”ตาเฒ่าเซี่ยดูเหมือนเจ้าจะฝากฝังความหวังไว้กับเด็กคนนี้มากเกินไป สงสัยข้าเองก็คงต้องลองเสี่ยงโชคดูบ้าง”เสียงที่ดังอึกทึกแต่ก็หนักแน่นแฝงไปด้วยพลัง
ชิงสุ่ยมองดูไปตามเสียงได้เห็นชายชราคนหนึ่งเขารู้ได้ทันทีว่าชราคนนี้จะต้องเป็นยอดยุทธที่แข็งแกร่งจากมหาจักรวรรดิหมาป่าจันทรา ซึ่งมีพลังพอๆกับมหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์ หรือไม่ก็มีพลังมากกว่า
พวกเขามาที่นี่ก็เพื่อจะควบร่วมเอามหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์มาเป็นส่วนหนึ่งของมหาจักรวรรดิหมาป่าจันทรา
บรรพบุรุษอาวุโสระเบิดเสียงหัวเราะ” ซาหลางเฟิง ข้าคิดว่าเจ้าเป็นคนมีเกียรติ แต่ดูเหมือนวันนี้มันจะไม่จริงเสียแล้ว เอาเถอะ ถ้าหากเจ้าแพ้ละก็ เจ้าจะได้รับความอับอายอย่างสาสม”
”เกิดเป็นนักรบต้องเตรียมตัวพ่ายแพ้อยู่เสมอความพ่ายแพ้ถือเป็นเรื่องดี ความล้มเหลวไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัว เพราะความล้มเหลวจะทำให้เราพัฒนาก้าวข้ามขีดจำกัด”ซาหลางเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย
ซาหลางเฟิงก็เป็นคนที่แก่ชรา แต่อาจจะดูแก่ชรากว่าชายวัยกลางคนเล็กน้อย ผู้ชายส่วนใหญ่ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของระดับพลัง ร่างกายและใบหน้าของพวกเขาจะไม่เปลี่ยนแปลงไปต่อให้ผ่านไปอีกหลายร้อยปีก็ตาม
บรรพบุรุษอาวุโสแห่งตระกูลเซี่ยเดินกลับไปนั่งที่นั่งของตัวเองภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เขารู้ดีว่าชิงสุ่ยเป็นคนที่เกินความคาดเดาและมีความลึกลับสูง เขาจึงเชื่อลึกว่าชิงสุ่ยจะเป็นคนนำปาฏิหาริย์กลับมาและมองดูชิงสุ่ยด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ชิงสุ่ยมองชายชรากลับไปเขารู้สึกประทับใจในตัวชายชราคนนี้เป็นอย่างมากทั้งๆที่อยู่ในสถานการณ์คับขัน เขาก็ยังคงสภาพอารมณ์จิตใจที่แน่วแน่ ตัวของชิงสุ่ยเองก็รู้ว่าในอนาคตเขาอาจจะต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากชายชราผู้นี้อีก
แม้ว่าชายชราจะมีอายุได้อีกเพียงไม่กี่ปีแต่ด้วยความสามารถทางการรักษาของชิงสุ่ย เขายังคงรักษาอายุขัยของชายชราเพิ่มไปอีก 10 ปีได้ ไปจะเพิ่มเป็นมากกว่านั้นมันคงเป็นขีดจำกัดของอายุขัยชายชราแล้ว แล้วตัวของชิงสุ่ยก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้
ซึ่งเวลา10 ปีมันก็นานเกินพอจะทำอะไรหลายสิ่งหลายอย่าง
ชิงสุ่ยกลายเป็นปราการด่านแรกที่จะคอยปกป้องมหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์เขาต้องการเวลาฝึกฝนองค์ชายสิบสามให้แข็งแกร่งกว่านี้ แม้ว่าเขาจะลังเล แต่ถ้าหากเขาไม่ปกป้องมหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์ มันก็ไม่ต่างอะไรจากการปล่อยให้ผู้อื่นเข้ามายึดครองและกลับมาทำสงครามกับหอคอยจักรพรรดิ สถานที่ที่บรรดาเพื่อนๆของเขาใช้อยู่อาศัยและช่วยเหลือผู้คน
ซาหลางเฟิงเดินตรงมาทางลานราชกิจสวรรค์
”พ่อหนุ่มน้อยข้าจะไม่อ่อนข้อให้กับเจ้า จงระวังเอาไว้ให้ดี กระบี่มันไม่มีตา!!” น้ำเสียงของซาหลางเฟิงเต็มไปด้วยความเย็นชาและโหดร้าย ร่างกายของเขาเปรียบเสมือนภูเขาขนาดใหญ่ ที่กำลังปลดปล่อยกลิ่นอายให้ความโหดเหี้ยมคอยกดดันคู่ต่อสู้
ชิงสุ่ยพยักหน้า” เชิญเข้ามาได้เลย!!”
พลังปราณจิตของซาหลางเฟิงเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณจนกระทั่งขอรูปร่างกลายเป็นสสารที่มองเห็นได้ด้วยสายตา
จิตวิญญาณหมาป่าจันทรากระหายศึก!!
ซาหลางเฟิงเกิดมาในตระกูลราชวงศ์ของมหาจักรพรรดิหมาป่าจันทราได้รับตำแหน่งที่สูงส่ง ไม่ใช่นั้นเขาคงไม่มีโอกาสได้เข้าร่วมพิธีที่สำคัญแบบนี้ได้ ราชวงศ์หมาป่าจันทราได้รับสืบทอดมรดกโดยตรงมาจากหมาป่าจันทราจักรพรรดิ ทำให้ผู้คนของตระกูลซาได้เรียนรู้ทักษะสงครามที่สืบทอดมาจากองค์จักรพรรดิหมาป่าจันทราโดยตรง และคนที่สามารถปลุกสายเลือดหมาป่าจันทราจักรพรรดิได้ก็มีเพียงแค่คนเดียว ฉะนั้นชายที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่ผู้สืบทอด แต่อย่างน้อยเขาก็ได้รับมรดกบางส่วนมาจากสายเลือด
ซาหลางเฟิงคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดในคนรุ่นเดียวกันเป็นรองแค่เพียงคนคนเดียวที่สามารถปลุกสายเลือดหมาป่าจันทราจักรพรรดิได้
เงาของจิตวิญญาณหมาป่าจันทราช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งและยังปรับปรุงความเร็ว รวมถึงความสามารถในการทะลุทะลวงเกราะป้องกันปราณ จนทำให้ศัตรูทุกคนที่เขาเจอแทบไม่สามารถป้องกันการโจมตีของเขาได้
ชิงสุ่ยเองก็ปลดปล่อยทักษะสงครามเพื่อเพิ่มพูนความแข็งแกร่งศัตรูที่เขากำลังเจอเป็นคนที่แข็งแกร่งมาก ถ้าหากยังเป็นตอนที่เขาไม่ได้ใช้รากฐานเต๋าเทวาสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ เขาไม่มีทางเอาชนะชายคนนี้ได้แน่
แต่หลังจากที่เขาดูดซับพลังผนวกกับพลังป้องกันจากเจดีย์ปกปักชะตาสวรรค์ เขามั่นใจอย่างมากว่าศัตรูไม่มีทางโจมตีเข้าถึงตัวเขาได้ และด้วยระดับของซาหลางเฟิง ชิงสุ่ยยังไม่ต่างอะไรจากเทพอมตะ
ในตอนนี้พลังของซาหลางเฟิงเพิ่มพูนขึ้นสู่ระดับ150 ล้านเต๋า เพียงแค่อาศัยพลังป้องกันจากเจดีย์ปกปักชะตาสวรรค์ก็สามารถป้องกันพลังโจมตีที่อยู่ในระดับต่ำกว่า 200 ล้านเต๋าโดยที่ไม่ต้องออกแรง และเมื่อรวมการป้องกันของเขาเองเข้าไปอีก 300 ล้านเต๋า มันไม่ต่างอะไรจากมดกัด
ชิงสุ่ยจึงไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธใดๆ
”เจ้าจะไม่ใช้อาวุธอะไรเลยหรือ?”ซาหลางเฟิงขมวดคิ้วขณะกล่าวถามโดยที่ตัวของเขาได้เตรียมกระบี่เอาไว้บนมือพร้อมเสร็จสรรพ
อาวุธประจำตัวของซาหลางเฟิงคือกระบี่คู่ลำตัวกระบี่อาจจะสั้นกว่าปกติ แต่ก็แลกมาด้วยความเร็วโจมตีที่เพิ่มขึ้นจึงทำให้ศาสตราวุธประเภทนี้กลายเป็นเหมือนเพชฌฆาตสำหรับเหล่ายอดยุทธที่เชื่องช้า
”ข้าจะใช้มันก็ต่อเมื่อข้าคิดว่าจำเป็นตอนนี้ข้าไม่รู้สึกว่ามันจำเป็นต้องใช้เลย เจ้าอยากโจมตีก็เข้ามา”ชิงสุ่ยใช้คำพูดกดดัน
”ถ้าเช่นนั้นก็เตรียมตัว!!”
ซาหลางเฟิงยังคงดูสงบแต่ในใจของเขารับรู้ได้ว่าชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้าไม่ใช่คนธรรมดา เขาจึงจำเป็นต้องระมัดระวัง และเสริมสร้างพลังให้กับตัวเองมากเท่าที่จะมากได้
หมาป่าจันทราคำราม!!
ซาหลางเฟิงส่งเสียงคำรามที่ไม่ได้ฟังเหมือนเสียงฟ้าร้องเสียงข่มขู่หนวกหูแต่มันเป็นเสียงที่พิเศษอย่างมากจนเหมือนเวลาถูกหยุดชั่วคราว อันที่จริงแล้วมันคือการใช้พลังปราณจิตรบกวนพวกกระแสเวลา ทำให้ศัตรูของเขาหยุดชะงัก ขัดขวางการตัดสินใจ แล้วทำให้การตอบสนองช้าลง
นี่คือทักษะสงครามที่ทรงพลังถ้าหากใช้ถูกที่ถูกเวลา เขาจะสามารถสังหารศัตรูได้ภายในกระบวนท่าเดียว นอกจากนี้เมื่อรวมกับความสามารถในการเป็นผู้สืบทอดหมาป่าจันทรา มันยิ่งทำให้การเคลื่อนที่ของเขาเป็นไปอย่างรวดเร็ว แล้วทำให้การสังหารศัตรูภายในกระบวนท่าเดียวมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า
สำหรับนักรบในตํานานที่สามารถปลุกสายเลือดหมาป่าจันทราจักรพรรดิและได้ฝึกฝนทักษะหมาป่าจันทราคำรามพวกเขาจะสามารถทำให้ศัตรูยืนงง และด้วยผลของเวลา และความแข็งแกร่ง มันจะยิ่งทำให้ความต่างชั้นของพวกเขากับศัตรูมันยิ่งห่างกว้างขึ้น ถ้าหากใครพลาดพลั้งภายในสนามรบ มันไม่ต่างอะไรจากการยืนรอความตายเลย
และแล้วชิงสุ่ยก็เปิดใช้ทักษะเบิกเนตรสวรรค์มันถึงทำให้ความเร็วในการเคลื่อนที่ของศัตรูรถช้าลง ชิงสุ่ยก็ยังคงไม่ได้ใช้ทักษะอะไรเขาใช้เพียงแค่ทักษะเบิกเนตรสวรรค์เพื่อปรับเปลี่ยนความเร็วให้เหมาะสมตามที่เขาต้องการ ส่วนกระบวนท่าไม่ว่าจะเป็นพลังปราณจักรพรรดิ หรือกระบวนท่าสังหารใดๆก็ตาม ชิงสุ่ยเชื่อว่ามันยังไม่ถึงเวลา ตราบใดที่เขายังควบคุมความเคลื่อนไหวของศัตรูได้ เขาก็จะไม่ใช้มันโดยไม่จำเป็น
ชิงสุ่ยขับเคลื่อนวิชาเพลงหมัดไทเก๊กและเตรียมแสดงการโจมตีด้วยมือเปล่า
ควับบบบบ!!
ชิงสุ่ยจับข้อมือแต่ศัตรูเองก็มีการตอบสนองอย่างรวดเร็ว เขาบิดข้อมือและเล็งกระบี่มุ่งเป้าไปที่ลำคอของชิงสุ่ยอย่างแม่นยำ และใช้มือหนึ่งมุ่งเป้าหมายจะทะลวงลูกตาชิงสุ่ยให้หลุดจากเบ้า