ตอนพิเศษ 1-2 สวีโย่ว (ต้น)

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

ความรักใคร่เอ็นดูเช่นนี้ขวางหูขวางตาผู้หญิงคนนั้น พูดตามตรง การปล่อยให้เขามีอายุถึงสิบห้าปี หญิงผู้นั้นก็ร้อนอกร้อนใจแทบแย่ นางวางยาใส่ร้ายเขาต่อหน้าเสด็จพ่อ ทำให้เสด็จพ่อยิ่งรังเกียจหมางเมินเขาไปกันใหญ่ ที่จริง หญิงผู้นั้นทำไปเพียงเพื่อตำแหน่งซื่อจื่อเท่านั้น

 

 

เฮอะ เฮอะ ตำแหน่งซื่อจื่อนั้นไม่อยู่ในสายตาของเขาเลย อีกอย่าง สำหรับเขานั้นจวนจิ้นอ๋องก็เป็นเพียงสถานที่แปลกหน้าที่น่ารังเกียจเท่านั้น เขาไม่เห็นอยากได้

 

 

หลังจากที่โดนผู้หญิงคนนั้นยั่วยุ เสด็จพ่อจึงดุด่าเขาโดยไม่คิด เพื่อความสงบ เขายอมยกตำแหน่งซื่อจื่อให้กับน้องชายคนรองสวีเยี่ย บุตรชายคนโตของผู้หญิงคนนั้นด้วยตัวเอง ที่จริงแล้วน้องรองเองก็มีอายุน้อยกว่าเขาเพียงไม่กี่เดือน

 

 

ผู้หญิงคนนั้นต้องการที่จะแสดงตัวว่าเป็นผู้มีคุณธรรมสูงส่ง จึงเริ่มที่จะเข้ามาวุ่นวายในเรื่องการแต่งงานของเขา เตรียมงานหมั้นหมายในเขาทั้งหมดสามครั้งด้วยกัน แสดงต่อหน้าดูงดงามไม่มีด่างพร้อย แต่ความจริงต้องการลดทอนอำนาจของเขาให้อ่อนลง

 

 

เป็นเพราะนางไม่มั่นใจกลัวว่าเขาจะให้กำเนิดทายาท ดังนั้นว่าที่เจ้าสาวของเขาทั้งสามล้วนแล้วแต่เกิดปัญหา คนแรก ระหว่างทางไปไหว้พระม้าเกิดตกใจจนห้อตกหน้าผา คนที่สอง ทะเลาะกับน้องสาวที่เกิดจากอนุภรรยาจนถูกจับโยนลงบ่อน้ำเสียชีวิต คนที่สาม ถูกจับได้ว่าคบหากับผู้ชายจึงแขวนคอตายด้วยความอับอาย

 

 

ดังนั้นเขาจึงได้รับฉายาฉาวโฉ่ไปทั่วว่าเป็นผู้ชายกินเมีย ผู้คนพากันหลีกเลี่ยงเขาเหมือนตัวโชคร้าย

 

 

สวีโย่วไม่สนใจเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย กลับรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก เขาไม่ได้อยากแต่งงานเลย และไม่คิดจะมีทายาทด้วย เพราะเขาจะตายเมื่อไรก็ไม่รู้ ไม่อยากจะทำให้หญิงสาวบ้านไหนต้องเจ็บปวด เขาชินกับการอยู่คนเดียว และไม่ชอบที่จะมีคนมากมายมาล้อมหน้าล้อมหลัง

 

 

แต่ความคิดเช่นนี้ของเขาได้เปลี่ยนไปเมื่อพบสาวน้อยที่ชื่อเสิ่นเวย

 

 

ตอนนั้นเขาอายุยี่สิบสองปี เขายังคงเป็นคุณชายใหญ่ผู้อ่อนแอแห่งจวนจิ้นอ๋อง ใช้เวลาส่วนใหญ่ในหนึ่งปีรักษาตัวบนภูเขา แต่ในความจริงแล้วเขากำลังซ่อนตัวเพื่อทำภาระกิจแทนฝ่าบาทอยู่

 

 

ตอนนั้นเป็นเดือนเจ็ด จวนของเสด็จป้าองค์หญิงใหญ่ได้จัดงานเลี้ยงรับรอง เขาอยู่ที่เมืองหลวงพอดี อีกอย่าง เขามีธุระต้องไปหาน้องชิงอวี่พอดี จึงไปยังจวนองค์หญิงใหญ่เป็นครั้งแรก

 

 

ที่จวนองค์หญิงใหญ่เป็นครั้งแรกที่พบกับเสิ่นเวย ตอนนั้นเสิ่นเวยกำลังต่อปากต่อคำกับกลุ่มของสตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวง แต่เขากำลังยืนอยู่ที่ชั้นบนสุดของหอสูง

 

 

ฝีปากของหญิงคนนั้นช่างเก่งกล้านัก คนๆ เดียวกลับต่อปากต่อคำกับกลุ่มสตรีสูงศักดิ์โดยไม่เพลี้ยงพล้ำ ทั้งยังใช้วิธีหลาดหลาย ทั้งเยาะเย้ยถากถางและขู่ให้หวาดกลัว สตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวงไหนเลยจะหาวิธีมาสู้นางได้

 

 

เขาที่มองอยู่ด้านบนนั้นมองดูด้วยความสนุก แต่แม่นางผู้นั้นช่างกล้าพูดนัก ปกติแล้วคุณหนูต้องสงบเสงี่ยมไม่ใช่หรือ นางเอาแต่เปิดปากพูดเรื่องแต่งเข้าแต่งออก อนุภรรยาหรือเมียน้อย แล้วยังชี้ให้เห็นว่าเหล่าสตรีสูงศักดิ์เหล่านี้ทำให้นางลำบากก็เป็นเพราะอิจฉาที่นางเป็นว่าที่ภรรยาของหย่งหนิงโหวซื่อจื่อ และยังบอกว่าหากนางมีความสามารถจริงก็ไปให้ถึงตัวของหย่งหนิงโหวให้ได้ซี ซ้ำนางยังมีน้ำใจอวยพรให้พวกนางโชคดี

 

 

เฮอะ เฮอะ ช่างเป็นหญิงสาวที่น่าสนใจนัก ดังนั้นเขาจึงจำนางเอาไว้ในใจ อ้อ ใช่แล้ว ตอนนั้นเขายังไม่รู้ว่าตัวนางชื่อเสิ่นเวย กลุ่มสตรีสูงศักดิ์ในตอนนั้นเรียกนางว่าเสิ่นซื่อ เจียงไป๋บอกว่านางเป็นคุณหนูสี่แห่งจวนจงอู่โหว เพิ่งกลับมาเมืองหลวงหลังจากไปรักษาอาการป่วยที่บ้านนอก แต่ที่เขาเห็นนั้น นางดูมีชีวิตชีวาเกินกว่าที่จะเป็นคนป่วย แต่เบื้องหลังเรื่องเหล่านี้เขาเองก็เข้าใจ คงเป็นเพราะแม่แท้ๆ ของเสิ่นซื่อไม่อยู่แล้ว ดังนั้นคงมีคนให้เหตุผลนี้รังแกนางนั่นเอง

 

 

ครั้งที่สองที่เจอกับเสิ่นเวยคือที่ภัตตาคาร นางพาสาวใช้มารับประทานในห้องอาหาร บรรดาสาวใช้ต่างพูดคุยกันเสียให้เอ็ด แต่นางกลับไม่ดุว่า ทั้งยังเล่นสนุกด้วยความรื่นเริง ยังพูดกับพวกนางด้วยว่า “พวกเจ้าซื้อหาอะไรได้เต็มที่ วางใจเถิด คุณหนูของเจ้าจะจ่ายเงินให้ คุณหนูของพวกเจ้ามีเงิน ไม่ต้องเกรงใจข้า เดี๋ยวพวกเรากินเสร็จแล้วตอนบ่ายก็ไปซื้อของต่อ ดูสิว่าใครจะซื้อได้มากที่สุด”

 

 

ตอนนั้นเขาอยู่ห้องข้างๆ น้ำเสียงใสเสนาะหูนั้นเพียงไม่นานเขาก็จำได้ ไม่รู้ว่าทำไม เมื่อได้ยินที่แม่นางคนนั้นพูด มุมปากของเขาก็ยกขึ้นโดยไม่รู้ตัว ในสมองปรากฏดวงตาแสนเฉลียวฉลาดผุดขึ้นมาหนึ่งคู่

 

 

ครั้งที่สามที่พบกับเสิ่นเวยนั้นอยู่นอกเมือง พูดตามตรง การพบหน้ากันในครั้งนี้ช่างน่าอึดอัดใจอยู่บ้าง เป็นเพราะแม่นางเสิ่นเวยผู้นี้นัดพบบุรุษ ตอนนั้นเขาไม่อาจก้าวเดินได้ จำต้องยื่นนิ่งอยู่กับที่

 

 

ไม่ได้เจตนาจะเสียมารยาทในการแอบฟัง แต่ไม่รู้ทำไม น้ำเสียงใสของแม่นางคนนั้นจึงดังเข้ามาในหูอย่างชัดเจน ฟังเพียงไม่กี่คำเขาก็ต้องขมวดคิ้ว นางถูกถอนหมั้นหรือ หรือจะพูดให้ถูกก็คือการแต่งงานของนางนั้นถูกน้องสาวที่เป็นลูกภรรยาเอกแย่งไป ชายหนุ่มที่นัดนางออกมาคือหย่งหนิงโหวซื่อจื่อ เป็นว่าที่สามีที่เคยหมั้นกับนางเอาไว้นั่นเอง

 

 

แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยสนใจเรื่องอะไรนักแต่เขาก็รู้ว่าหญิงสาวที่ถูกถอนหมั้นนั้นเจ็บปวดมาก โดยเฉพาะหย่งหนิงโหวซื่อจื่อผู้มีชื่อทรงคุณธรรม ทุกคนในเมืองหลวงต่างพากันแย่งชิงคุณชายแสนดีคนนี้ นางจะต้องเป็นทุกข์มากและยิ่งไม่ยินยอมด้วย หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องอยากพบเขาอยู่ร่ำไปแม้ว่าจะถอนหมั้นกันแล้วก็ตาม

 

 

วินาทีต่อมา สวีโย่วรู้ว่าตัวเองนั้นคิดผิดเสียแล้ว แม่นางผู้นั้นไม่มีทีท่าว่าจะเจ็บปวดทุกข์ใจแม้แต่น้อย ทั้งยังดุกว่าหย่งหนิงโหวซื่อจื่อเสียด้วยว่าห้ามส่งจดหมายมาหานางอีก อย่าทำให้นางต้องแปดเปื้อนไปด้วย

 

 

หย่งหนิงโหวซื่อจื่อคนนั้นดูท่าคงจะเลอะเลือนเสียแล้ว ถึงได้บอกว่าจะแต่งกับน้องสาวของนางให้เป็นภรรยาเอกแล้วแต่งนางเป็นภรรยารอง เหอๆ ช่างน่าหัวเราะนัก! ตอนนั้น ความประทับใจที่เขามีต่อคุณชายแสนดีของเมืองหลวงก็ลดฮวบลงไปถึงขีดสุด

 

 

ภรรยารองหรือ อย่างนั้นก็เท่ากับดูหมิ่นนางชัดๆ!

 

 

เป็นดังคาด แม่นางคนนั้นไม่ทำให้เขาผิดหวัง น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกถากถางไม่พอใจ “เว่ยจิ่นอวี้ เจ้าหน้า ใหญ่นักหรือ แต่งงานกับคุณหนูแห่งจวนจงอู่โหวคนเดียวไม่พอจะแต่งถึงสองเลยหรือไร เจ้าคิดจะเลือกคุณหนูแห่งจวนจงอู่โหวเหมือนเลือกซื้อหัวผักกาดข้างถนนหรืออย่างไร เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร แค่มีคนป้อยอเข้าหน่อยเจ้าก็ไม่รู้ที่ต่ำที่สูงแล้วหรือ กลับไปถามหย่งหนิงโหวพ่อของเจ้าซี รู้ไหมคำว่าถ่อมตนเขียนอย่างไร แม้แต่แม่ของเจ้าเองก็ไม่ต้องพูดถึงเลย นางเป็นหญิงโง่ไร้ความรู้! สำหรับข้าแล้ว เจ้าเป็นเพียงคนชั่วที่ตระบัดสัตย์ ว่าอย่างไร ข้าพูดถูกหรือไม่ ยังคิดที่จะแต่งข้าเป็นภรรยารอง ทำไมไม่ขึ้นสวรรค์เสียเลยเล่า เจ้าไม่ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับดวงตะวันเลยเล่า ตัวข้าเสิ่นเวยยอมแต่งกับชาวนายังดีกว่าแต่งกับเจ้าเป็นพันเท่า เว่ยจิ่นอวี้ ข้าจะบอกเจ้าไว้อย่าง เก็บความคิดสกปรกของเจ้าไปเสีย อย่ายั่วโมโหข้าอีก ไม่อย่างนั้นข้าจะทำให้เจ้าเสียใจที่เกิดมาบนโลกใบนี้ ไป ไสหัวไปไกลๆ ข้า ไม่เช่นนั้นข้าจะตีเจ้าทุกครั้งที่เห็นหน้าเชียว!”

 

 

เมื่อพูดจบนางก็ก้าวยาวๆ เดินนำสาวใช้ออกไป ท่าทีของนางเหมือนกำลังสลัดเอาของสกปรกออกจากกายไม่มีผิด สวีโย่วมองแผ่นหลังของนาง สายตาเต็มไปด้วยความชื่นชม

 

 

สวีโย่วจึงได้รู้ในครั้งนี้ว่านางชื่อเวย เสิ่นเวย ดอกหญ้าที่งดงาม เป็นชื่อที่เหมาะกับนางยิ่งนัก!

 

 

เจียงไป๋ตกตะลึงกับท่าทีเก่งกล้าของนาง ถึงกับร้องชื่นชมว่า “แม่นางที่แกร่งกล้าถึงเพียงนี้จะแต่งออกหรือ”

 

 

สวีโย่วกลับรู้สึกชอบใจนัก ให้ความรู้สึกสดใหม่ กล้าหาญ สดใส และยังชัดเจนอีกด้วย! หญิงสาวเช่นนี้ซีจึงจะเรียกว่าใช้ชีวิตอย่างแท้จริง ไม่ได้ทำให้ตัวเองต้องตกที่นั่งลำบากเพราะเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ทั้งยังกล้าหาญ และไม่ยอมให้ใครมาเอาเปรียบ ไม่ยอมให้ตัวเองต้องตกที่นั่งลำบาก

 

 

ใช่แล้ว เป็นเพราะเสด็จแม่ สวีโย่วจึงไม่มีความสนใจในหญิงสาวผู้อ่อนแอเลยแม้แต่น้อย ไม่เห็นหรือว่าเสด็จพ่อมีรักอื่น เรื่องยุ่งยากเพียงไร เสด็จแม่เอาแต่อยู่ในเรือนหลักนิ่งๆ จนผู้หญิงคนนั้นเข้ามาในจวนแล้วก็ปล่อยให้นางจัดการทุกอย่างมิใช่หรือ หากเสด็จแม่ยังอยู่ ตัวเขาจะมีสภาพเช่นนี้หรือ

 

 

เขากระทั่งคิดว่า หากเสด็จแม่ของเขาเหมือนเสิ่นเวยก็คงจะมีกว่านี้มาก!

 

 

ความจริงแล้ว หญิงสาวที่ทั้งงดงามและพิเศษกว่าคนอื่นได้ตกลงสู่กลางใจของเขาตั้งแต่ตอนนั้น เพียงแต่เขายังไม่รู้สึกก็เท่านั้น หากเขารู้ว่าเขาพึงใจหญิงคนนี้ เขาคงจะดึงนางเข้าสู่อ้อมกอดเสียแล้ว