บทที่ 483 มหาเวทย์สูบโลหิต

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

บทที่ 483 มหาเวทย์สูบโลหิต

ในขณะที่บินไปยังเมืองวิญญาณโลหิต ทุกคนที่อยู่ในรถม้าก็สังเกตเห็นว่าพลังวิญญาณที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็กำลังไหลเข้าไปยังร่างกายหลิงตู้ฉิง

ทุกคนมองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยความประหลาดใจ

โดยปกติแล้ว หลิงตู้ฉิงจะดูดซับพลังวิญญาณอยู่ตลอดเวลา ซึ่งคนที่อยู่ใกล้กับเขาส่วนใหญ่จะไม่มีใครสัมผัสได้ถึงมันสักเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ทุกคนในรถม้ากลับสามารถสัมผัสมันได้อย่างชัดเจน

เหตุการณ์นี้มันทำให้ทุกคนรู้สึกงุนงง พวกเขาต่างสงสัยว่าหลิงตู้ฉิงฝึกอะไรกันแน่

แม้แต่เย่ชิงเฉิงก็รู้แค่ว่า หลิงตู้ฉิงบ่มเพาะโดยใช้อารมณ์ในการขับเคลื่อน แต่นางก็ยังไม่รู้ถึงรายละเอียดมันอยู่ดี

แต่แน่นอนว่าถึงแม้นางจะไม่รู้รายละเอียดของวิธีการบ่มเพาะที่หลิงตู้ฉิงใช้ แต่นางก็มีความสุขเมื่อได้เห็นพลังวิญญาณกำลังไหลเข้าสู่ร่างกายของหลิงตู้ฉิงอย่างรุนแรง

ถึงแม้ว่าเขาจะต้องการพลังวิญญาณจำนวนมากกว่าคนปกตินับหมื่นนับพันเท่า แต่เขาก็ควรจะทะลวงขอบเขตได้อยู่ดี หากเขายังคงสะสมพลังวิญญาณต่อไปอย่างต่อเนื่องแบบนี้ใช่ไหม?

ทางด้านของหลิงตู้ฉิง ในตอนนี้กำลังคิดถึงเรื่องอื่น

เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า ลั่วต๋าและเหวยชี่หมิงจะรู้สึกขอบคุณเขาถึงขนาดนั้น กับคำพูดสบาย ๆ เพียงไม่กี่คำที่เขาเอ่ยออกไป

ประโยคที่พวกเขาพูดออกไปมันสำคัญขนาดนั้นได้ยังไง?

สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือแค่เพียงประโยคเดียวที่เอ่ยออกไปมันกลับสามารถทำให้ความขัดแย้งระหว่างสองตระกูลได้รับการแก้ไขในทันที แถมยังช่วยให้ชีวิตของผู้คนจำนวนมากจากทั้งสองตระกูลไม่ต้องล้มตายจากการต่อสู้กันเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ลั่วต๋าและเหวยชี่หมิงจะไม่รู้สึกขอบคุณได้อย่างไร?

ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เขาคิดก็คือ หลังจากไปถึงเมืองวิญญาณโลหิต เขาจะต้องไปสะสางปัญหาของสำนักวิญญาณโลหิตที่เขาเคยสร้างไว้เมื่อหลายหมื่นปีก่อนหน้านี้

ในครั้งนั้น สำนักวิญญาณโลหิตเป็นเพียงผู้สมรู้ร่วมคิดเท่านั้น ซึ่งเวลาที่พวกเขาได้รับโทษทัณฑ์มันก็ผ่านมาหลายหมื่นปีแล้ว มันจึงถึงเวลาที่เขาต้องปลดผนึกสำนักนี้ให้เป็นอิสระ

มิฉะนั้นเขาจะมาที่อาณาเขตวิญญาณโลหิตทำไม?

หลังจากผ่านไปกว่าหนึ่งเดือน ในที่สุดหลงเฉินก็บินมาถึงเมืองวิญญาณโลหิต

สาเหตุที่เขาใช้เวลานานกว่าจะบินมาถึงก็เป็นเพราะ อาณาเขตวิญญาณโลหิตนั้นมีขนาดใหญ่เกินไป มันใหญ่กว่าขนาดของอาณาเขตนภาถึงสามเท่า ดังนั้นเขาจึงต้องใช้เวลามากในการบินมาถึงเมืองวิญญาณโลหิต

หลังจากมาถึงเมืองวิญญาณโลหิต ทุกคนก็ลงมาที่พื้น หลงเฉินกลายร่างเป็นมนุษย์และเสี่ยวเยว่เฟิงก็เก็บรถม้าเข้าไปในแหวนมิติของนาง

“บรรยากาศของเมืองนี้ช่างเหมาะสมกับชื่อของมันจริง ๆ ที่ถูกเรียกว่าเมืองวิญญาณโลหิต ทั่วทั้งเมืองมีแต่กลิ่นคาวของเลือดหนักหนาสาหัสอะไรเช่นนี้” เย่ชิงเฉิงย่นจมูกและพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว

เมื่อพูดถึงเมืองวิญญาณโลหิตแล้ว มันเป็นอีกเมืองที่มีความสวยงามเป็นอย่างมากแถมยังมีขนาดใหญ่กว่าเมืองหยูหลัน และถึงแม้ว่าทั่วทั้งเมืองจะไม่ได้มีเลือดนองอยู่ตามท้องถนนเหมือนดั่งชื่อเมือง แต่กลิ่นของเลือดก็ยังคงอบอวลไปทั่วทั้งเมืองตลอดเวลา

หลิงตู้ฉิงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ครั้งหนึ่งใกล้ ๆ เมืองนี้นั้นมีสำนักวิญญาณโลหิตตั้งอยู่ ซึ่งใต้ดินลึกลงไปของที่ตั้งสำนักนั้นมีมหาวิถีเต๋าของสำนักวิญญาณโลหิต แฝงอยู่ ซึ่งมันคือที่มาของกลิ่นคาวเลือดที่ตลบอบอวลไปทั่วทั้งเมืองวิญญาณโลหิต นอกจากนี้เนื่องจากสถานที่แห่งนี้อยู่ใกล้กับสำนักวิญญาณโลหิต มันจึงมีผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่บ่มเพาะวิถีแห่งโลหิตอยู่หลายแขนง”

เย่ชิงเฉิงถามขึ้นว่า “สามี เราจะไปที่สำนักวิญญาณโลหิต เพื่อแสวงหาโชคหรือไม่?”

“เราต้องไปแน่นอน แต่มันคงยังไม่ใช่ตอนนี้” หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “เอาล่ะตอนนี้พวกเราควรไปหาที่พักกันก่อน ส่วนเรื่องอื่นไว้ค่อยคุยกันทีหลัง”

จากนั้นทุกคนก็เดินไปตามท้องถนนของเมืองวิญญาณโลหิต และในขณะที่พวกเขากำลังเดินกันอยู่ พวกเขาก็ได้ยินเสียงใครบางคนเรียกจากด้านข้าง “พวกเรากำลังรับสมัครคนเพื่อเข้าสำรวจสำนักวิญญาณโลหิต พวกเจ้าอยากจะเข้าร่วมกับเราไหม? ในรอบนี้พวกเรามีผู้เชี่ยวชาญระดับเหนือล้ำเป็นผู้นำกลุ่มสำรวจ ซึ่งพวกเราจะเข้าไปยังส่วนของวิหารโอสถ!”

หลิงตู้ฉิงและคนของเขาที่ได้ยินข้อเสนอ พวกเขาเดินผ่านไปโดยแสดงออกเห็นอย่างชัดเจนว่าไม่สนใจเลย

ทันใดนั้นมีอีกคนเดินเข้ามาและพูดว่า “ทุกท่านทำไมไม่เข้าร่วมกับพวกเรา? คราวนี้เรามีผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญเป็นผู้นำกลุ่มสำรวจในส่วนของวิหารใต้ดิน ว่ากันว่าภายในนั้นมีสุดยอดทักษะของผู้เชี่ยวชาญระดับสูง และเนื่องจากมันยังเป็นสถานที่ที่เหล่าผู้อาวุโสของสำนักวิญญาณโลหิตใช้ในการปิดด่านบ่มเพาะ ดังนั้นมันจึงยังมีสมบัติมากมายที่ถูกทิ้งไว้อยู่ ขอแค่พวกท่านเจอมันเพียงชิ้นเดียวมันก็นับว่าคุ้มค่ากับการเสี่ยงแล้ว!”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลิงตู้ฉิงและคนอื่น ๆ ก็ยังคงแสดงท่าทีเหมือนเดิม

ความแข็งแกร่งของพวกเขาเหนือกว่าคนเหล่านี้มากมาย ดังนั้นทำไมพวกเขาถึงจำเป็นจะต้องร่วมมือกับคนอื่น? แล้วถ้าคนเหล่านี้มันเก่งกันจริง ทำไมพวกมันถึงไม่ไปกันด้วยตัวเองล่ะ?

“หากพวกท่านสนใจ พวกท่านสามารถเข้าร่วมกับเราได้เช่นกัน” อีกคนหนึ่งเดินมาทักทายพวกเขา “ในครั้งนี้กลุ่มของเราตั้งใจจะเข้าไปสำรวจบริเวณทะเลโลหิต ซึ่งมันคือสถานที่ลึกลับที่สุดของสำนักวิญญาณโลหิตของเรา นอกจากนี้เรายังมีผู้เชี่ยวชาญจากอาณาเขตสุสานกระบี่เป็นผู้นำกลุ่มทีม!”

เย่ชิงเฉิงคิดในตอนแรกว่าคนเหล่านี้สนใจกลุ่มของพวกนางเพียงกลุ่มเดียว แต่เมื่อนางหันหลังกลับไปมองกลุ่มอื่น ๆ ที่เข้าเมืองมาใหม่ นางก็เห็นว่ากลุ่มอื่น ๆ ที่เพิ่งเข้ามาในเมืองก็ถูกชักชวนเช่นเดียวกับพวกนางเช่นกัน ซึ่งมันทำให้นางค่อนข้างรู้สึกโล่งใจ

สิ่งนี้มันบ่งบอกได้ว่าการสำรวจสถานที่ตั้งของสำนักวิญญาณโลหิตได้กลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว

แต่การที่มีผู้คนมากมายเข้าไปสำรวจสำนักวิญญาณโลหิตนั้น มันจะเป็นไปได้ยังไงที่ทุกคนจะสามารถได้รับผลประโยชน์มาได้ทุกรอบ? มันไม่ใช่ว่าบรรดาสมบัติที่หลงเหลืออยู่ด้านในจะถูกค้นพบไปหมดแล้วงั้นเหรอ?

แต่ทันใดนั้นจู่ ๆ เสียงชักชวนต่าง ๆ ของทุกกลุ่มก็หยุดลงพร้อมกับกลิ่นอายสังหารสายหนึ่งก็พวยพุ่งมาจากทางด้านหลังพวกเขา

แม้ว่าจะไม่มีใครพูดอะไร แต่ก็ยังมีเสียงซุบซิบ “น่าสงสัยจริง ๆ ว่าพวกเขาค้นพบสมบัติอะไร? ครั้งสุดท้ายพวกเขาก็ได้พบกับสมบัติวิเศษระดับราชัน!”

“มันช่วยไม่ได้นี่นา ก็คนเหล่านั้นมันแข็งแกร่งมากจริง ๆ”

“เฮ้อ ข้าล่ะอยากจะแข็งแกร่งและโชคดีแบบนั้นบ้างจริง ๆ”

“การจะพบของดี ๆ เหล่านั้นได้มันก็คงจะมีแต่การต้องเสี่ยงเข้าไปในพื้นที่ต้องห้ามของสำนักวิญญาณโลหิตล่ะนะ”

“เฮ้อ ช่างน่าเสียดายที่นะดับการบ่มเพาะของข้าต่ำเกินไป ถ้าระดับการบ่มเพาะของอยู่ในระดับนักบุญขึ้นไปล่ะก็ ข้าก็คงจะสามารถเข้าไปในพื้นที่ต้องห้ามได้…”

ท่ามกลางเสียงซุบซิบ คำอุทานประหลาดใจก็ดังออกมาในทันใด “อะไรกัน พวกเขาพบวิชามหาเวทย์สูบโลหิตของสำนักวิญญาณโลหิตงั้นเหรอ? นี่มันบ้าอะไรกัน กานจู่ซ่าน ผู้นี้เป็นลูกรักของสวรรค์หรือยังไงกันถึงได้มีโชคดีขนาดนี้? รอบล่าสุดพวกเขาก็พบสมบัติระดับราชัน และรอบนี้พวกเขายังเจอสุดยอดวิชาของสำนักวิญญาณโลหิตอีกงั้นเหรอ?”

คนที่เหลือต่างเงียบกริบพลางจ้องมองกลุ่มคนที่กำลังเดินเข้ามาในเมืองด้วยสาตาเหม่อลอย ซึ่งคนเหล่านี้ที่กำลังเดินเข้ามาดูเหมือนพวกเขาจะเป็นกลุ่มที่มีผู้นำชื่อ กานจู่ซ่าน

เมื่อหลิงตู้ฉิงได้ยินชื่อ ‘วิชามหาเวทย์สูบโลหิต’ เขาก็เลิกคิ้วมองไปยังกลุ่มที่กำลังเดินเข้ามาในเมือง

ขณะนี้เขาเริ่มสงสัยเช่นกันว่า กานจู่ซ่าน คนนี้เป็นใครกันที่ได้พบกับหนึ่งในศาสตร์ลับของสำนักวิญญาณโลหิต?