บทที่ 600 มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

หลินเป่ยเฉินยืนอยู่บนยอดเขาสูงลูกหนึ่ง และเหลียวหน้ามองกลับไปข้างหลัง

ผู้คนที่อยู่ในเมืองยังอพยพกันไม่เสร็จสิ้น

เขาล้มเลิกความคิดที่จะยิงมังกรตัวนั้น

เพราะกระสุนปืน 98k มีราคาแพงมากเกินไป

เมื่อจับเหลียวหวังซูโยนเข้าไปอยู่ในบ้านร้างหลังหนึ่งเรียบร้อยแล้ว หลินเป่ยเฉินก็เดินตรงเข้าไปดักหน้ากองทัพชาวทะเลเพียงลำพัง

มังกรเขียวตัวนั้นยังคงบินฉวัดเฉวียนอยู่บนท้องฟ้า

หลินเป่ยเฉินรู้สึกได้ถึงรังสีการฆ่าฟันที่แผ่ออกมาจากจวนผู้ว่าหลังใหม่อย่างชัดเจน

เขารู้ดีว่าหญิงชราหลังค่อมผู้เรียกตัวเองว่านักบวชหรงคนนั้น เป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังแผนการร้ายทั้งหมดนี้ นางพยายามสร้างโอกาสให้ตนเองได้แสดงพลังออกมาและกำจัดชาวเมืองหยุนเมิ่งออกไปให้พ้นทาง…

กองทัพชาวทะเลเชื่อฟังนางเป็นอย่างดี

นี่ทำให้หลินเป่ยเฉินมั่นใจว่าตัวตนของนักบวชหรงต้องมีสถานะสูงส่ง

แทบจะไม่ต่างไปจากเทพเจ้า

สำหรับกับหลินเป่ยเฉิน ไม่เคยมีครั้งไหนที่เขาจะรู้สึกดีมากกว่าตอนที่ได้แอบอ้างชื่อของเทพเจ้าและออกคำสั่งกับผู้คนอีกแล้ว

นักบวชหรงก็คงมีความรู้สึกไม่ต่างกัน

หลินเป่ยเฉินอยากจะแสดงตัวออกไปในฐานะตัวแทนของเทพีกระบี่

แต่ติดอยู่ตรงที่ว่าเขายังมีภารกิจช่วยเหลือฮันปู้ฟู่กับเยว่หงเซียงออกมาจากเงื้อมมือของพวกชาวทะเลให้ได้ หลินเป่ยเฉินไม่อยากฝากความหวังเอาไว้ที่ดาวนำโชคซึ่งเป็นเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ เพราะมีความเป็นไปได้ที่นักบวชหรงจะไม่ยอมรับอำนาจของมันเมื่ออยู่ในมือของเขา ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ขึ้นมา หลินเป่ยเฉินก็ไม่รู้แล้วว่าตนเองสมควรแก้ไขสถานการณ์อย่างไรดี

เพราะฉะนั้น หลินเป่ยเฉินจึงต้องมั่นใจเสียก่อนว่าทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา ก่อนที่เขาจะนำเครื่องรางดาวนำโชคออกมาแสดงให้ทุกคนเห็น

เมื่อถึงตอนนั้นแล้ว ต่อให้นักบวชหรงไม่อยากยอมรับอำนาจของมันที่อยู่ในมือเขา นางก็ไม่สามารถทำอะไรได้อีก

ความจริง หลินเป่ยเฉินเคยคิดที่จะมอบเครื่องรางดาวนำโชคให้แก่องค์หญิงแห่งท้องทะเล และขอให้นางช่วยออกหน้าแก้ไขสถานการณ์ทั้งหมด

นั่นคือหนึ่งในทางเลือกที่ดีที่สุด

แต่สุดท้ายเด็กหนุ่มก็เลิกล้มความคิดนี้ไป

เพราะเขาอยากกำหนดโชคชะตาด้วยมือของตนเองมากกว่า

และบัดนี้ สิ่งที่หลินเป่ยเฉินกำลังทำอยู่ก็คือการช่วยซื้อเวลาให้ชาวเมืองหยุนเมิ่งได้มีเวลาอพยพกันต่ออีกเล็กน้อย

เพียงให้พวกเขาเดินทางไปถึงภูเขาเสี่ยวซีอย่างปลอดภัยก็พอแล้ว

หลินเป่ยเฉินวิ่งลงไปบนถนน

หลังจากนั้น ตัวของเขาก็กระโดดจมหายลงไปใต้ดิน ไม่ต่างจากปลาที่กระโดดลงใต้ผิวน้ำ

นี่คือการใช้ความสามารถในการดำดินของเขา

หลินเป่ยเฉินกำลังเฝ้าสังเกตสภาพแวดล้อมจากใต้ดิน

เมื่อกองทัพชาวทะเลเคลื่อนกระบวนพลมาถึง เด็กหนุ่มก็ยื่นมือขึ้นไปแตะผิวดิน และปลดปล่อยพลังปราณธาตุดินออกไปอย่างรุนแรง

คลื่นพลังเหล่านั้นพวยพุ่งขึ้นไปบนผิวดิน

หลังจากนั้น บรรดานักรบชาวทะเลที่ขี่ม้าน้ำยักษ์นำมาด้านหน้า ก็ตัวลอยกระเด็นกลับไปโดยไม่มีสัญญาณเตือน

โครม! โครม! โครม! โครม!

นักรบชาวทะเลอีกหลายนายล้มคะมำลงไปกับพื้นดินพร้อมด้วยม้าน้ำยักษ์คู่ใจ เพราะควบขี่พวกมันมาด้วยความเร็วที่มากเกินไป

เมื่อล้มลงไปกระแทกพื้นดิน พวกมันกลับรู้สึกว่าพื้นดินมีความแข็งไม่ต่างจากเหล็กกล้า เมื่อล้มลงไปโดยไม่ทันตั้งตัว หลายตัวจึงกระดูกแตกหักและหมดสติไปในทันที…

บรรดานักรบที่ขี่ม้าน้ำยักษ์ตามมาด้านหลังชะลอความเร็วไม่ทัน จึงชนเข้ากับบรรดาเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ที่ล้มลงอยู่ด้านหน้า

จากนั้นจึงตามมาด้วยความชุลมุนวุ่นวาย

ฝุ่นตลบ

ในอากาศเต็มไปด้วยฝุ่นผงบดบังทัศนวิสัย

ขบวนกองทัพม้าน้ำยักษ์ของนักรบชาวทะเลล้มลงกลิ้งกระเด็นตัวแล้วตัวเล่า

นอกจากพวกมันจะวิ่งชนกันเองแล้ว อีกหนึ่งสาเหตุสำคัญก็คืออยู่ดีๆ บนพื้นดินก็ปรากฏรากไม้งอกยาวขึ้นมาในเวลาเพียงพริบตาเดียว

นักรบชาวทะเลทั้งมึนงงสับสนไม่เข้าใจ ตั้งรับไม่ทันกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ยิ่งเวลาผ่านไปนานมากเท่าไหร่ ฝุ่นผงในอากาศก็ยิ่งกระจายตัวหนาแน่นมากเท่านั้น เสียงการล้มลุกคลุกคลานของนักรบชาวทะเลยังคงดังอย่างต่อเนื่อง และม่านหมอกฝุ่นก็เริ่มคืบคลานตรงไปยังทิศทางของสะพานโครงกระดูกแล้ว…

“มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล…”

“พวกเราได้โปรดระมัดระวังตัว นี่ต้องเป็นการโจมตีจากศัตรูแน่”

“หรือว่าจะเป็นค่ายอาคมของพวกมนุษย์? พวกเรารีบถอย”

“กลับไปแจ้งท่านแม่ทัพก่อนดีกว่า…”

หลายเสียงร้องตะโกนด้วยความแตกตื่น

แต่หลังจากนั้น พวกชาวทะเลก็สามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว

บรรดาชาวทะเลผู้ใช้ค่ายอาคมกว่าสิบชีวิตได้มารวมตัวกันภายใต้การคุ้มครองของกลุ่มนักรบดาวทะเลและนักรบเต่าทะเลผู้ใช้ค่ายอาคมพร้อมใจกันบริกรรมคาถาสร้างละอองน้ำขึ้นมาในอากาศกลายเป็นม่านพลังสีฟ้าใส ม่านพลังเหล่านั้นเคลื่อนที่ออกมาข้างหน้ากำจัดเศษฝุ่นละอองและม่านหมอกที่บังตา ม่านพลังวารีเหล่านี้มาพร้อมกับพลังทำลายล้างสิ่งแปลกปลอมที่แแทรกซึมอยู่ใต้พื้นดิน…

หลินเป่ยเฉินซึ่งกำลังดำดินอยู่ในขณะนี้รับรู้ได้ถึงอันตรายที่คืบคลานเข้ามา จึงต้องรีบล่าถอยด้วยความเร็วไว

ไม่กี่ลมหายใจต่อจากนั้น ตรงพื้นดินซึ่งเขาเคยซ่อนตัวอยู่ก็กลับกลายเป็นน้ำแข็งไปแล้ว

ม่านพลังน้ำแข็งเหล่านั้นจะทำให้สิ่งมีชีวิตทุกอย่างกลายเป็นผลึกน้ำแข็ง

หากไม่ใช่เพราะว่าหลินเป่ยเฉินสามารถหลบหนีออกมาได้รวดเร็วทันเวลา เขาก็คงถูกแช่แข็งและตายอยู่ตรงนั้นไปแล้ว

ผู้ใช้ค่ายอาคมของชาวทะเลไม่สามารถประมาทฝีมือได้เลยจริงๆ

เมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่มีกันเป็นกลุ่ม หลินเป่ยเฉินก็ต้องระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายตรงข้ามที่มี ‘ความสามารถ’ แตกต่างจากผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไป…

เดี๋ยวก่อนนะ

หลินเป่ยเฉินนึกอะไรขึ้นมาได้

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ตัวเขาเองก็ฝึกความสามารถมาหลายอย่างเหมือนกันไม่ใช่หรือ?

คิดได้ดังนั้น เด็กหนุ่มก็โคจรพลังปราณธาตุดินอีกครั้ง

วูบ!

แล้วพื้นดินที่อยู่ใต้เท้าของบรรดาผู้ใช้ค่ายอาคมชาวทะเลก็ยุบหายไปโดยไม่มีสัญญาณเตือน

ราวกับเกิดเหตุการณ์ธรณีสูบ

กลุ่มองครักษ์ที่เป็นนักรบดาวทะเลและมนุษย์เต่าทะเลตกลงไปในหลุมดินนั้น

แต่บรรดาผู้ใช้ค่ายอาคมระมัดระวังตัวอยู่ก่อนแล้ว พวกมันจึงลอยตัวขึ้นไปกลางอากาศ ไม่ได้ตกลงไปในหลุมดินแต่อย่างใด

หลินเป่ยเฉินเมื่อเห็นว่าตนเองลอบโจมตีไม่สำเร็จ ก็ต้องรีบหลบหนีออกมา

หลังจากนั้น ตำแหน่งที่เขาเคยอยู่ก่อนหน้านี้ ก็กลายเป็นแผ่นดินน้ำแข็งไปทันที

หลินเป่ยเฉินดำดินออกมาได้เป็นระยะทางที่ไกลพอสมควร จากนั้น เขาก็กระโดดขึ้นไปบนผิวดิน

ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!

เกิดเสียงแปลกประหลาดดังขึ้น

นั่นเป็นเสียงการยิงกระสุนของปืนอินทรีหิมะผ่านที่เก็บเสียงปลายกระบอกปืน

รอบร่างกายของผู้ใช้ค่ายอาคมชาวทะเลในขณะนี้ เป็นม่านพลังเวทมนต์สำหรับการสร้างค่ายอาคมน้ำแข็ง พวกมันไม่มีประสิทธิภาพป้องกันการโจมตี กระสุนลำแสงจากปืนอินทรีหิมะจึงสามารถทะลวงเข้าไปได้อย่างง่ายดาย และระเบิดอวัยวะบนร่างกายผู้ใช้ค่ายอาคมชาวทะเลแตกกระจายเป็นม่านหมอกเลือด!

แต่ก็ทำให้พวกมันเพียงบาดเจ็บเท่านั้น ไม่ถึงแก่ความตาย

หลินเป่ยเฉินตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่ออกมาไม่น้อย แต่เขาก็ยังมีสติดีพอที่จะถอยหนีออกมาได้ทันเวลา

แน่นอนว่าลมหายใจต่อมา ตำแหน่งที่เขาเคยยืนอยู่ก็กลายเป็นแผ่นดินน้ำแข็งไปแล้ว

พื้นดินกลายเป็นน้ำแข็งในเวลาอันรวดเร็วน่าตกใจ

“ผู้ใช้ค่ายอาคมเหล่านี้ พอรวมตัวกันแล้วพลังก็ยิ่งแกร่งกล้ามากขึ้น ไม่รู้เหมือนกันนะว่าผู้ใช้ค่ายอาคมมนุษย์ของพวกเราจะสามารถต่อกรกับพวกมันได้หรือเปล่า?”

หลินเป่ยเฉินเริ่มรู้สึกหวาดหวั่นใจขึ้นมาชอบกล

เขาถอยหนีออกมาอย่างรวดเร็ว

ได้ยินเสียงกองทัพม้าน้ำยักษ์ติดตามมาด้านหลัง

หลินเป่ยเฉินเอื้อมมือลงไปคว้าจับต้นหญ้าบนพื้นดิน

ทันใดนั้น รากไม้และเถาวัลย์ที่เหี่ยวแห้งเพราะอากาศหนาวก็กลับมาเขียวขจีมีชีวิตชีวาอีกครั้ง ในเวลาเพียงพริบตาเดียว พื้นที่รอบกายเด็กหนุ่มหลายร้อยวาก็เต็มไปด้วยต้นไม้ขึ้นรกครึ้ม รากไม้และเถาวัลย์เหล่านั้นลอยตัวขึ้นไปในอากาศไม่ต่างจากงูเหลือมสีเขียวสด ก่อนที่พวกมันจะพุ่งตรงเข้าไปเล่นงานบรรดานายทหารชาวทะเลที่ไล่ตามมา…

บังเกิดเสียงร้องโหยหวน

นายทหารชาวทะเลจำนวนมากถูกเถาวัลย์เหล่านั้นฉีกกระชากร่างกายขาดออกจากกัน

ครืน!

ทันใดนั้นพื้นดินสั่นสะเทือน

แล้วมนุษย์ฉลามวาฬตัวหนึ่งก็กระโดดออกมาข้างหน้า

มันกระทืบเท้าข้างหนึ่งลงไปบนพื้นดินอย่างรุนแรง

พลังงานที่บริสุทธิ์ไหลเวียนออกมารอบทิศทาง

กิ่งไม้และเถาวัลย์ที่เกิดขึ้นจากพลังของหลินเป่ยเฉินพลันกระจัดกระจายหายไปด้วยคลื่นพลังงานเหล่านี้

ดวงตาของหลินเป่ยเฉินเป็นประกายวาวโรจน์อย่างไม่อยากเชื่อ

อีกฝ่ายคงเป็นหนึ่งในยอดฝีมือของเผ่าพันธุ์ชาวทะเล

ดูจากระดับพลังแล้ว มนุษย์ฉลามวาฬตัวนี้ คงมีฝีมือไม่ต่ำกว่าแม่ทัพฉลามอู๋หยาเป็นแน่แท้

บรรดาชาวทะเลที่ขึ้นมาจากโลกใต้สมุทรเหล่านี้ นับว่ามีขุมกำลังที่น่าหวาดกลัวเหลือเกิน

ไม่ต้องสงสัยอีกแล้วว่าเพราะเหตุใดการทำสงครามครั้งแรกระหว่างจักรวรรดิเป่ยไห่กับชาวทะเลถึงจบลงด้วยความพ่ายแพ้ และพวกเขาก็เกือบจะสูญเสียมณฑลเฟิงอวี่ไปเลยทีเดียว

หลินเป่ยเฉินยังคงล่าถอยอย่างต่อเนื่อง

เด็กหนุ่มใช้ทุกวิถีทางเพื่อสกัดขัดขวางผู้ติดตามให้ได้มากที่สุด

ถ้าอ่าน “เซียนกระบี่มาแล้ว” ถึงบทนี้แล้วยังไม่จุใจ งั้นไปอ่านกันต่อได้ที่เว็บ Enjoybook.co เพราะที่นั่นลงนำไปแล้วกว่า 30 ตอน !! อ่านก่อนใครได้ที่เว็บเอนจอย