ตอนที่ 1157 ศึกทาคิลา (3) โดย Ink Stone_Fantasy
ในตอนที่เงาดำสองดวงเคลื่อนผ่านกลางสนามรบเข้ามาถึงระยะ 5 กิโลเมตร ภายในฐานที่มั่นของกองทัพที่หนึ่งได้ปล่อยบอลลูนสอดแนมขึ้นไปบนท้องฟ้าและหยุดยิงปืนใหญ่
ผู้พิฆาตเวทมนตร์เองก็สังเกตเห็นเหตุการณ์นี้เหมือนกัน เพียงแต่มันไม่เข้าใจว่าทำไมมนุษย์ถึงทำเช่นนี้ เจ้าวัตถุทรงกลมที่ลอยได้นั้นน่าจะเอาไว้ใช้สำหรับสอดแนมดูจากที่สูง แต่ในเวลากลางคืนแบบนี้ ขนาดของที่อยู่ตรงหน้ายังมองไม่เห็นเลย แล้วลอยขึ้นไปสูงขนาดนั้นจะมีประโยชน์อะไร
ดังนั้นมันจึงฉวยโอกาสตอนที่ฝนเพลิงหยุดยิง รีบสั่งการให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าให้เร็วขึ้น
หลังเงาดำเคลื่อนที่เลยระยะ 4 กิโลเมตรเข้ามา กองพันปืนใหญ่ก็ทำการเตรียมกระสุนสำหรับการยิงรอบใหม่เสร็จเรียบร้อย พร้อมกับตั้งปืนสำหรับยิงพลุไฟ
นับตั้งแต่การลอบโจมตีในเวลากลางคืนครั้งแรกนั้น เมืองเนเวอร์วินเทอร์ก็รีบสร้างปืนยิงพลุไฟแบบง่ายๆ ออกมาชุดหนึ่ง หลักการทำงานของมันไม่ได้ต่างอะไรจากปืนครกมากนัก เพียงมีการติดร่มเข้าไปที่ส่วนหางของกระสุน และตรงส่วนหัวของกระสุนก็เปลี่ยนเป็นผงที่ผสมขึ้นจากอลูมิเนียมและแมกนีเซียมที่สามารถเผาไหม้ได้เป็นเวลานาน ในตอนแรกสุดกระสุนพลุไฟกับกระสุนปืนครกสามารถใช้ปืนกระบอกเดียวกันยิงได้ แต่ในระหว่างที่ทำการทดสอบก็พบว่าระดับความสว่างและช่วงเวลาในการเผาใหม่ของกระสุนขนาดเล็กนั้นไม่ดีเหมือนอย่างที่คิดไว้ ด้วยเหตุนี้จึงมีการสร้างปืนยิงพลุไฟที่มีขนาดลำกล้องที่ใหญ่ขึ้นเป็นการเฉพาะ ถึงแม้มันจะไม่สามารถทำให้ทหารยิงได้แม่นยำเหมือนในเวลากลางวัน แต่ก็พอทำให้เห็นสถานการณ์บนสนามรบได้
แต่กองทัพที่หนึ่งไม่เคยใช้มันในการรบจริงมาก่อน และนี่ก็เป็นคำแนะนำของทีมที่ปรึกษา
ในตอนที่ศัตรูเคลื่อนที่มาถึงระยะ 3 กิโลเมตร ขวานเหล็กก็รีบออกคำสั่งยิงทันที
“รับทราบ!” หลังวางโทรศัพท์ลง แวนนาก็ตะโกนเสียงดังขึ้นมาทันที “กระสุนพลุไฟ มุมยิงกว้างที่สุด ยิง!”
หลังเสียงยิงพลุไฟดังขึ้นมา ท้องฟ้ายามค่ำคืนก็มีแสงสว่างเจิดจ้าสว่างขึ้นมาทันที เปลวไฟสีเหลืองส้มขับไล่ความมืดออกไป ทำให้โครงร่างของพื้นดินปรากฏขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
จากนั้นพลุไฟจำนวนมากก็ถูกยิงขึ้นฟ้า ลุกไหม้ ตกลงมา…
ภายในระยะ 3 กิโลเมตรด้านหน้าแนวรบเหมือนมี ‘พระอาทิตย์ดวงเล็ก’ เรียงเป็นแถวยาว ถึงแม้มันจะไม่สามารถขับไล่ความมืดออกไปได้หมด แต่มันก็ทำให้แสงดาวและแสงจันทร์หายไปได้ชั่วขณะ
ส่วนเสาหินขนาดใหญ่ ปีศาจแมงมุมและปีศาจคุ้มคลั่งที่หลบซ่อนอยู่ในความมืดก็ปรากฏกายขึ้นมา!
ต่อให้เป็นพื้นที่แค่เล็กๆ แต่มันก็เพียงพอที่จะให้ปืนใหญ่ใช้กำหนดเป้าหมายได้
หลังผ่านการทดสอบยิงครั้งแรก เสียงหวีดของกระสุนปืนใหญ่จำนวนมากก็พุ่งตรงไปยังด้านหลังของแท่งหินอาญาสิทธิ์ การยังครั้งนี้ไม่ใช่การยิงแบบเดาสุ่มเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว ส่วนปีศาจที่ถูกเปิดเผยตำแหน่งก็ดูตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด พวกมันเหมือนไม่รู้ว่าควรจะบุกไปข้างหน้าต่อดี หรือว่าหนีไปจากพื้นที่ที่จู่ๆ ก็ถูกส่องสว่างขึ้นมานี้
พริบตานั้นเอง เสียงระเบิดดังกัมปนาทก็เข้าปกคลุมกองทัพของพวกปีศาจที่กำลังเคลื่อนเข้ามา
……
อุรูคมองไปยัง ‘ลูกบอลไฟ’ ที่ค่อยๆ ตกลงมาจากบนท้องฟ้า ในที่สุดสีหน้าที่เรียบเฉยของมันเปลี่ยนไปทันที
ตอนนี้มันรู้แล้วว่าวัตถุทรงกลมที่พวกมนุษย์ปล่อยขึ้นไปบนท้องฟ้ามันเอาไว้ทำอะไร
เมื่อหกเดือนก่อนพวกเขายังรับมือกับการลอบโจมตีในเวลากลางคืนไม่ได้ พวกเขาทำได้เพียงแค่ตั้งรับอยู่ในค่ายเท่านั้น แต่ตอนนี้พวกเขากลับมีแผนที่จะรับมือการทำศึกในเวลากลางคืน แถมยังอดทนรอจนถึงตอนนี้ค่อยเอาออกมาใช้ ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนมันก็ไม่อาจมองว่ามนุษย์นั้นเป็นแมลงชั้นต่ำได้อีก
เผ่าพันธุ์มนุษย์…เรียกได้ว่าเป็นคู่ต่อสู้ของพวกมันแล้ว
จักรพรรดิจำเป็นต้องรู้เรื่องนี้!
มันทำการตัดสินใจออกมาทันที
ในขณะเดียวกันอุรูคก็มั่นใจในความคิดของตัวเองว่าการกำจัดดวงตาและแขนขาของศัตรูต่างหากถึงจะเป็นเป้าหมายที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ ไม่อย่างนั้นกองทัพของมนุษย์นี้อาจจะสร้างปัญหาให้กับแผนการบุกเบิกของเผ่าพันธุ์ได้
มันมองกลับลงไปที่ใต้เท้าตัวเองอีกครั้ง ท่ามกลางฝนเพลิงที่กระหน่ำโจมตีลงมา เสาหินอาญาสิทธิ์กับกองทัพที่เดินอยู่ข้างหลังเริ่มเกิดการแตกแถว จากที่มันคิดเอาไว้ตอนแรก เสาพวกนี้น่าจะเคลื่อนที่ไปได้ถึงระยะโจมตีของทูมสโตนได้ เมื่อถึงตอนนั้นค่อยโจมตีพร้อมกับปีศาจคุ้มคลั่งที่กระหนาบเข้ามาจากทั้งสองด้าน เช่นนี้ก็จะช่วยชดเชยความเสียเปรียบในเรื่องระยะยิงกลับมาได้
แต่ตอนนี้พื้นที่ที่ถูกส่องสว่างได้ตัดเส้นทางในบุกไปข้างหน้าของกองทัพ ถ้าฝืนบุกเข้าไปก็มีแต่จะตกเป็นเป้าของฝนเพลิง หลังไม่มีความมืดช่วยบดบัง จากพื้นที่จุดบอดกลายเป็นลานสังหารขนาดแคบๆ
ไปทำลายบอลไฟเหล่านั้น? ไม่…พวกมนุษย์ต้องมีของแบบนี้อยู่เยอะแน่ ยิ่งไปกว่านั้นในค่ายของมนุษย์ก็มีคนคอยจับตาดูมันอยู่…
อุรูคเร่งความเร็วทันที ก่อนจะบินพุ่งเข้าไปยังแนวรบของอีกฝ่าย!
หลังบินหลบหน้าไม้เพลิงที่กราดยิงออกมา มันก็พุ่งเข้าไปถึงอยู่ด้านหน้าบอลลูนที่ลอยอยู่กลางอากาศ ในขณะที่ทหารสังเกตการณ์กำลังกระโดดหนีออกมาจากตะกร้าบอลลูน มันก็คว้าคอของเขาเอาไว้
เมื่อเห็นสีหน้าที่หวาดกลัวถึงขีดสุดของมนุษย์ อุรูคก็แสยะยิ้มดุร้ายออกมา ก่อนจะฉีกทหารคนนั้นออกเป็นสองส่วน
จากนั้นมันก็โยนศพลงมา แล้วเงยหน้าส่งเสียงคำราม!
สิ่งที่ดังออกมาพร้อมกับเสียงตะโกนคือคำสั่งบุกโจมตี
พวกปีศาจร่างต้นที่รับรู้ได้ถึงเจตจำนงของมันต่างพากันส่งเสียงคำรามออกมาเหมือนกัน พวกมันกระโจนออกมาจากที่ซ่อน ก่อนจะวิ่งเข้ามาหาฐานที่มั่นของมนุษย์
พริบตานั้นเอง พื้นดินพลันเดือดพล่านขึ้นมา!
…..
ในที่สุดการสู้รบก็กลับมาอยู่ในจังหวะที่กองทัพที่หนึ่งคุ้นเคยมากที่สุด
ปีศาจจำนวนมากแห่ออกมาจากจุดบอด ทั่วทั้งพื้นที่ราบมีแต่ศัตรูอยู่เต็มไปหมด กระสุนฟลุไฟที่ถูกยิงขึ้นไปบนฟ้าอย่างต่อเนื่องส่องพื้นที่ระยะ 3 กิโลเมตรสุดท้ายนี้จนสว่างขึ้นมา ปืนครกกับปืนกลกระหน่ำยิงออกไปพร้อมๆ กับพื้นดินเหมือนกำลังถูกถลกหน้าดินขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น
น่าจะเป็นเพราะทั้งสองฝ่ายต่างรู้ถึงความหมายของสงครามครั้งนี้ดี ทันทีที่ปะทะกันจึงไม่มีการออมมือให้กันอีก กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วทั้งที่ราบ!
ขอเพียงคลานเข้ามาถึงระยะปาหอก ปีศาจคุ้มคลั่งก็จะกระหน่ำปาหอกกระดูกอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งแขนของพวกมันใช้งานไม่ได้ ต่อให้ขาทั้งสองข้างถูกยิงขาด ร่างกายถูกยิงจนเป็นรู พวกมันก็จะลากร่างกายของพวกมันไปข้างหน้า
ส่วนกองทัพที่หนึ่งก็ไม่ได้ถอยเหมือนกัน
หน่วยปืนกลกระหน่ำยิงออกไปเหมือนสายน้ำ ถึงแม้จะเจอกับเข็มหินที่ปีศาจแมงมุมยิงเข้ามา พวกเขาก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะถอยหนีแม้แต่หน่อย หลังจากทหารที่รับหน้าที่ยิงปืนกลถูกเข็มหินแทงจนเสียชีวิตก็จะมีทหารคนใหม่เข้ามารับหน้าที่ยิงต่อทันที สิ่งเดียวที่ทำให้พวกเขาหยุดยิงได้นั้นมีแค่การเปลี่ยนลำกล้องปืนที่เสียทิ้งเท่านั้น
การสู้รบอันดุเดือดดำเนินตั้งแต่ตอนเที่ยงคืนไปจนถึงรุ่งสางของอีกวัน
ในตอนที่บนท้องฟ้ามีแสงสีเงินทอประกายขึ้นมา อสูรสยองจำนวนหลายสิบตัวก็เข้าสู่สนามรบ
ภายในแสงอาทิตย์ยามเช้า นี่คือโอกาสสุดท้ายของพวกปีศาจอย่างไม่ต้องสงสัย
ในตอนนี้ความกดดันจากทางภาคพื้นดินลดน้อยลงจากเดิมอย่างมากแล้ว ดังนั้นหน่วยปืนกลหลายๆ หน่วยจึงหันปากกระบอกปืนขึ้นและกระหน่ำยิงไปบนฟ้าร่วมกับหน่วยต่อต้านทางอากาศ
ผู้พิฆาตเวทมนตร์พุ่งเข้ามาในแนวรบของกองทัพที่หนึ่งอยู่หลายครั้งเพื่อจะหยุดการยิงของแนวป้องกันให้ได้ แต่มันก็ต้องถูกห่ากระสุนบีบให้ต้องถอยออกไป
ชัยชนะเริ่มเอนเอียงมาทางฝั่งมนุษย์ที่ละน้อย
กระทั่งถึงเวลากลางวัน ในที่สุดเสียงปืนก็หยุดลง
อกาธาเดินตามขวานเหล็กและคนอื่นๆ ออกมาจากฐานบัญชาการใต้ดินมาถึงด้านหน้าแนวรบ
ในอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นดินปืนที่แสบจมูก แต่เธอกลับรู้สึกว่ากลิ่นนี้มันน่าหลงใหลอย่างมาก
พื้นดินที่เมื่อวานนี้ยังมีหญ้าขึ้นเขียวชอุ่มกลายเป็นพื้นขรุขระที่เต็มไปด้วยหลุมกระสุนและซากศพที่นอนเกลื่อนกลาด
เลือดสดๆ ของศัตรูไหลเจิ่งนองเต็มพื้น ส่วนพุ่มไม้และใบหญ้าที่เปื้อนเลือดต้องแสงแดดส่องประกายสีน้ำเงินออกมา
ซากเมืองทาคิลาที่อยู่ไกลออกมายังคงมีปีศาจโครงกระดูกตัวใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ แต่อกาธารู้ว่าหลังจบศึกนี้แล้ว ปีศาจจะไม่สามารถหยุดมนุษย์ได้อีก พวกเขาจะแย่งชิงเอาเมืองศักดิ์สิทธิ์กลับมา
“พวกเรา…ชนะแล้ว!” ไม่รู้ว่าใครเป็นคนตะโกนประโยคนี้ออกมาเป็นคนแรก บางทีอาจจะเป็นทหารธรรมดาคนหนึ่งหรือไม่ก็แม่มด หรือไม่ก็แม่มดทาคิลา…แต่ว่านั่นไม่สำคัญ เพราะว่าหลังจากนั้นเสียงตะโกนโห่ร้องแสดงความยินดีก็ดังขึ้นสนั่นไปทั่วทั้งแนวรบ
นี่คือชัยชนะของเผ่าพันธุ์มนุษย์!
………………………………………………………………