ตอนที่ 588 การค้นพบของมู่อวิ๋น

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

มู่อวิ๋น หานปิ่งเซียน ฉินเฟินและอีกหลายคนล้วนนั่งอยู่ในห้องโถงของจวนจ้าวนครล่าฝัน สายตาของพวกเขาเหล่านี้ล้วนมองไปในทิศทางเดียวกันขณะตั้งตารอการมาถึงของแขกทั้งสอง

เมื่อฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือปรากฎตรงหน้า พวกเขาก็รีบลุกขึ้นพร้อมรอยยิ้มต้อนรับทันที

ฉินเฟินและฉินหยางอดเดินตรงไปที่หน้าประตูห้องโถงขณะมองฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือด้วยความตื่นเต้นดีใจไม่ได้

คราก่อนที่ได้พบกับฉินเทียน พวกเขาไม่ได้พบกับหลานสาวอย่างฉินอวี้โม่ซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกกังวลใจไม่น้อย หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่ได้อยู่ในดินแดนทางใต้นานนักและรีบเดินทางกลับมาที่นครล่าฝันเพื่อสืบข่าวเกี่ยวกับฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ

หลังจากที่กลับมาถึงที่นี่ พวกเขาก็ได้ทราบเรื่องราวเกี่ยวกับหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ เดิมทีพวกเขาวางแผนที่จะเดินทางไปหาทั้งสองด้วยตัวเอง ทว่าหลังจากทราบว่าทั้งสองจะมาเยือนที่นครล่าฝัน พวกเขาจึงตัดสินใจรอต้อนรับอยู่ที่นี่

“ท่านปู่ ท่านอารอง”

เมื่อพบฉินเฟินและฉินหยาง ฉินอวี้โม่ก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที ท่านปู่และอารองปฏิบัติและดูแลนางมาอย่างดีเสมอ แน่นอนว่าพวกเขาเป็นญาติที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับนาง

“มานี่เถอะ มานี่เร็วเข้า”

เมื่อเห็นว่าหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ปลอดภัยและมีความสุขดี ทั้งสองก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แม้ทราบว่าทั้งสองคนต้องเผชิญเรื่องเลวร้ายมามาก ทว่าในเมื่อคนหนุ่มสาวปรากฏตรงหน้าอย่างปลอดภัยดีเช่นนี้ ฉินเฟินและทุกคนต่างก็พอใจมากแล้ว

“ข้าคงทำให้ท่านปู่และท่านอาเป็นห่วง”

ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือโค้งคำนับผู้ใหญ่ทั้งสองด้วยความซาบซึ้งใจและรู้สึกผิดที่ทำให้พวกเขาเป็นกังวล

“ลุกขึ้นเถอะ เข้ามานั่งคุยกัน อย่ามัวแต่ยืนให้เมื่อยเลย”

ฉินเฟินและฉินหยางมองหน้ากันด้วยน้ำตาแห่งความสุขที่รื้นในดวงตาและใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มกว้าง

เวลานี้ฉินอี้เฉียงและฉินอี้เพ่ยก็เข้ามาทักทายฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเช่นกัน

ภายในห้องโถงนี้ มู่อวิ๋นนั่งอยู่บนบัลลังก์หลักพร้อมรอยยิ้มประดับบนใบหน้า และข้างหน้าเขาคือหานปิ่งเซียนซึ่งมีสีหน้าบ่งบอกถึงความโล่งใจและคลายกังวลเช่นกัน

แม้หานโม่ฉือมิใช่บุตรชายแท้ ๆ หานปิ่งเซียนก็รักเขาเหมือนเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเอง เมื่อได้พบหน้าบุตรที่ภาคภูมิใจในตอนนี้ เขาจึงมีความสุขและยินดีกับหานโม่ฉือจากใจจริง

หานโม่ฉือและฉินอวี้โม่มองหน้ากันก่อนโค้งคำนับอธิการมู่อวิ๋นพร้อมกล่าวทักทาย

“ท่านอธิการ ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา”

ทั้งสองกล่าวด้วยความตื้นตันและซาบซึ้งใจ หากมิใช่เพราะมู่อวิ๋น นครล่าฝันคงไม่พัฒนาจนรุ่งเรืองขึ้นมาเช่นนี้และบรรดาสหายของนางก็คงจะไม่แข็งแกร่งขึ้นกันอย่างถ้วนหน้า

“ฮ่า ๆ ๆ พวกเจ้าทุ่มเทพยายามมากกว่าข้าเสียอีก”

มู่อวิ๋นกล่าวพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ ขณะมองคนรุ่นเยาว์ทั้งสองด้วยความโล่งใจ ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือจัดเป็นศิษย์ที่ยอดเยี่ยมและน่าภาคภูมิใจที่สุดในโรงเรียนราชสำนักของเขา และความแข็งแกร่งของทั้งสองในตอนนี้ก็ถือว่าแกร่งกล้ามากพอที่จะสั่นคลอนทั่วทั้งดินแดนเทพมายาได้

ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือยิ้มตอบก่อนหันไปหาหานปิ่งเซียนซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

หานโม่ฉือจับมือบางของสตรีคนรักและคุกเข่าลงตรงหน้าบิดาบุญธรรม

“ท่านพ่อ” ทั้งสองกล่าวพร้อมกัน

หานปิ่งเซียนยืนขึ้นและช่วยประคองทั้งสองให้ลุกขึ้น

เขาทราบข่าวเรื่องการตบแต่งเข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินของทั้งสองแล้วและทราบเรื่องบุตรแฝดชายหญิงเช่นกัน เขารู้สึกเสียใจไม่น้อยที่ไม่ได้เข้าร่วมงานมงคลของทั้งสอง ทว่าเพียงได้เห็นความรักระหว่างทั้งสองที่ทุกคนรอบตัวสัมผัสได้อย่างชัดเจน เขาก็รู้สึกสบายใจยิ่งนัก

“หากพ่อแม่ของเจ้าได้มาเห็นเจ้าในตอนนี้ พวกเขาคงมีความสุขมาก”

ใบหน้าของหานปิ่งเซียนประดับด้วยรอยยิ้มกว้างขณะกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ

“เสี่ยวอวี้โม่ นี่คือสิ่งที่ข้าได้มาจากมารดาบุญธรรมของโม่ฉือซึ่งกล่าวว่าต้องการมอบให้ลูกสะใภ้ในอนาคต ตอนที่เจ้าทั้งสองแต่งงานกัน ข้าไม่มีโอกาสมอบให้ เวลานี้ได้พบกันแล้ว ในที่สุดข้าก็จะได้มอบให้เจ้าเสียที”

หานปิ่งเซียนหยิบสร้อยข้อมือเส้นงามออกมา นี่เป็นสิ่งที่ได้รับมาจากภรรยาคนแรกของเขาและถือว่าเป็นมารดาบุญธรรมของหานโม่ฉือเช่นกัน

หานปิ่งเซียนและภรรยาคนนั้นรักกันมาก ทว่าทั้งสองก็ไม่ได้มีทายาทสืบสกุล สำหรับพวกเขา หานโม่ฉือผู้นี้คือบุตรชายที่รักเสมือนบุตรในสายเลือด พวกเขาจึงต้องการมอบสร้อยข้อมือเส้นนี้ให้กับลูกสะใภ้ซึ่งเป็นภรรยาของหานโม่ฉือ

ฉินอวี้โม่รับสร้อยข้อมือมาและสวมมันทันทีก่อนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ท่านพ่อเจ้าคะ หากโม่ฉือและข้ากลับไปที่ดินแดนหวนหลิงในภายภาคหน้า เราทั้งสองจะไปกราบไหว้ท่านแม่อย่างแน่นอน”

ฉินอวี้โม่ก็เป็นสตรีเช่นนี้มาเสมอ นางจะจริงใจกับทุกคนที่จริงใจกับนาง

“ดีเลย ดีเลย”

หานปิ่งเซียนพยักศีรษะ ๆ อย่างพึงพอใจเมื่อได้ยินวาจาของลูกสะใภ้

“แล้วหลานทั้งสองของข้าล่ะ ?”

เมื่อนึกถึงหลานทั้งสองที่ไม่เคยพบหน้า หานปิ่งเซียนก็เอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มตื่นเต้นทันที เวลานี้ฉินเฟินและฉินหยางเองก็นั่งลงประจำที่ขณะมองฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือด้วยแววตาคาดหวังเช่นกัน

ฉินอวี้โม่ก็ขอให้หลี่ก่วนนำฉินอ้ายฉือและหานอ้ายโม่ออกมาเพื่อแนะนำตัวกับทุกคน

แม้เด็กน้อยจะไม่รู้จักคนเหล่านี้แม้แต่น้อย ทว่าทั้งสองก็ชาญฉลาดและเข้าใจสถานการณ์ได้ง่าย ทั้งสองจดจำตัวตนของผู้ใหญ่หน้าใหม่เหล่านี้อย่างรวดเร็วและทักทายพวกเขาอย่างน่าเอ็นดู

เมื่อเห็นเด็กน้อยน่ารักน่าชังทั้งสอง ทุกคนก็มีความสุขอย่างที่สุด พวกเขาไม่รอช้าและรีบหยิบของขวัญที่เตรียมไว้ออกมามอบให้ทั้งสองอย่างไม่ยอมน้อยหน้ากันและกัน

แน่นอนว่าเด็กน้อยทั้งสองรับสิ่งของเหล่านั้นและไม่ลืมที่จะขอบคุณทุกคนพร้อมรอยยิ้ม

“พี่อวี้โม่ !”

ในขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น สตรีโฉมงามนางหนึ่งก็วิ่งพรวดเข้ามาจากข้างนอกห้องโถง และเมื่อพบฉินอวี้โม่ นางก็โผเข้ากอดอย่างแรงทันที

“เสี่ยวฉีฉี เจ้านี่นะ โตแล้วยังทำตัวเป็นเด็ก ๆ ไม่เปลี่ยนเลย”

ฉินอวี้โม่ลูบศีรษะนางและกล่าวด้วยน้ำเสียงติดตลก ต่อให้ไม่เห็นหน้า ฉินอวี้โม่ก็ทราบได้ทันทีว่าสตรีผู้นี้คือใคร ดรุณีน้อยที่โตเป็นสตรีสง่างามแล้วทว่ายังแสดงท่าทางเป็นเด็กเหมือนช่วงแรก ๆ ที่พบกันเช่นนี้มีเพียงองค์หญิงน้อยแห่งจักรวรรดิไป๋อวิ๋นผู้เดียวเท่านั้น

“ฮี่ ๆ ๆ ก็ข้าไม่ได้พบพี่อวี้โม่นานเลยนี่นา~”

แม้ได้พบกับที่ดินแดนเทพมายาก่อนหน้านี้ครั้งหนึ่งแล้ว ฉีฉีก็ยังยิ้มกว้างอย่างมีความสุขและกอดฉินอวี้โม่ไว้แน่นก่อนผละออกไป

หลินซิวหยา หลินเหยียน ฉีอวี้และสหายคนอื่น ๆ ต่างก็เข้ามาทักทายฉินอวี้โม่พร้อมรอยยิ้ม เวลานี้บรรยากาศในห้องโถงทั้งครึกครื้นและเต็มไปด้วยความสุข

ในเมื่อมิตรสหายทั้งหลายได้พบกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาอีกครั้ง ตลอดหลายวันต่อมา พวกเขาจึงใช้เวลาไปกับการรำลึกถึงความหลังและพูดคุยกันอย่างมีความสุข

แน่นอนว่าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็ถูกรุมล้อมโดยบรรดาสหายทั้งหลายเพื่อสอบถามเรื่องราวสิ่งที่เกิดขึ้นกับทั้งสองตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทุกคนซาบซึ้งใจอย่างที่สุดเมื่อได้ทราบว่าหานโม่ฉือตกอยู่ในอันตรายหลายครั้งหลายคราเพื่อช่วยชีวิตฉินอวี้โม่และปลื้มปริ่มยิ่งนักเมื่อทราบถึงความรักความห่วงหาที่ทั้งสองมีต่อกัน

ความรักแท้จริงเช่นนี้ช่างน่าอิจฉาริษยายิ่งนัก

เมื่อได้ทราบเรื่องราวของทั้งสอง ทุกคนก็ได้เล่าถึงสถานการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในดินแดนเทพมายาตลอดหลายปีที่ผ่านมาให้ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือได้ทราบเช่นกัน

เมื่อมาเยือนดินแดนเทพมายาในตอนแรก ความแข็งแกร่งของพวกเขายังไม่มากพอและถูกข่มเหงรังแกโดยคนจากนิกายหงส์มังกรจนตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากครั้งแล้วครั้งเล่า

ในภายหลัง ด้วยความช่วยเหลือของนครเวหา วิหารทมิฬและนครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งด้วยแผนการกลยุทธ์อันชาญฉลาดของมู่อวิ๋น นครล่าฝันก็ค่อย ๆ สร้างรากฐานที่มั่นคงและพัฒนาจนรุ่งเรืองขึ้นไปเรื่อย ๆ

ทุกคนทุ่มเทฝึกฝนอย่างจริงจังและไม่ย่อท้อเช่นกัน เพราะเหตุนั้น ภายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นครล่าฝันจึงพัฒนารุ่งเรืองอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นหนึ่งในขุมกำลังอันดับต้น ๆ ของดินแดนนี้และมีคุณสมบัติที่จะรับมือต่อกรกับขุมกำลังชั่วร้ายอย่างนิกายหงส์มังกรได้

“พวกเราทุ่มเทฝึกฝนกันอย่างหนักทว่าไม่ได้เผชิญภยันตรายหรืออุปสรรคมากนัก แม้นิกายหงส์มังกรจะทั้งริษยาทั้งหวาดหวั่นใจและพยายามหาเรื่องเราไม่หยุดหย่อน แต่ด้วยความช่วยเหลือของขุมกำลังแกร่งกล้าอย่างนครเวหาและขุมกำลังอื่นๆ มันจึงไม่เคยมีการปะทะครั้งใหญ่เกิดขึ้น อย่างมากก็มีเพียงเหตุการณ์การปะทะเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ต่างกับพวกเจ้าที่ต้องเผชิญสถานการณ์เฉียดตายมาแล้วหลายครั้งหลายครา มันช่างน่าระทึกใจจริง ๆ”

หลินจิ้งหงกล่าวและทอดถอนหายใจเล็กน้อย เมื่อเปรียบเทียบกัน ฉินอวี้โม่และคณะต้องทุ่มเทและเผชิญเรื่องอันตรายกว่าพวกเขามากนัก

อย่างไรก็ตาม เป็นเพราะสถานการณ์อันตรายเหล่านี้ ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือจึงพัฒนาจนทรงพลังมากขึ้นเรื่อย ๆ และกลายเป็นวีรบุรุษผู้แกร่งกล้าของดินแดนเทพมายาแล้ว

“อวี้โม่ โม่ฉือ ท่านอธิการเรียกเจ้าทั้งสองไปพบที่ห้องหนังสือ”

ลั่วเฉินกล่าวกับฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือซึ่งบ่งบอกว่ามู่อวิ๋นมีเรื่องบางอย่างต้องการหารือกับทั้งสอง

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือจึงรีบมุ่งหน้าไปยังห้องหนังสือโดยไม่ลังเล

ภายในห้องหนังสือ มู่อวิ๋นนั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงานและสายตาจับจ้องบางอย่างด้วยใบหน้าจริงจัง

เมื่อฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือมาถึง มู่อวิ๋นก็โบกมือให้ทั้งสองเข้ามาใกล้ทันที

เมื่อเข้ามาภายในห้อง ทั้งสองก็มองเห็นแผนที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานดังกล่าว แผนที่ฉบับนี้คือแผนที่ของดินแดนเทพมายาซึ่งระบุตำแหน่งของขุมกำลังและอาณาเขตทั้งหมดของดินแดนไว้อย่างครอบคลุม อย่างไรก็ตาม มีพื้นที่สีเทาบางส่วนที่ทำเครื่องหมายจุดสีแดงไว้ซึ่งหมายถึงสถานที่ที่ยังไม่เป็นที่รู้จัก

“นี่คือแผนที่ของดินแดนเทพมายาที่ข้าร่างด้วยตัวเอง สถานที่ที่เป็นจุดสีแดงหมายถึงพื้นที่ที่แปลกใหม่และยังไม่รู้จัก ที่เหล่านั้นอาจมีอสูรมายาทรงพลัง บางสิ่งบางอย่างหรือชนเผ่าที่แปลกประหลาดซึ่งไม่มีทางตรวจสอบหาความจริงได้เลย ทว่านอกเหนือจากนี้สถานที่เหล่านี้ ข้าก็ได้ส่งคนออกไปสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่อื่น ๆ มาแล้ว รวมถึงอาณาเขตของขุมกำลังใหญ่ทั้งหลายเช่นกัน”

ต้องกล่าวเลยว่ามู่อวิ๋นเป็นคนมากความสามารถอย่างแท้จริง ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาส่งคนออกไปสืบข้อมูลเบาะแสเกี่ยวกับดินแดนเทพมายาอย่างละเอียด เมื่อรวมกับข้อมูลที่สืบค้นมาได้และสถานที่ที่อยู่ในการปกครองของหลายคน แผนที่ที่ครอบคลุมฉบับนี้จึงถูกวาดขึ้นมา

แผนที่ฉบับนี้แสดงให้เห็นการแบ่งแยกอาณาเขตของขุมกำลังใหญ่อย่างชัดเจนและยังสามารถค้นหาสถานที่ต่าง ๆ ในดินแดนเทพมายาได้อย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าแผนที่ของมู่อวิ๋นฉบับนี้ดีกว่าแผนที่ดั้งเดิมของดินแดนเทพมายาตั้งหลายเท่า

อย่างไรก็ตาม แผนที่ฉบับนี้ยังคงไม่มีการระบุตำแหน่งของตระกูลลับทั้งสี่และชนเผ่าอื่น ๆ รวมถึงฝ่ายมารเช่นกัน ขุมกำลังเหล่านั้นล้วนลึกลับอย่างที่สุด

สถานที่ต่าง ๆ ที่ถูกทำเครื่องหมายไว้ล้วนกระจายตัวอยู่ทั่วดินแดนและไม่มีรูปแบบที่ชัดเจน  ฉินอวี้โม่ก็กวาดสายตามองแผนที่และพบว่าไม่มีข้อมูลใดที่ต้องการเพิ่มลงไป

“ตลอดปีหลายปีที่ผ่านมา นอกจากการพัฒนาความแข็งแกร่งของตัวเอง ข้าก็ได้สืบหาข้อมูลเกี่ยวกับขุมกำลังใหญ่ทั้งหลาย นอกจากฝ่ายมารแล้วก็ยังมีอีกหลายชนเผ่าที่ลึกลับพอ ๆ กัน ซึ่งแม้แต่นิกายหงส์มังกรก็ยังต้องหวาดหวั่น ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็ยังค้นพบอีกว่าดินแดนเทพมายาแห่งนี้ไม่ธรรมดาเลย มีขุมกำลังลึกลับบางอย่างในพื้นที่เหล่านี้และทั้งหมดไม่เหมือนกับขุมกำลังที่พบได้ในดินแดนเทพมายาเลย”

มู่อวิ๋นกล่าวพลางชี้ไปยังพื้นที่สีเทาสองส่วนที่เขาสำรวจด้วยตัวเอง

ภายในพื้นที่สองส่วนนั้นมีสภาวะพลังที่เบาบางจนเชื่อได้ว่ามันไม่เหมาะสำหรับมนุษย์ อสูรมายาหรือแม้กระทั่งพืชพรรณ อย่างไรก็ตาม เขาได้พบอสูรที่ทรงพลังอย่างผิดปกติในสองสถานที่นั้นรวมถึงวัตถุดิบสำหรับหลอมโอสถที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน เพราะเหตุนั้นเขาจึงมีเหตุผลให้เชื่อได้ว่าสถานที่ประหลาดทั้งสองน่าจะเป็นของขุมกำลังลึกลับที่มิใช่มีต้นกำเนิดมาจากดินแดนเทพมายา

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็หันมองหน้ากันทันที ทั้งสองเพิ่งตั้งข้อสันนิษฐานก่อนหน้านี้ว่าอาจจะมีดินแดนอื่นที่เหนือยิ่งกว่าดินแดนเทพมายา ไม่คิดเลยว่ามู่อวิ๋นจะค้นพบข้อมูลใหม่เช่นนี้ซึ่งดูเหมือนจะพิสูจน์ข้อสันนิษฐานของพวกนางได้

หากมีโอกาส ทั้งสองก็วางแผนที่จะไปที่นั่นและสำรวจดูด้วยตัวเอง

“นอกจากนี้ เมื่อไม่กี่วันก่อน ข้าก็ได้พบใครบางคนในนครล่าฝัน”

เมื่อนึกถึงคนผู้นั้น อธิการมู่อวิ๋นก็ขมวดคิ้วมุ่นทันที

ท่าทางที่เปลี่ยนไปเช่นนี้ทำให้ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือสงสัยใคร่รู้ไม่น้อย ผู้ใดกันที่ทำให้มู่อวิ๋นแสดงสีหน้าเช่นนี้ได้ ?