ไม่นานก็มาถึงหน้าประตูวังหลวง รถม้าหยุดลง ฉินอวี้ลงจากรถม้า
ขุนนางกลุ่มหนึ่งรออยู่หน้าวังก่อนแล้ว เมื่อเห็นฉินอวี้มาถึงก็ก้าวขึ้นมาทำความเคารพ “องค์รัชทายาท”
ฉินอวี้มองไล่ทีละคนพร้อมพยักหน้ารับเชื่องช้า หลังจากนั้นก็กวักมือเรียกขันทีน้อยที่รออยู่คนหนึ่งมา “ไปยกเกี้ยวมาหนึ่งหลัง”
“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีน้อยรีบออกไป
ฉินอวี้เดินมาหยุดหน้ารถม้าเซี่ยฟางหวาแล้วเอ่ยขึ้น “เจ้ายังไม่หายดี ข้าให้คนไปยกเกี้ยวมาหลังหนึ่งแล้ว ให้เจ้านั่งแทนการเดิน” หยุดชั่วครู่แล้วเอ่ยถามเสียงทุ้มต่ำ “เจ้าจะไปพบเสด็จพ่อที่ตำหนักบรรทม หรือให้ข้าจัดหาที่พักให้เจ้าในตำหนักข้าก่อน”
“ไปพบฝ่าบาทกับเจ้าก่อน” เซี่ยฟางหวาตอบ
“ได้” ฉินอวี้พยักหน้า
ขุนนางทั้งหมดยืนอยู่ด้านข้าง แม้มิได้เห็นใบหน้าของเซี่ยฟางหวา แต่ก็ได้ยินเสียงของนางดังออกมาจากข้างในรถม้า ต่างตกใจโดยพร้อมเพรียงกัน ทว่าก็ทราบดีว่ามิควรถาม ไม่มีผู้ใดส่งเสียงขึ้นมา ต่างถอยหลังไปอยู่ด้านข้าง
เสนาบดีฝ่ายซ้ายกับหย่งคังโหวมองหน้ากัน เป็นเซี่ยฟางหวาดังคาด
ไม่นานเกี้ยวหลังหนึ่งก็ถูกยกมา ฉินอวี้ก้าวขึ้นมาเลิกม่านด้วยตนเอง ก่อนยื่นมือประคองเซี่ยฟางหวาลงจากรถม้า
เซี่ยฟางหวาชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนวางมือทับลงบนฝ่ามือเขา ปล่อยให้เขาประคองลงจากรถ
ขุนนางทุกคนก้มหน้าลงอย่างพร้อมเพรียง
ฉินอวี้ประคองเซี่ยฟางหวาขึ้นเกี้ยว ก่อนออกคำสั่งบอกคนยก “ไปตำหนักบรรทมฮ่องเต้”
คนยกเกี้ยวรับคำพร้อมกัน ยกเกี้ยวตามหลังฉินอวี๋ผ่านประตูวังไป มุ่งหน้าไปยังตำหนักบรรทมฮ่องเต้
เหยียนเฉินเดินตามเกี้ยวอยู่ข้างหลัง
บรรดาขุนนางมองหน้ากันและกัน ก่อนพากันเข้าไปในวังด้วยเช่นกัน ตอนนี้อยู่ในช่วงเวลาพิเศษ พวกเขาย่อมมิอาจกลับจวนไปพักผ่อนได้ ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้เช้าหนานฉินอาจเปลี่ยนฟ้าแล้ว
หน้าตำหนักบรรทม อิงชินอ๋อง เสนาบดีฝ่ายขวา ผู้ทรงคุณวุฒิสำนักวิชาขั้นสูงฮั่นหลิน ผู้ตรวจการและคนอื่นๆ เฝ้าอยู่นอกตำหนัก แม้ฝ่าบาทมิทรงเรียกเข้าเฝ้า แต่คนเหล่านี้ก็เฝ้ามาตลอดหนึ่งวันเต็มแล้ว มิเคยผละไปไหน
วังหลวงปกคลุมไปด้วยบรรยากาศที่แสนจะน่าอึดอัด
เมื่อฉินอวี้มาถึงหน้าตำหนักบรรทม พวกอิงชินอ๋องเห็นแล้วก็รีบเข้ามาทำความเคารพ
“ท่านลุง เสนาบดีฝ่ายขวา ใต้เท้าหวาง ใต้เท้าเจิ้ง ลำบากพวกท่านแล้ว” ฉินอวี้รอจนทุกคนทำความเคารพเสร็จก็ทำความเคารพตอบ
“กลับมาก็ดีแล้ว” อิงชินอ๋องกล่าวด้วยเคร่งเครียด
“รัชทายาท ฝ่าบาททรงกำลังรอท่านอยู่ รีบเข้าไปเถิด” เสนาบดีฝ่ายขวากล่าว
เวลานี้อู๋เฉวียนก็เดินออกมาจากข้างในด้วยความรีบร้อน “กระหม่อมถวายบังคมรัชทายาท ในที่สุดก็ทรงกลับมาแล้ว”
“เสด็จพ่อเป็นเช่นไรบ้าง” ฉินอวี้ถาม
“ยามนี้ฝ่าบาทยังบรรทมอยู่พ่ะย่ะค่ะ เมื่อช่วงบ่ายทรงตื่นมาครั้งหนึ่ง ตรัสถามว่าพระองค์กลับมาหรือยัง” อู๋เฉวียนรีบกล่าว “ทรงรีบเข้าไปเถิด”
ฉินอวี้พยักหน้า ก่อนหันกลับไปเลิกม่านบนเกี้ยว
เซี่ยฟางหวายื่นศีรษะออกมาแล้วลงจากเกี้ยว
“หวาเอ๋อร์” อิงชินอ๋องเห็นเซี่ยฟางหวาก็ตกใจ
พวกเสนาบดีฝ่ายขวาต่างมึนงง
“ท่านอ๋อง นายท่านเสนาบดี ใต้เท้าทั้งสองท่าน” เซี่ยฟางหวาย่อเข่าทำความเคารพ
พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อรอจนนางทำความเคารพเสร็จก็รีบก้าวขึ้นมาประคองนางยืดตัวขึ้น
“เจ้า…นี่เจ้า…” อิงชินอ๋องมองนาง ชั่วเวลานั้นอยากถามบางสิ่ง ทว่ายามได้ยินนางเอ่ยเรียกว่าท่านอ๋องขณะทำความเคารพก็ทำได้เพียงมองนางด้วยความอึดอัด ตกใจระคนสงสัยไม่หาย
“ไปกันเถิด” ฉินอวี้บอก
เซี่ยฟางหวาพยักหน้าก่อนตามฉินอวี้เข้าไปในตำหนักโดยมีซื่อฮว่ากับซื่อม่อประคอง
อู๋เฉวียนอ้าปากค้าง อยากกล่าวบางอย่างคล้ายอยากเอ่ยห้าม ทว่าเห็นใบหน้าของฉินอวี้ที่เดินอยู่ข้างหน้าก็ปิดปากลง
ภายในตำหนักบรรทมอบอวลไปด้วยกลิ่นยา ม่านสีทองอร่ามบดบัง ด้านในไม่มีผู้ใดแม้แต่คนเดียว ฮ่องเต้ทรงกำลังบรรทมอยู่บนแท่นบรรทม หลับตาลงอย่างสงบนิ่ง
ฉินอวี้เร่งฝีเท้าเดินมายังหน้าแท่นบรรทม ยื่นมือไปกุมพระหัตถ์ของฮ่องเต้ก่อนคุกเข่าลงกับพื้น กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “เสด็จพ่อ ลูกกลับมาแล้ว”
เซี่ยฟางหวาหยุดเท้า ยืนเว้นระยะห่างจากแท่นบรรทมสามก้าว
ลมหายใจของฮ่องเต้ยุ่งเหยิง นอนนิ่งมิขยับ
“เสด็จพ่อ ท่านตื่นเถิด” ฉินอวี้เริ่มมีดวงตาแดงก่ำ กุมพระหัตถ์ฮ่องเต้แน่น
ฮ่องเต้ยังคงนิ่งมิไหวติง หลับลึกมิได้สติ
ฉินอวี้ส่งเสียงเรียกอีกสองครั้งทว่าพระองค์ก็ยังไม่ตื่น จึงหันกลับมามองเซี่ยฟางหวา
เซี่ยฟางหวามองภาพหน้าเตียง ฮ่องเต้ผอมซูบจนมิเหลือเค้าโครงเดิม ทรงนอนอยู่บนแท่นบรรทม ลมหายใจยุ่งเหยิงขมุกขมัว นางเดินเข้ามาพร้อมหยิบผ้าเช็ดออกมาด้วย บอกเป็นนัยน์ให้ฉินอวี้ปล่อยมือ
ฉินอวี้รีบปล่อยมือออก
เซี่ยฟางหวาวางผ้าเช็ดหน้าคลุมพระหัตถ์ของฮ่องเต้ ก่อนตรวจชีพจรให้พระองค์
ฉินอวี้มองการแสดงออกของนางตาไม่กะพริบ
สีหน้าของเซี่ยฟางหวาเรียบสงบมิสั่นคลอน ผ่านไปพักหนึ่งนางก็ถอนมือออก กล่าวกับฉินอวี้ “ปราณในพระนาภีลดลงและเคลื่อนสวนทางกัน พระโลหิตในหัวใจแห้งขอด ประชวรหนักเกินเยียวยา”
ฉินอวี้มีสีหน้าเปลี่ยนไป
“มากสุดคงมิพ้นยามอู่*[1]วันพรุ่งนี้” เซี่ยฟางหวากล่าวอีก
ใบหน้าฉินอวี้สิ้นหวัง ร่างกายอ่อนยวบทรุดลงกับพื้นทันที
เซี่ยฟางหวามองเขา สุดท้ายแล้วก็เป็นพ่อลูกกันโดยสายเลือด ฉินอวี้ไม่ว่าไม่เห็นด้วยกับฮ่องเต้ทั้งต่อหน้าและลับหลังอย่างไร พระองค์ก็ยังเป็นบิดาของเขา และเขาก็ยังเป็นโอรสของพระองค์ ต่อให้กระดูกหักเส้นเอ็นขาด แต่ต้องมองดูฮ่องเต้ทรงประชวรหนักจนไร้ทางรักษา หัวใจเขามีหรือจะรับไหว
นางถอยกลับมาสองก้าว นั่งลงบนตั่งตัวเตี้ยไม่ไกล
ฉินอวี้นั่งลงบนพื้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้า นิ่งมิไหวติง
อู๋เฉวียนก้าวขึ้นอย่างเงียบเชียบ ก่อนกล่าวเสียงทุ้มต่ำ “รัชทายาท บนพื้นเย็นนัก โปรดระวังสุขภาพด้วย”
ฉินอวี้ยกมือกุมหน้าผาก น้ำเสียงจุกอยู่ในลำคอ “ฟางหวา เสด็จพ่อจะทรงตื่นมาเมื่อไร”
“ข้าเองก็มิทราบ” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า มองออกไปข้างนอกแวบหนึ่งพบว่าท้องฟ้ามืดลงแล้ว แสงสว่างภายในห้องเริ่มลดลง อิงชินอ๋อง เสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวา และพวกหย่งคังโหวต่างรออยู่นอกตำหนัก นางเอ่ยขึ้น “ยามตื่นขึ้นมาอีกครั้ง น่าจะเป็นหลังตะวันตกดินแล้ว”
ฉินอวี้หลับตาลง โน้มกายไปข้างหน้าฟุบลงกับหัวเตียง ไม่เอ่ยคำใดขึ้นอีก
เซี่ยฟางหวานั่งมองฉินอวี้กับฮ่องเต้ที่ทรงนอนหายใจลำบากอยู่บนแท่นบรรทมจากที่ไกลๆ ชาติก่อนในตอนนี้ ฝ่าบาทยังทรงพลานามัยแข็งแรง น่าเกรงขามอย่างยิ่ง ทว่าชาตินี้กลับยังเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว นางมองภาพเบื้องหน้าโดยไร้ซึ่งความรู้สึกดีใจ ภายในใจเกิดความสับสน มิทราบว่าเป็นความรู้สึกแบบใด
ขุนนางที่กำลังรออยู่ด้านนอกเงี่ยหูฟังการเคลื่อนไหวข้างใน ทว่ากลับไร้การเคลื่อนไหวใดทั้งนั้น ต่างสะกดกลั้นความร้อนรนเอาไว้
โดยมิรู้ตัวเวลาก็เลยผ่านไปถึงกลางดึก
“รัชทายาท ดึกมากแล้ว บนพื้นยิ่งเย็นขึ้น ทรงลุกขึ้นเถิดพ่ะย่ะค่ะ หากพระองค์ตากลมหนาวจนล้มป่วยขึ้นมาอีกคน เมื่อฝ่าบาททรงตื่นมาเห็นเข้าคงปวดพระทัย” อู๋เฉวียนก้าวขึ้นมาโน้มน้าวฉินอวี้อีกครั้ง
ฉินอวี้ขยับตัว เงยหน้าขึ้นเชื่องช้า มองไปยังเซี่ยฟางหวาเป็นอันดับแรก
เซี่ยฟางหวานั่งอยู่ที่เดิมตลอดเวลา เห็นว่าฉินอวี้มองมาจึงมองตอบ รอบดวงตาฉินอวี้ผ่านการร้องไห้อย่างเงียบเชียบมาจนบวมช้ำ
“ดึกมากแล้ว ตั้งแต่คืนเมื่อวานจนถึงตอนนี้ เจ้ายังมิได้กินดื่มนอนหลับอย่างดี ร่างกายไหนเลยจะฝืนต่อไปไหว ข้าจะให้คนพาเจ้าไปพักผ่อน” ฉินอวี้กล่าว
เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า
“จากอาการเสด็จพ่อตอนนี้แล้วคงมิตื่นขึ้นมาเร็วๆ นี้ เมื่อพระองค์ตื่นแล้ว ข้าจะรีบส่งคนไปบอกเจ้าเป็นเช่นไร” ฉินอวี้มองนางแล้วกล่าวอีก
เซี่ยฟางหวายังคงส่ายหน้า
ฉินอวี้เม้มปาก “ในเมื่อเจ้ามิยอมไปก็เอาอย่างนี้แล้วกัน…” เขาหันกลับไปสั่งงานอู๋เฉวียน “อู๋กงกง เจ้าไปจัดเตรียมมื้อดึกมา ขอให้เป็นอาหารที่รสอ่อนหน่อย”
“พ่ะย่ะค่ะ” อู๋เฉวียนหันหลังเดินออกไปได้สองก้าว ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้จึงกล่าวด้วยความระวัง “ท่านอ๋อง เสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวา รวมถึงใต้เท้าทุกท่านต่างรออยู่นอกตำหนักตลอดเวลา ท่านคิดว่า…”
“ฟางหวาบอกแล้ว เสด็จพ่อทรงทนไหวถึงยามอู่วันพรุ่งนี้ น่าจะมิได้เร็วขนาดนั้น…” น้ำเสียงของฉินอวี้แหบพร่า ก่อนยกมือสั่ง “เจ้าออกไปบอกท่านลุงกับใต้เท้าทุกท่านว่ากลับจวนไปพักผ่อนก่อนเถิด พรุ่งนี้เช้าค่อยมาใหม่”
“พ่ะย่ะค่ะ” อู๋เฉวียนรับคำก่อนเดินออกไป
เมื่ออู๋เฉวียนออกมา พวกอิงชินอ๋องก็รีบเดินเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลัง เขาถ่ายทอดความตั้งใจของฉินอวี้ให้ฟังรอบหนึ่ง ทุกคนมองหน้ากันแล้วพยักหน้ารับ ก่อนพากันเดินออกไปนอกวัง
อิงชินอ๋องกลับยืนนิ่ง รั้งอู๋เฉวียนเอาไว้ก่อน “กงกง สถานการณ์ข้างในเป็นเช่นไรบ้าง เจ้าบอกข้าหน่อย”
“ตั้งแต่ฝ่าบาททรงตื่นมายามอู่เมื่อวานก็ไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย สลบไสลไม่ได้สติ รัชทายาทคุกเข่าเฝ้าอยู่หน้าแท่นบรรทมฝ่าบาทตลอดเวลา คุณหนูฟางหวานั่งอยู่บนตั่งตัวเตี้ย คุณหนูฟางหวาตรวจชีพจรให้ฝ่าบาทครั้งหนึ่ง บอกว่ามากสุดคงไม่พ้นยามอู่วันพรุ่งนี้ขอรับ” อู๋เฉวียนตอบเสียงเบา
อิงชินอ๋องมีสีหน้าเปลี่ยนไป “ยามอู่พรุ่งนี้…ยามอู่พรุ่งนี้ออกจะ…” ระหว่างพูด ดวงตาก็เริ่มแดงก่ำ “น้องชายอายุน้อยกว่าข้าไม่กี่ปี กลับ…” เขาอยากกล่าวบางอย่างทว่ากล่าวไม่ออก
“ท่านอ๋องเฝ้าอยู่ข้างนอกมาตั้งแต่เช้าเมื่อวานแล้ว หนึ่งวันครึ่งคืนแล้วนะขอรับ ท่านกลับไปพักผ่อนก่อนเถิด หากตอนนี้ท่านเหนื่อยล้าขึ้นมา เช่นนั้นหลังวันพรุ่งนี้จะเป็นเช่นไร หลังพรุ่งนี้ยังมีเรื่องมากมายต้องจัดการนะขอรับ” อู๋เฉวียนบอก
อิงชินอ๋องพยักหน้า เดินโซซัดโซเซออกจากตำหนักไป
อู๋เฉวียนมองแผ่นหลังอิงชินอ๋องจากไปไกลราวกับแก่ลงหลายปี เขาถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง
[1] *ยามอู่ ช่วงเวลา 11:00 น. – 13:00 น.