ตอนที่ 77 - 3 การลงมือของเขา

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]

หลังเกี้ยวหรูหราสีม่วงคือรถเกี้ยวสีเหลืองสดใสคันหนึ่ง กงอิ้นนำเกี้ยวของจิ่งเหิงปัวมาด้วย เขายังคงสงบเยือกเย็น ไม่เอ่ยวาจามากมายแม้เพียงประโยคเดียว จัดการเรื่องราวอย่างสุขุม คล้ายแน่นอนว่าพอเขามาถึง จิ่งเหิงปัวจะจากไปอย่างสบายใจได้แล้ว  

 

 

ความจริงก็เป็นแบบนี้ จิ่งเหิงปัวแสดงความเลื่อมใสอย่างแข็งกร้าวต่อบรรยากาศการควบคุมสถานการณ์ของผู้ชายคนนี้ 

 

 

พอเรื่องราวแก้ไขแบบนี้แล้ว นางก็รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย มือสังหารไม่ใช่นางชัดๆ ถ้าปล่อยไปตอนนี้ ภายหลังก่อเรื่องขึ้นมาอีกจะทำอย่างไร? 

 

 

กงอิ้นจะนึกไม่ถึงเรื่องนี้ได้อย่างไร? 

 

 

นางขมวดคิ้ว ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ แต่ยังคงตัดสินใจที่จะเคารพความเห็นของกงอิ้นก่อน อย่าสร้างปัญหาใหม่แทรกเข้ามา แล้วก่อเกิดการปะทะกันของเขากับขุนนางสำคัญใต้บัญชาอีกครั้ง  

 

 

นางประคองซย่าจื่อหรุ่ยขึ้น เมื่อก้มหน้ามองเห็นรอยแผลที่มุมปากของนาง เพลิงโทสะในใจก็พลันลุกโชนขึ้นอีกครั้ง  

 

 

มีสิทธิ์อะไรกัน? 

 

 

นางออกจากวังมาซื้อบ้านอยู่ดีๆ ไม่ได้ไปหาเรื่องใคร ไม่ได้ยั่วโมโหใคร สุดท้ายขุนนางหญิงข้างกายถูกจับตัวไป ถูกเหยียดหยาม ถูกส่งให้ลูกชายถูกส่งให้ตาเฒ่า ถูกล้อมโจมตี ถูกใส่ร้าย สุดท้ายยังต้องให้กงอิ้นออกหน้ามาประนีประนอม เสียเปรียบไอ้เฒ่าบ้ากามนั่น? 

 

 

แบบนี้นับว่าเป็นหลักทำนองคลองธรรมอะไรกัน 

 

 

นางหยุดฝีเท้าอย่างมั่นคง กัดฟันกรอด  

 

 

“ฝ่าบาท” เสียงเฉื่อยเนือยเยือกเย็นของกงอิ้นดังแว่วเข้ามา ไม่เจือด้วยความรู้สึก ทว่าฟังแล้วรู้สึกได้ถึงความเร่งเร้า  

 

 

เพลิงโทสะที่พุ่งขึ้นในศีรษะของจิ่งเหิงปัวถูกเสียงเย็นยะเยือกเสียงนี้ดับมอดไปครึ่งหนึ่งโดยพลัน ส่วนอีกครึ่งหนึ่งที่เหลืออยู่คือความลำบากใจ  

 

 

นางไม่อยากถูกใส่ร้ายกลั่นแกล้งอย่างไม่เป็นธรรม แต่ก็ไม่อยากทำให้กงอิ้นรู้สึกลำบากใจเช่นกัน  

 

 

นางรู้ว่าเขายอมทนลำบาก ยอมถอยอย่างไม่เสียดาย เพื่อให้การเมืองในราชสำนักมั่นคง เพื่อให้ราชินีเช่นนางนี้ได้ใช้ชีวิตอย่างร่มเย็นเป็นสุข 

 

 

แต่ไหนแต่ไรมาการเมืองต่างไม่ใช่การใช้แรงออกหมัดโจมตีให้โลหิตกระเซ็นทั่วทิศ ทว่าคือการบุกประชิดและการหยั่งเชิง คือการประนีประนอมและการคุกคาม คือการยอมอ่อนข้อและการวางกลอุบาย ไม่ใช้ความถูกผิดในการอนุมาน ไม่ใช้การได้เปรียบเสียเปรียบภายนอกในการคิดคำนวณ  

 

 

เรื่องบางเรื่อง เจ้าอาจจะรู้แน่ชัดว่าเรื่องไม่ได้เป็นแบบนั้น ทว่าเจ้าทำได้เพียงยอมรับว่าเรื่องเป็นแบบนั้น กลืนฟันที่ร่วงออกมาไปพร้อมโลหิตเสียก่อน พอมีโอกาสค่อยโจมตีศัตรูกลับคืน  

 

 

นี่คือหลักการที่กงอิ้นเคยสอนนาง ตอนได้ฟังนางเพียงแค่หัวเราะเหอะๆ หนึ่งครั้ง พอประชิดใกล้เบื้องหน้าอย่างแท้จริง ถึงกลับได้พบว่ายากเย็นเช่นนี้ ยากเย็นเช่นนี้นี่เอง  

 

 

ทั่วร่างของนางสั่นเทาเล็กน้อย หันหน้าครั้งหนึ่งมองดูเกี้ยวของกงอิ้น เขายังคงไม่ได้ออกมาจากเกี้ยว ม่านสยายแน่นหนัก นิ้วมือที่วางอยู่บนเข่าไร้ซึ่งสีโลหิต  

 

 

ในใจของนางสั่นสะท้าน พลันนึกถึงท่าทางอ่อนโยนแผ่วเบายามที่มือของเขาช่วยตนเองสระผม  

 

 

เขาก็เคยเปลี่ยนแปลงเพื่อตนเอง  

 

 

แล้วเหตุใดนางถึงไม่ควรยอมถอยเพื่อเขา? 

 

 

ช่างเถอะ… 

 

 

นางสูดหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนจะเบนสายตาออก ใช้แรงประคองซย่าจื่อหรุ่ยขึ้นมา อีชีจะเข้ามาประคองกลับถูกนางผลักออกไปอย่างรำคาญ  

 

 

ฝูงชนถอยห่างเป็นเส้นทางสายหนึ่งในทันที โค้งกายคำนับเล็กน้อย ทั้งๆ ที่จิ่งเหิงปัวเดินอยู่ท่ามกลางฝูงชนเช่นนี้ แต่กลับรู้สึกว่าโกรธแค้นและอัปยศอดสู 

 

 

นางรู้สึกถึงสายตาที่แฝงความนัยไม่กระจ่างของทุกคน ในสายตานั้นคล้ายมีอักษรเขียนไว้ว่า ‘มือสังหาร’! 

 

 

จ้าวซื่อจื๋อถอยออกไปที่ริมฝั่งถนน คล้ายรู้สึกว่าไม่พอใจเช่นกัน เสียงที่ไม่สูงไม่ต่ำซ้ำยังเจือด้วยเสียงหัวเราะแว่วสู่ข้างหูทุกผู้คน 

 

 

“เอ่ยขึ้นมาแล้วฝ่าบาทก็ทรงชอบล้อเล่นยิ่งนัก ประเดี๋ยวตรัสว่าทรงเป็นอนุภรรยาของราชครูเหยียลี่ว์ ประเดี๋ยวตรัสว่าทรงเป็นภรรยาของผู้อื่น สุดท้ายแล้วทำให้พวกเราตกอกตกใจกันเสียยกใหญ่ นึกไม่ถึงว่าราชินีผู้สง่างามของต้าฮวงเราจะทรงยอมลดพระเกียรติยศเช่นนี้ ฮ่าๆ” 

 

 

ภายในเกี้ยวนิ้วมือของกงอิ้นขยับเพียงครั้ง  

 

 

จิ่งเหิงปัวหันขวับมาทันที  

 

 

ฮ่าๆ น้องแกสิฮ่าๆ! 

 

 

“ฝ่าบาท!” 

 

 

เสียงเรียกเย็นยะเยือกและหนักแน่นของกงอิ้นคล้ายดังขึ้นอยู่ข้างหู ในขณะเดียวกันนั้นเองเรือนร่างของจิ่งเหิงปัวก็พุ่งขึ้นไปข้างหน้าอย่างควบคุมไม่ได้ พุ่งเข้าสู่ม่านเกี้ยวที่เลิกออกแล้ว  

 

 

นางล้มนั่งลงบนที่นั่งดังพลั่ก กลิ้งครั้งหนึ่งแล้วลุกขึ้นมา ถลึงตาใส่เกี้ยวของกงอิ้นที่อยู่ข้างหน้าอย่างโกรธแค้น  

 

 

ตอนนี้นางอยากจะต่อยจ้าวซื่อจื๋อสักรอบก่อน แล้วค่อยต่อยเขาอีกสักรอบ! 

 

 

“ฝ่าบาทเสด็จ!” เสียงของราชองครักษ์รวดเร็วซ้ำยังแหลมคม คล้ายจะทะลุผ่านแก้วหูของมนุษย์ ม่านสยายลง ตัดขาดแววตาสืบเสาะจากภายนอกกับแววตาโกรธแค้นของนาง  

 

 

หน้าอกของจิ่งเหิงปัวหอบหายใจจนขึ้นลง ยกมือคว้าม่านไว้ ม่านแพรไหมหนาหนักถูกนิ้วมือเปี่ยมเรี่ยวแรงของนางขยี้จนกลายเป็นรอยจีบยับย่นผืนหนึ่ง  

 

 

ไม่ได้! 

 

 

ขืนไปแบบนี้ต้องมีเรื่องร้ายตามมาแน่นอน! 

 

 

กงอิ้นไม่รู้ว่ายังมีศัตรูที่แอบซ่อนอยู่! 

 

 

ไม่ได้ นางจะ… 

 

 

สวบ 

 

 

เรือนร่างของนางเพิ่งขยับเขยื้อน ที่ข้างหลังก็มีแผ่นเหล็กสองท่อนเด้งออกมากะทันหัน โอบล้อมเรือนร่างกำลังจะกระโจนขึ้นของนางทั้งสองฝั่งปานฟ้าแลบ กลัดเข้าด้วยกันบริเวณเอวนางดังเพียะเสียงหนึ่ง รัดท้องนางไว้ลากไปข้างหลัง  

 

 

นางถูกแผ่นเหล็กสองท่อนนั้นลากกลับไปล้มลงบนที่นั่งดังเพียะเสียงหนึ่ง พอแผ่นเหล็กหดกลับไปแล้วติดค้างแน่นิ่ง นางขยับเขยื้อนไม่ได้แม้แต่นิดเดียว  

 

 

จิ่งเหิงปัวตื่นตกใจ…ภายในเกี้ยวมีกับดัก! 

 

 

นางกำลังอยากร้องตะโกนเตือนสติกงอิ้น แต่หลังคาเกี้ยวก็มีเสียงดัง แผละ เสียงหนึ่ง ผ้าเช็ดมือชุ่มชื้นผืนหนึ่งร่วงลงมา ไม่เอนเอียงไม่บิดเบี้ยว ปิดปากของนางไว้  

 

 

ผ้าเช็ดมือนั้นหนักเหลือเกิน นางพยายามพ่นก็พ่นไม่ออก คราวนี้ทั้งขยับไม่ได้ทั้งร้องไม่ได้ ในใจของจิ่งเหิงปัวรู้สึกร้อนรนอย่างยิ่ง กลัวว่าของเหลวบนผ้าเช็ดมือผืนนี้คือสารพิษ พยายามถุยออกไปหลายครั้งกลับพบว่าไร้ซึ่งความเคลื่อนไหว ซ้ำยังไม่มีความรู้สึกย่ำแย่อะไร ของเหลวบนผ้าเช็ดมือถึงขนาดเย็นสบายเจือกลิ่นหอม คล้ายกลิ่นหอมที่กงอิ้นมักจะใช้อยู่บ้างเล็กน้อย 

 

 

ความรู้สึกนี้ทำให้นางจิตใจสงบขึ้นฉับพลัน นางกลอกตาไปมา ในใจรู้สึกสงสัย…หรือว่าเป็นกงอิ้นจริง? เขาจะทำอะไร? 

 

 

… 

 

 

“ยกเกี้ยว” กงอิ้นคล้ายไม่รู้ความเคลื่อนไหวในเกี้ยวของจิ่งเหิงปัวด้วยซ้ำ และคล้ายไม่คิดจะหยุดพัก สั่งอย่างเฉื่อยเนือยเสียงหนึ่ง เกี้ยวจึงยกขึ้น  

 

 

จ้าวซื่อจื๋อรีบเร่งก้าวขึ้นไปน้อมส่ง ในใจเขาทั้งฮึกเหิมทั้งว้าวุ่นใจกับสัญญาของกงอิ้น ตั้งใจหวังให้กงอิ้นหยุดพักอีกสักหน่อย เอ่ยวาจากันอีกสักหน่อย ทำให้จิตใจเขาสงบลงสักหน่อย จึงเข้าใกล้ข้างม่านเกี้ยวของกงอิ้นในฉับพลัน ยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “ข้าน้อยอยากจะไปรายงานตัวกลับไปปฏิบัติหน้าที่ในวันรุ่งขึ้น ไม่รู้ว่าราชครูคิดว่าเหมาะสมหรือไม่” 

 

 

กงอิ้นยกมือขึ้น เกี้ยวหยุดลง เขาสนทนากับจ้าวซื่อจื๋อ เหมิงหู่กับอวี่ชุนจัดการให้องครักษ์คั่งหลงและทหารของสำนักตี้เกอถอยออกนอกจวนก่อน จัดวางกำลังป้องกันตลอดเส้นทางตามระเบียบปฏิบัติ  

 

 

ยามที่ทหารกับองครักษ์เหล่านี้ถอยออกไป จำต้องเดินผ่านรถเกี้ยวของกงอิ้น  

 

 

กองทัพทหารคั่งหลงเงียบงันน่าเกรงขาม เดินผ่านไปปานธารหลาก  

 

 

กงอิ้นกำลังสนทนากับจ้าวซื่อจื๋อผ่านม่านเกี้ยว  

 

 

ทหารจากสำนักตี้เกอเดินผ่านข้างเกี้ยวภายใต้การนำพาของขุนนางสำนัก 

 

 

เกี้ยวของกงอิ้นไม่ได้ขยับเขยื้อน เขากำลังสนทนากับจ้าวซื่อจื๋อ  

 

 

ถัดมาคือองครักษ์ของจวนตระกูลจ้าว นอกจากนี้ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งติดตามอยู่ท้ายสุด คนกลุ่มนั้นคือเฉินเถี่ยซื่อจื่อที่อยู่ข้างจวนรวมทั้งองครักษ์ด้วย  

 

 

ทั้งสองตระกูลเป็นสหายข้างจวน เฝ้าสังเกตการณ์และช่วยเหลือกันเป็นเรื่องปกติ ยามนี้พวกเขาปรากฏกายที่นี่ พวกเหมิงหู่ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน ยังคงเชิญพวกเขาเดินถอยออกไปก่อนตามเดิม หลบหลีกเส้นทางของฝ่าบาทกับราชครู  

 

 

คลื่นมนุษย์ผ่านไปทีละกลุ่มทีละก้อน 

 

 

เหยียลี่ว์ฉีเดินอมยิ้มผ่านไป พวกเหมิงหู่ขวางอยู่หน้าเกี้ยวของจิ่งเหิงปัวคล้ายตั้งใจแลมิได้ตั้งใจ ทว่าเหยียลี่ว์ฉีไม่ได้เข้าใกล้เช่นกัน เพียงยิ้มแย้ม รอยยิ้มมีความประหลาดหลายส่วน  

 

 

กงอิ้นกับจ้าวซื่อจื๋อกำลังสนทนากัน  

 

 

พวกอีชีเจ็ดคนทะเลาะวิวาทกันเข้ามา ทั้งเจ็ดคนถกเถียงกันหวังจะนั่งเกี้ยวของจิ่งเหิงปัวสักหน่อย เพื่อแย่งชิงว่าผู้ใดจะได้นั่งก่อนจึงวิวาทกันขึ้นมา วิวาทกันไปวิวาทกันมาจนออกนอกจวนไปแล้ว  

 

 

กงอิ้นเอ่ยวาจากับจ้าวซื่อจื๋อโดยตลอด รอยยิ้มของจ้าวซื่อจื๋อยิ่งเบิกบานมากขึ้น ช่วงเอวยิ่งโค้งมากขึ้น ร่างกายประชิดใกล้มากยิ่งขึ้น 

 

 

ทุกผู้คนต่างเดินผ่านข้างเกี้ยวของกงอิ้น กงอิ้นกับจ้าวซื่อจื๋อค่อยๆ ไร้วาจาให้สนทนาเช่นกัน ม่านเกี้ยวใกล้จะสยายลงมาแล้ว 

 

 

กงอิ้นพลันเอ่ยว่า “ใต้เท้าจ้าว ฮูหยินที่เคารพสิ้นชีพผิดธรรมชาติ ยามนี้ยังมีเลศนัย ให้เปิ่นจั้วมองดูบาดแผลได้หรือไม่” 

 

 

ยามนี้ไม่ว่าเขาจะเอ่ยวาจาใด จ้าวซื่อจื๋อย่อมเห็นดีเห็นงามด้วยทั้งนั้น รีบเร่งเอ่ยว่า “ขอรับ เกรงเพียงว่าจะแปดเปื้อนสายตาของราชครู” ว่าพลางสั่งให้คนยกศพของฮูหยินขึ้นไป  

 

 

เหมิงหู่ใช้ตะขอทองคำเกี่ยวม่านเกี้ยวขึ้น กงอิ้นมองดูซากศพบนพื้นปราดเดียว หนามสามเหลี่ยมแหลมสองฝั่งหนามนั้นแทงทะลุหน้าอกฮูหยินจ้าว เปล่งประกายแสงสีครามม่วง  

 

 

กงอิ้นเฉียดสายตาผ่านปราดเดียว พลันกระซิบว่า “ขึ้น!” 

 

 

ฉึ่ก! เสียงหนึ่ง หนามแหลมสีครามม่วงหนามนั้นแทงทะลุออกจากร่างกายของฮูหยินจ้าวโดยพลัน พุ่งสู่ท้องฟ้าดังฟิ้วเสียงหนึ่ง  

 

 

“แตก!” 

 

 

ระหว่างที่ริมฝีปากกงอิ้นเอ่ยอย่างเย็นชาเสียงหนึ่ง ทว่าดุจแจกันเงินแตกกระจาย! 

 

 

เพียะ! เสียงหนึ่ง หนามสามเหลี่ยมที่ล่องลอยอยู่กลางอากาศระเบิดแหลกละเอียด! เศษเสี้ยวสีครามม่วงผืนหนึ่งผนึกแน่นทั่วท้องนภา! ดุจท้องฟ้าพลันเกิดฝนพรำสีครามม่วง 

 

 

“ไป!” 

 

 

ยามเสียงที่สามเปล่งออกมา สายลมรุนแรงพลันก่อตัว เศษเสี้ยวสีครามม่วงผืนใหญ่ผืนหนึ่งซึ่งถูกบดขยี้จนแหลกละเอียดออกมานั้น พุ่งเหินทั่วสารทิศโดยพลัน! 

 

 

ท้องฟ้าสีครามม่วงผืนนั้นได้แผ่คลุมเหยียลี่ว์ฉี องครักษ์จวนตระกูลจ้าว เฉินเถี่ยซื่อจื่อรวมทั้งเหล่าองครักษ์ด้วย! 

 

 

หนามสามเหลี่ยมอาบพิษยางน่อง หลังจากถูกบดละเอียดกลายเป็นผง ขอบเขตการสังหารได้เพิ่มมากขึ้น จินตนาการได้เลยว่าหากสัมผัสเพียงเสี้ยวเดียว ไม่สิ้นชีพคงบาดเจ็บสาหัส! 

 

 

สายลมรุนแรงสะบัดม่านเกี้ยวของจิ่งเหิงปัวขึ้น นางที่ติดอยู่บนที่นั่งมองเห็นทันทีว่าฝนพรำสีครามม่วงข้างหน้าสาดย้อมโปรยปรายทางฝูงชนผืนนั้น 

 

 

มองเห็นพวกเหมิงหู่จ้องมองฝูงชนเขม็งด้วยแววตาแพรวพราว  

 

 

มองเห็นคนส่วนใหญ่ยังตะลึงงันอยู่ตรงนั้นยังไม่ทันได้รู้สึกตัวขึ้นมา  

 

 

มองเห็นกลางฝูงชนมีคนยื่นมือเข้าอ้อมแขน… 

 

 

“มา!” กระซิบเสียงหนึ่ง เงาขาวกะพริบวูบ กงอิ้นออกจากเกี้ยวในที่สุด! 

 

 

ร่างกายเขาเพิ่งเฉียดออกมา แล้วถีบจ้าวซื่อจื๋อที่ยังงงงันอยู่หน้าเกี้ยวเขาล้มลงในเท้าเดียว! 

 

 

จ้าวซื่อจื๋อเพิ่งล้มลงดังพลั่ก แสงขาวสายหนึ่งพลันกะพริบออกมาจากใต้คานขวางรถเกี้ยวของกงอิ้นดัง ฟิ้ว! เสียงหนึ่ง ส่งเสียงคำรามเฉียดผ่านหน้าอกของจ้าวซื่อจื๋อ 

 

 

เหมิงหู่พลันไล่ตามแสงขาวไป