู้มาคือบุรุษคนหนึ่งในชุดขาวที่แผ่วพลิ้ว เรือนกายสูงใหญ่องอาจยิ่ง บนหน้าสวมหน้ากากไว้ เผยเพียงดวงตาที่ลุ่มลึกดุจท้องสมุทร เขายืนอยู่บนหลังอาชาสวรรค์ตัวหนึ่ง สองปีกของอาชาสวรรค์คลี่กางกระพือเบาๆ อาภรณ์ขาวของเขาพลิ้วเหินดุจเมฆา

เมื่ออยู่ท่ามกลางอาภรณ์ขาวที่พลิ้วไหวนั้นราวกับมีแท่นบงกชล่องลอยไปตามสายลม บนร่างคนผู้นี้คล้ายมีแสงมงคลชั้นหนึ่งปกคลุมอยู่รางๆ ดั่งเทวาลงสู่โลกา ทำให้จิตใจคนสั่นไหว

มหาเทพ!

ถึงแม้คนผู้นี้จะสวมหน้ากากไว้ แต่ชุดขาวอันเป็นเอกลักษณ์ของเขานั้นไม่ผิดแน่!

คนที่สวมชุดขาวมีอยู่มากมาย แต่ชุดขาวของเสินจิ่วหลีกลับไม่มีคนใดเทียบเคียงได้ เนื่องจากใช้ไหมเงินที่เลิศล้ำที่สุดของดินแดนเบื้องบนมาตัดเย็บ ปักลวดลายแท่นบงกชที่ซับซ้อนเอาไว้ บนโลกนี้ไม่มีช่างตัดเย็บคนไหนสามารถลอกเลียนแบบได้

ถึงแม้ตอนอยู่ดินแดนเบื้องบนอวิ๋นเยียนหลีจะเคยเห็นมหาเทพองค์นี้จากที่ไกลๆ เพียงแวบเดียว แต่ก็ทิ้งภาพจำอันลึกล้ำยิ่งเอาไว้!

ดังนั้นทันทีที่คนผู้นี้ปรากฏตัวขึ้น เขาจึงจดจำอีกฝ่ายได้ในทันใด!

จิตใจเขาสั่นไหว ใบหน้าหล่อเหลาเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวซีด นัยน์ตาโชนแสงเล็กน้อย

คนผู้นี้กับภรรยาของเขาคือตัวการใหญ่ที่ทำลายตระกูลอวิ๋นของเขา เขาชิงชังคนผู้นี้เข้ากระดูกดำ!

แต่ว่า เขาก็มีความหวั่นเกรงในตัวคนผู้นี้จนเข้ากระดูกเช่นกัน…

เมื่อเห็นคนผู้นี้ปรากฏตัวขึ้นที่นี่อย่างกะทันหัน เขาตกใจอย่างยิ่ง สองขาอ่อนแรงอย่างไม่อาจควบคุมได้…

คนผู้นี้เป็นยอดคนอับดับหนึ่งของสามภพ วรยุทธ์ลึกล้ำไม่อาจหยั่งได้!

ถึงแม้ตัวเขาในตอนนี้จะขัดเกลาลับคมมาแล้วแล้ว แต่อวิ๋นเยียนหลีก็ยังคงหวาดหวั่นอย่างยิ่ง ไหนเลยจะกล้าลงผลีผลามบุ่มบ่าม?!

องค์มหาเทพผู้นี้ไม่เคยเห็นผู้อื่นอยู่ในสายตา กล่าวอีกอย่างคือนอกจากครอบครัวของเขาแล้ว เขาก็ไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตาทั้งนั้น

สายตาของมหาเทพผู้นี้หันเหไปที่ขลุ่ยในมือกู้ซีจิ่วแวบหนึ่ง เสี้ยวความประหลาดใจวาบผ่านนัยน์ตา

“เจ้าเป็นผู้บรรเลงบทเพลงเมื่อครู่หรือ?”

น้ำเสียงเย็นกระจ่างปานน้ำพุไหลริน

กู้ซีจิ่วประสานมือให้มหาเทพท่านนี้

“ใช่แล้ว ทำให้องค์มหาเทพขบขันเสียแล้ว”

สายตาของมหาเทพหันเหไปที่ขลุ่ยเลานั้นอีกครั้ง

“เนี่ยนโม่ล่ะ?”

ชัดเจนนัก เขาจำขลุ่ยเลานี้ได้

อันที่จริงกู้ซีจิ่วรู้แล้วว่าตี้ฝูอีให้เธอเป่าขลุ่ยเลานี้เพื่อเรียกกำลังเสริม ในใจยังคงฉงนอยู่บ้างว่าผู้ใดที่จะถูกเรียกตัวมาเพื่อข่มขวัญอวิ๋นเยียนหลี

ไม่คาดคิดเลยว่าจะเรียกองค์มหาเทพผู้นี้มา! ดังนั้นจึงผงะไปแวบหนึ่งเช่นกัน

ขณะที่เธอกำลังจะเอ่ยปาก ม่านรถด้านหลังพลันแหวกเปิด ตี้ฝูอีเยื้องย่างออกมา ค้อมกายให้เสินจิ่วหลีคราหนึ่ง

“ท่านพ่อ ไม่นึกเลยว่าท่านจะมาถึงแดนอสุราได้”

เมื่อเสินจิ่วหลีเห็นบุตรชาย ไอเยียบเย็นปานหิมะเหมันต์บนร่างก็ลดลงไม่น้อยเลย น้ำเสียงก็แฝงความอบอุ่นไว้นิดๆ

“ข้ามาดูเจ้า ดูเหมือนตัวแสบอย่างเจ้าจะตกที่นั่งลำบากอยู่บ้างนี่…”

ในสุ้มเสียงค่อนข้างแฝงสำเนียงยินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่นอยู่รางๆ

นี่เป็นท่าทางปกติตอนที่พวกเขาพ่อลูกอยู่ด้วยกัน

ตี้ฝูอีนวดหว่างคิ้วเบาๆ

“ท่านพ่อ!”

ในที่สุดสายตาของเสินจิ่วหลีก็ร่อนลงบนร่างอวิ๋นเยียนหลีแล้ว เขาไม่ได้พูดอะไร ทว่าหนังศีรษะอวิ๋นเยียนหลีกลับชาหนึบ เขากัดฟันไว้ถึงแม้ในใจจะชิงชังสักเพียงใด ยามนี้ก็ไม่กล้าเผยออกมาอยู่ดี ค้อมตัวทำความเคารพตามสัญชาตญาณ

“คำนับองค์มหาเทพ”

การคำนับนี้ของเขา ย่อมทำให้ลูกน้องเหล่านั้นของเขาพากันคารวะตามด้วย

เสินจิ่วหลีเพียงพยักหน้านิดๆ ไม่สนใจพวกเขาอีก สายตากลับไปอยู่ที่ร่างของตี้ฝูอีอีกครั้ง

“เนี่ยนโม่ ดูเหมือนร่างกายเจ้าจะผิดปกติอยู่บ้าง ไปเถอะ พ่อจะจัดการให้เจ้าเอง”

เสินจิ่วหลีไม่พูดมาก และคร้านจะไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบ พลันโบกมือ ด้านหลังเขาปรากฏรถม้าสีฟ้าอ่อนคันหนึ่งขึ้นลักษณะของรถม้าคันนี้ดูเรียบง่ายยิ่งนัก แต่รายละเอียดทุกจุดกลับแสดงความหรูหราแบบน้อยแต่มากเอาไว้ เข้ากับรสนิยมของเสินจิ่วหลียิ่งนัก

ชัดเจนยิ่ง นี่คือเขาต้องการพาบุตรชายจากไป

ตี้ฝูอีย่อมไม่ปฏิเสธ เขายื่นมือไปหากู้ซีจิ่ว

“ซีจิ่ว พวกเราไปกันเถอะ”

————————————————————————————-

บทที่ 2450 กองหนุนที่ทรงพลัง 5

เมฆาขาวลอยอ้อยอิ่ง อาทิตย์อัสดงไกลลิบ

รถม้าคันนั้นดั้นผ่านเมฆาไปแล้ว ลูกน้องสองคนนั้นของตี้ฝูอีย่อมจากไปพร้อมกันด้วย

อวิ๋นเยียนหลีคุกเข่าอยู่หน้ารถม้า มองรถม้าที่จากไปไกลแล้วคันนั้น สีหน้าเขียวคล้ำ ทว่าไม่ได้เอ่ยขัดขวางเลยสักประโยค…

พลาดโอกาสแล้ว!

ความลังเลไม่เด็ดขาดของเขาทำให้เขาพลาดโอกาสไป!

เหตุใดมหาเทพผู้นี้ถึงมาที่แดนอสุราด้วย?

เรื่องนี้ยังคงอยู่เหนือความคาดหมายของอวิ๋นเยียนหลีจริงๆ ทำให้ตัวเขาที่สุขุมเยือกเย็นมาตลอดกระสับกระส่ายได้…

เขารู้ว่าในอดีตเนิ่นนานมากแล้วเสินจิ่วหลีเคยมาที่แดนอสุราแห่งนี้ ดังนั้นถึงแม้การมาในครั้งนี้ของเสินจิ่วหลีจะทำให้เขาตกใจยิ่งนัก ทว่าไม่ได้นึกสงสัยอันใด

ฝ่ามือเขาเย็นเฉียบ กำมือแน่น กำจนปลายนิ้วล้วนซีดขาวไปหมด

“หยุดทำไม?”

จู๋ตู๋ชิงผู้รู้สึกตัวช้า มุดออกมาจากรถม้าแล้ว ดวงตาเขาดูปรือปรอยราวกับเพิ่งตื่นนอน ขมวดคิ้วมองท้องฟ้า

“เมืองเล่อกั่วยังอยู่อีกไกลไหม? ฟ้ากำลังจะมืดแล้วนี่ อย่าบอกนะว่าต้องตากฝนอยู่ข้างนอก!”

อวิ๋นเยียนหลีเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ในใจมีเพลิงโทสะสุมอยู่ ไม่มีอารมณ์มารับรองคุณชายไผ่ขจีผู้นี้

ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งไปคุยกับคุณชายไผ่ขจีผู้นี้มา คิดจะหลอกถามสักหน่อย ผลคือคุณชายไผ่ขจีผู้นี้ราวกับเข้าฌานอยู่ไม่สนใจเขาเลยสักนิด เขาอดทนพร่ำพูดอยู่ตรงนั้นพักใหญ่ ได้มาเพียงคำวิจารณ์คำเดียวจากคุณชายไผ่ขจีผู้นี้

“โง่!”

ทำให้อวิ๋เยียนหลีขุ่นเคือง…

“พวกเขาไปแล้ว เจ้ายังจะตามเจ้าเมืองอย่างข้ากลับเมืองเล่อกั่วอยู่ไหม?”

อวิ๋นเยียนหลีเปลี่ยนเป็นแสดงท่าทีไล่แขกแล้ว

จู๋ตู๋ชิงเลิกคิ้วสูงด้วยความประหลาดใจ

“หา? พวกเขาไปแล้ว? ตอนไหนกัน? ทำไมถึงไม่เรียกข้าล่ะ?!”

สำเนียงวาจาของเขาราวกับหมาน้อยที่ถูกทิ้ง

อวิ๋นเยียนหลียินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่น ยิ้มหยัน

“ทำไมต้องเรียกเจ้าล่ะ? เจ้าเป็นอะไรกับพวกเขาหรือไง?”

จู๋ตู๋ชิงโบกพัดขนห่านบ่นพึมพำอย่างมีน้ำโหนิดๆ

“ซีจิ่วคืออาจารย์ของข้า! เป็นคนใกล้ชิดสนิทสนมที่สุด! ไม่น่าเชื่อว่าพวกเขาจะจากไปโดยไม่เรียกข้า แต่กลับพาองครักษ์จินกับองครักษ์หวาไป! มีอย่างที่ไหนกัน! เกินไปแล้วจริงๆ! พวกเขาไปกับใคร? ทำไมอยู่ดีๆ ก็ไปล่ะ? มิใช่เจ้าบอกว่าจะพาพวกเราไปสังสรรค์ที่เมืองเล่อกั่วหรอกหรือ? ทำไมถึงปล่อยพวกเขาจากไปง่ายๆ แบบนี้ล่ะ?”

เขาพ่นออกรัวๆ ดุจปืนกล มีสาระสำคัญไม่น้อยเลย อวิ๋นเยียนหลีกำลังมึนงงอยู่บ้าง จับจุดได้เพียงคำถามไม่กี่ประโยคหลัง ยิ้มเย้ยหยัน

“บิดาของคุณชายฝูอีมาแล้ว ต้องการพาพวกเขาจากไป ข้าจะห้ามได้อย่างไรเล่า?”

เขาไม่กล้าแม้แต่จะผายลมเสียงดังเลยด้วยซ้ำ!

พัดของจู๋ตู๋ชิงพลันชะงักไป

“บิดาของเขา? คู่มหาเทพสามีภรรยา?”

อวิ๋นเยียนหลีร้องเฮอะคราหนึ่ง

“แค่มหาเทพเท่านั้น ภรรยาของเขาไม่ได้มาด้วย”

จู๋ตู๋ชิงเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ

“แปลก พวกเขาสามีภรรยาแทบไม่เคยห่างกันเลย ตัวติดกันตลอด ทำไมครั้งนี้จู่ๆ ถึงแยกกันเล่า?”

อวิ๋นเยียนหลีแข็งทื่อไปทันที!

ใช่แล้ว เขาก็เคยได้ยินเช่นกันว่าคู่มหาเทพสามีภรรยาไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด ครั้งนี้กลับมาเพียงคนเดียว…

“บางทีภรรยาเขาอาจจัดการธุระอื่นอยู่ จึงแยกกันชั่วขณะก็ได้”

อวิ๋นเยียนหลีเอ่ยกับตัวเอง

จู๋ตู๋ชิงไม่พูดอะไร ตบสะโพกลาตัวนั้นเบาๆ

“พวกเราก็ไปกันเถอะ”

ลาตัวนั้นโมโหนัก สะโพกพยัคฆ์ไม่อาจแตะต้องได้ สะโพกของลาอย่างมันก็ตบไม่ได้เช่นกัน!

มันฟาดหางอย่างรุนแรง แทบจะฟาดใส่หน้าของจู๋ตู๋ชิงแล้ว! จากนั้นก็กู่ร้อง ลากจู๋ตู๋ชิงราวกับหมาบ้าวิ่งจากไปดุจควันสายหนึ่ง

อวิ๋นเยียนหลีนิ่งงัน