บทที่ 844 พ่อค้าเจ้าเล่ห์!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

“เป็นไปได้อย่างไรกัน” ไม่ใช่เพียงเหออวิ๋นจื่อที่ตื่นตะลึงกับภาพที่ได้เห็น ผู้อาวุโสในชุดคลุมสีม่วงซึ่งเป็นองค์ชายแห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์อีกสองคน ต่างก็พากันอ้าปากค้างด้วยความตื่นตะลึงเช่นกัน

เชื้อพระวงศ์คนอื่นๆ ก็จับจ้องตาไม่กะพริบเช่นกัน ประกายความไม่อยากเชื่อสะท้อนอยู่ในแววตาของทุกคน สีหน้าพลางแสดงอารมณ์อันหลากหลาย ราวกับว่าไม่อาจควบคุมอารมณ์เอาไว้ได้ในวินาทีนั้น

เสาของแสงสีแดงที่พวยพุ่งออกมาจากศีรษะของหวังเป่าเล่อพุ่งไปถึงขอบชั้นบรรยากาศของดาวเคราะห์ดวงนี้และแทบจะหลุดออกไปถึงชั้นอวกาศภายนอก หากมองจากที่ไกลๆ ก็ดูคล้ายว่าสวรรค์ได้เปิดดวงเนตร แสดงให้เห็นถึงดวงตาสีแดงก่ำที่จับจ้องมองลงมายังสรรพชีวิตบนพื้นดิน

ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีผู้ปล่อยพลังได้เช่นนั้น ทำเอาทั้งสรวงสวรรค์และผืนปฐพีสั่นไหว คลื่นพลังงานไหลบ่าสะท้อนไปทั่วแผ่นดิน แถมยังมีคลื่นสีแดงไหลบ่าออกมา พายุหมุนขนาดยักษ์ก่อตัวขึ้นโดยมีหวังเป่าเล่อเป็นจุดศูนย์กลาง สายลมที่พัดออกจากกายชายหนุ่มรุนแรงพอที่จะถล่มภูเขาหรือพาให้มหาสมุทรเหือดแห้งไปได้

ทุกคนที่อยู่รอบกายเขาพากับถอยกรูด เสียงร้องอุทานด้วยความกลัวดังลั่นไปทั่ว ราวกับว่าทุกคนเพิ่งเห็นผีกระนั้น

“สวรรค์…สูงสักเท่าใดกัน…สามสิบกิโลเมตร หรือสามร้อยกิโลเมตรกันแน่”

“ข้าต้องหลอนไปแล้วแน่ๆ…เมื่อวานคงกินสมุนไพรวิญญาณมากไป…”

“แล้ว…คนไหนคือจักรพรรดิตัวจริงกันแน่”

เกิดความโกลาหลขึ้นในฝูงชน ผู้ฝึกตนจากอารยธรรมครามทองคำยืนอยู่ห่างออกไป ผู้ฝึกตนในชุดสีรุ้งและหน้ากากสีม่วงเหล่านั้นต่างก็ผงะด้วยกันทั้งสิ้น ความรู้สึกตื่นตะลึงที่พวกเขากำลังรู้สึกในตอนนี้ไม่อาจเทียบกับที่บรรดาเชื้อพระวงศ์รู้สึกอยู่อย่างแน่นอน ทว่าเหตุการณ์ที่กลับตาลปัตรนี้ก็ทำเอาพวกเขาตกใจไม่น้อยเช่นกัน คนๆ เดียวที่ดูจะไม่อนาทรกับเหตุการณ์นี้มีเพียงผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะซึ่งเป็นผู้นำของกลุ่มเท่านั้น นัยน์ตาของเขาส่องประกายประหลาดขึ้นมาแวบหนึ่งก่อนจะจางหายไป

เห็นได้ชัดว่าเสาสีแดงที่พุ่งออกมาจากศีรษะของหวังเป่าเล่อนั้นไม่ธรรมดา เมื่อนำมาเทียบกับแสงสีแดงที่ออกมาจากศีรษะของคนอื่นแล้วก็เหมือนเห็นยักษ์ยืนคู่กับไก่กระนั้น

หวังเป่าเล่อเองก็ตกใจไม่แพ้กัน ชายหนุ่มรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยตอนที่เห็นผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะหยิบตะเกียงทองแดงออกมา แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้สึกถึงความผูกพันอย่างประหลาดกับสุสานแห่งนี้ตั้งแต่แรกมาถึง แต่ก็ทำได้เพียงทำใจเย็นๆ เท่านั้น

แม้แต่องค์จักรพรรดิเองยังต้องใช้เลือดของตนเพื่อพยายามจะปลดผนึกประตู ร่างของหวังเป่าเล่อตอนนี้เป็นร่างอวตารที่หลอมขึ้นมาด้วยกระบวนท่าสารัตถะ จึงไม่มีเลือดอยู่ในกายสักหยด เป็นเหตุให้ชายหนุ่มคิดว่าหลักการเรื่องสายโลหิตคงใช้ไม่ได้ หวังเป่าเล่อจะไม่ยอมถูกเปิดโปง ชายหนุ่มยังมีความคิดอีกอย่างหนึ่งที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจ และต้องการจะ…ทดสอบมันดูเสียก่อน

ขณะที่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นทำให้สีหน้าของหวังเป่าเล่อเคร่งขรึม แต่ก็ยังทำให้ดวงตาของเขาเป็นประกายเยือกเย็นด้วย สมมติฐานที่เขาคิดมาโดยตลอดเป็นความจริง!

การที่ข้าไม่รู้สึกถึงพลังต่อต้านใดๆ ขณะที่อยู่ในสุสานหลวง และการที่ข้ารู้สึกถึงสายสัมพันธ์ที่มีต่อสถานที่แห่งนี้…มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฝึกฝนวิชาดวงเนตรปีศาจของข้าอย่างแน่นอน แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลหลัก เหตุผลหลักก็คือ…เจตจำนงลับๆ ภายในวิชาดวงเนตรปีศาจ!

สิ่งนี้จะต้อง…มีความเกี่ยวข้องกับอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์อย่างแน่นอน ข้าพอจะเดาได้ว่ามันเป็นของใคร…มีโอกาสมากที่มันเป็นของปรมาจารย์ผู้ที่สร้างวิชาดวงเนตรสวรรค์ขึ้นมา ผู้ซึ่งน่าจะเป็น…จักรพรรดิองค์แรงของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์!

หวังเป่าเล่อได้พินิจพิจารณาผ่านการวิเคราะห์และการตีความอย่างหลากหลายกระทั่งได้บทสรุปในชั่วพริบตา ขณะที่ชายหนุ่มเพิ่งได้บทสรุปนั่นเอง จักรพรรดิชราผู้ซึ่งร้องไห้ครวญครางอยู่เมื่อครู่ ก็ลืมตาโพลงขึ้นก่อนจะจับจ้องมาที่หวังเป่าเล่อท่ามกลางเสียงอุทานอย่างตื่นตะลึงจากฝูงชน ผ่านไปชั่วครู่ ชายชราก็ผุดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วก่อนล้มตัวลงคุกเข่าแล้วก้มศีรษะคารวะหวังเป่าเล่อต่ำ

“ท่านปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ นี่มันท่านปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่จริงๆ ด้วย เขาได้มาแสดงตัวแล้ว เขากลับมาหาพวกเราแล้ว!” จักรพรรดิชราตื่นตะลึงอย่างเห็นได้ชัด เขาส่งเสียงดัง แทบจะเรียกได้ว่าตะโกนสุดเสียง เพื่อจะแสดงให้เห็นว่าเขาตื่นเต้นเพียงใด การโค้งคำนับดูเหมือนไม่พอที่จะแสดงให้เห็นถึงความตื่นเต้นกับการกลับมาของท่านปรมาจารย์ จักรพรรดิชราจึงก้มศีรษะคำนับอยู่เช่นนั้น หน้าผากของเขากระทบพื้นครั้งแล้วครั้งเล่า

ความกระตือรือร้นในน้ำเสียงของเขาเข้าไปกระตุ้นปราณกังวานในกระแสโลหิตของเชื้อพระวงศ์ทุกคน ทุกคนที่ถูกบังคับหรือถูกกดดันให้สนับสนุนเหออวิ๋นจื่อต่างก็พากันทรุดตัวลงคุกเข่า พลางเปล่งเสียงประสานกับจักรพรรดิชรา

“ข้าน้อยคารวะท่านปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่!”

“ปรมาจารย์เช่นนั้นหรือ” ยังมีราชวงศ์หลายคนที่ยืนอยู่ทั้งๆ ที่คนอื่นๆ พากันหันไปคารวะปรมาจารย์ เหออวิ๋นจื่อและองค์ชายอีกสองคนก็ยังยืนอยู่เช่นนั้น แววตาของพวกเขาส่องประกายด้วยจิตสังหารและความโลภ

หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงทันทีขณะเฝ้ามองไปทางจักรพรรดิที่ยังคำนับอยู่ไม่หยุดหย่อนรวมถึงสมาชิกราชวงศ์ที่อยู่ตรงหน้า กริยาของจักรพรรดิชราแม้จะดูปกติธรรมดา แต่ชายหนุ่มกลับรู้สึกได้ถึงความแปลกประหลาด การมาถึงของหวังเป่าเล่อในครั้งนี้ดูเหมาะเหม็งเกินไป

จังหวะเวลาช่างสมบูรณ์แบบเกินเหตุ หวังเป่าเล่อมาถึงทันเวลาได้รู้ความลับของราชวงศ์ แถมยังได้รู้ว่าอารยธรรมครามทองคำเป็นใคร การส่งเสียงร้องเรียกปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ของจักรพรรดิชราทำให้หวังเป่าเล่อเริ่มเข้าใจเรื่องขึ้นมาเลาๆ

ข้าไม่เชื่อว่าเซี่ยไห่หยางจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เพราะฉะนั้น…เซี่ยไห่หยางได้อะไรจากการที่ข้ามาปรากฏตัวในตอนนี้กัน

บางที…เซี่ยไห่หยางอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับจักรพรรดิชราด้วย เขาพูดบางอย่างเกี่ยวกับปรมาจารย์มาปรากฏตัวและหวนคืนสู่ครอบครัว หรือว่า…เขาเองก็มีข้อตกลงกับเซี่ยไห่หยางและกำลังรอให้ปรมาจารย์กลับมา

เซี่ยไห่หยางทำข้อตกลงกับทั้งสองฝ่ายสินะ ก็ดี ถ้าอย่างนั้นมาดูกันว่าใครจะเป็นการลงทุนที่สำคัญกว่ากัน…หวังเป่าเล่อจู่ๆ ก็หัวเราะออกมา ไม่ใช่ครั้งแรกที่เซี่ยไห่หยางทำเรื่องคล้ายๆ อย่างนี้ ชายหนุ่มเคยทำอะไรพรรค์นี้มาแล้วช่วงที่หวังเป่าเล่ออยู่บนกระบี่สำริดเขียวโบราณ เซี่ยไห่หยางขายข้อมูลตำแหน่งที่อยู่ของหวังเป่าเล่อให้ใครสักคนที่หมายจะสังหารเขา จากนั้นก็ช่วยหวังเป่าเล่อฆ่าเจ้าคนนั้นแทน จากนั้นก็แบ่งรายได้กัน

หวังเป่าเล่อเปลี่ยนแผนทันที ชายหนุ่มวางแผนจะเข้าไปยังสุสานบรรพชนหลวงโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่เมื่อเขาไม่รู้สึกถึงพลังต่อต้านและอาจจะต้องเผชิญปัญหาจากเจตจำนงของวิชาดวงเนตรปีศาจ จึงไม่จำเป็นต้องรีบอย่างที่ตั้งใจไว้

หวังเป่าเล่อไม่ได้จะยอมปล่อยโอกาสอันยิ่งใหญ่นี้ไป แต่ก่อนที่จะยื่นมือไปจับตั๋วทองคำใบนั้น ชายหนุ่มจำเป็นต้องควบคุมสถานการณ์ให้ได้เสียก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น เมื่อคิดได้เช่นนั้น ชายหนุ่มจึงปลดปล่อยพลังปราณออกมาทั้งหมด เกราะมหาจักรพรรดิปรากฏออกมาในนั้นที แผ่พลังมหาศาลที่กวาดไปทั่วแผ่นดินและสร้างแรงกดดันมหาศาลที่กดทับทุกคนเอาไว้

ราวกับว่ามีคลื่นยักษ์ซัดผ่านกายราชวงศ์ที่ไม่ได้คุกเข่า ทุกคนล้วนมีเลือดไหลออกมาจากปากก่อนที่ร่างกายจะสั่นไหวอย่างรุนแรง หวังเป่าเล่อไม่รอช้ารีบกระโจนขึ้นไปในอากาศก่อนจะพุ่งตรงไปยังองค์ชายทั้งสามทันที!

ชายหนุ่มเคลื่อนที่รวดเร็วราวสายฟ้า ทั้งเหออวิ๋นจื่อและองค์ชายทั้งสองต่างมีสีหน้าแปลกใจ พวกเขาไม่มีเวลาถอยหนี หวังเป่าเล่อมาปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าทั้งสาม ยกมือขวาขึ้นฟ้า ก่อนจะปลดปล่อยพลังปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะใส่

ในวินาทีเดียวกันนั้น ชายหนุ่มก็โจมตีออกไป แสงในตะเกียงทองแดงที่เหออวิ๋นจื่อถืออยู่พลันลุกโชนขึ้นมา ใครสักคนที่อยู่ภายในตะเกียงส่งเสียงเยาะ มีนิ้วมายายื่นออกมาจากตะเกียงก่อนจะชี้ไปยังหวังเป่าเล่อ

พลังระดับดาวพระเคราะห์ระเบิดออกมาจากนิ้วดังกล่าวในบัดดล นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อกระตุกก่อนที่พลังทั้งสองจะปะทะกัน

หวังเป่าเล่อตัวสั่นขณะที่เสียงระเบิดดังก้องไปทั่วท้องฟ้า ชายหนุ่มถอยกรูดอย่างรวดเร็ว เปลวเพลิงดารานิรันดร์ในกายไหลบ่าออกมาและลดทอนพลังโจมตีของนิ้วจนกระทั่งมันจางหายไป แม้จะได้รับการช่วยเหลือจากเปลวเพลิงนิรันดร์ หวังเป่าเล่อก็ยังรู้สึกว่าสารัตถะของตนหมุนวนอย่างเจ็บปวดอยู่ภายใน สีหน้าของชายหนุ่มเคร่งขรึมขณะที่รีบถอยหนี ดวงตาของเขาจ้องไปยังนิ้วมือที่ออกมาจากตะเกียงตาไม่กะพริบ

เหตุการณ์นี้ทำเอาเหออวิ๋นจื่อและองค์ชายทั้งสองตกตะลึงไปเช่นกัน เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดขึ้นบนหน้าผาก พวกเขาสัมผัสถึงความตายที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วเมื่อหวังเป่าเล่อพุ่งเข้าใส่ หากไม่ใช่เพราะตะเกียงทองแดง ทั้งร่างกายและวิญญาณคงถูกทำลายไปแล้ว

“เจ้าเป็นใครกัน” เหออวิ๋นจื่อหายใจหอบถี่ขณะมองไปยังหวังเป่าเล่อ

บรรดาองค์ชายไม่มีความหมายกับชายหนุ่มแม้แต่น้อย สายตาของเขาจับจ้องไปยังตะเกียงทองแดงเท่านั้น ชายหนุ่มหรี่ตาลง พวกเขาถึงขนาดต้องกักขังสัมผัสสวรรค์ของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์เอาไว้ในตะเกียง อารยธรรมครามทองคำต้องวางแผนที่ยิ่งใหญ่เอาไว้แน่ หวังเป่าเล่อยิ่งอยากรู้มากขึ้นว่าในสุสานบรรพชนหลวงมีสิ่งใดซ่อนไว้กันแน่!

“เจ้าไม่เพียงรอดการโจมตีจากข้าไปได้ ยังปล่อยแสงสีแดงที่รุนแรงออกมาด้วย แสดงให้เห็นถึงสายโลหิตที่แข็งแกร่งในกาย ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะเป็นใคร การคาดเดาของข้าถูกต้อง พวกเราสบโอกาสที่จะปลดผนึกสุสานบรรพชนแห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์แล้ว จื่อหลัว จงปลดผนึกของเจ้าและจับชายผู้นี้เอาไว้ เราจะใช้เขาเป็นเครื่องสังเวย!” เสียงที่ดุร้ายและเย็นชาดังออกมาจากภายในตะเกียง คำพูดทุกคำแฝงไปด้วยจิตสังหารอันไร้เมตตา

ทันทีที่คำสั่งนั้นดังขึ้น จื่อหลัว ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้น ก็หันไปหาตะเกียงแล้วยกมือประสาน

“ขอรับ นายท่าน!”

เขาเงยหน้าขึ้นมาทันที ก่อนจะมีเสียงกัมปนาทดังกึกก้องขึ้นภายในกาย เสียงนั้นเหมือนการปลดผนึกอะไรบางอย่าง ก่อนที่พลังปราณของจื่อหลัวจะไหลทะลักออกมา จากขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นไปสู่ชั้นกลางทันที และไม่หยุดเพียงเท่านั้น แต่กลับเพิ่มสูงขึ้นจนถึงขั้นสมบูรณ์ จื่อหลัวยืนตระหง่านราวองค์เทพ จากนั้นจึงหันกลับมาหาหวังเป่าเล่อแล้วแสยะยิ้ม

“ข้าไม่รู้หรอกว่าเจ้าเป็นใคร แต่เจ้า…คือเหตุผลที่ข้าอยู่ที่นี่”

นัยน์ตาของชายหนุ่มกระตุก ก่อนที่จะล่าถอยตามสัญชาตญาณอย่างไม่รีรอ พลางสบถอยู่ในใจไปด้วย

“การคาดเดาบ้าบออะไรกัน ไร้สาระสิ้นดี ไอ้เซี่ยไห่หยางบัดซบ เจ้าคงวางเงินไว้กับผลลัพธ์ทุกแบบเลยสินะ ไอ้คนระยำ!”

……………………….