แดนสัจธรรม …

ดักลาสที่มักจะสวมเสื้อคลุมทับด้วยเสื้อคลุมตัวยาวสีดำทำให้เขาดูเคร่งขรึมและน่าเกรงขาม

เสื้อคลุมเวทมนตร์สีดำเป็นรูปแบบดั้งเดิมของจักรวรรดิเวทมนตร์โบราณ สีดำของมันมืดสนิทจนมองไม่เห็นสีใด แต่ภายใต้ความมืดมิดนี้กลับซ่อนวงแหวนเวทย์มนต์เอาไว้นับไม่ถ้วนทำให้เพิ่มกลิ่นอายความลึกลับแก่ดักลาส

ตอนนี้ภาพลักษณ์ของดักลาสดูไม่เหมือนสุภาพบุรุษอาวุโส แต่กลับเหมือนจักรพรรดิแห่งอาร์คานามากกว่า!

มือของเขาไพล่อยู่ด้านหลังในขณะที่เขายืนอยู่หน้าวงแหวนเวทย์ที่ทำมาจากเส้นสีเงิน และอัญมณีที่โปร่งใสนับไม่ถ้วน เบื้องหลังนัยน์ตาของเขาไม่อาจบอกสิ่งใด

เหล่านี้คือสิ่งที่ลูเซียนเห็นหลังจากที่เขาออกมาจาก “ลิฟต์” เขายิ้มและพูดว่า “ดูเหมือนว่าที่ข้าเห็นจะไม่ใช่ประธานสภาเวทมนต์แต่เป็นผู้ปกครองของจักรวรรดิเวทมนตร์โบราณ”

ดักลาสกระแอมเล็กน้อย เขายิ้มและหันศีรษะไปตามเสียง “ตอนที่ข้ายังเด็ก ข้าอิจฉานักเวทย์ในรูปแบบดั้งเดิมนี้ และข้าก็นับถือแสงแห่งดวงดาวที่เป็นผู้ปกครองของจักรวรรดิเวทมนตร์ซิลวานาสในตอนนั้นเช่นกัน จากนั้นเมื่อข้าได้เป็นนักเวทย์อย่างเป็นทางการข้าก็แต่งกายเลียนแบบพวกเขาจนกระทั่งจักรวรรดิเวทมนตร์ล่มสลายและข้าก็ต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดในความมืดมิด จากนั้นข้าก็เริ่มติดตามกระแสเสื้อผ้านิยมและแต่งกายแนวสุภาพบุรุษเพื่อให้พวกเขาสนใจข้าน้อยลง จากนั้นมันก็เลยติดเป็นนิสัยและข้าก็ขี้เกียจเปลี่ยน”

ความทรงจำของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายที่บ่งบอกว่าจิตใจของเขาไม่ได้สงบสุขอย่างที่เห็น แม้ว่าเขาจะมีประสบการณ์นับพันปีแต่การคลายอารมณ์ก็ยังเป็นเรื่องยากสำหรับเขาแม้ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในการค้นหาดวงอาทิตย์ก็ตาม เพราะท้ายที่สุดท้ายแล้วการค้นหาดวงอาทิตย์ก็เป็นเป้าหมายที่เขาติดตามแสวงหามาครึ่งชีวิตและเป็นความใฝ่ฝันของนักเวทย์ทุกคนจากสำนักโหราศาสตร์นับตั้งแต่มีการก่อตั้งขึ้นมา!

“เสื้อผ้าของนักเวทย์คนก่อนนั้นดูลึกลับและเคร่งขรึม แต่ก็ชวนหดหู่และน่ากลัวมากเกินไป” ลูเซียนตอบอย่างสบายๆ อย่างไรซะเขากลับชอบชุดสูทกระดุมสองแถว เสื้อโค้ตที่มีชายยาวสองข้างที่ด้านหลังและเสื้อผ้าที่เข้าชุดกัน “ทำไมอาจารย์ และท่านเบิร์กเนอร์ไม่มาที่นี่ด้วยกัน”

เฟอร์นันโดและเบิร์กเนอร์เป็นเพื่อนที่เหลืออยู่ไม่กี่คนของดักลาส แต่ทำไมพวกเขาจึงไม่มาร่วมเป็นสักขีพยานในช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้?

ดักลาสหัวเราะเบาๆ “เพราะเฟอร์นันโดกำลังยุ่งหัวปั่นกับการทำให้เครื่องปฏิกรณ์เสถียรอย่างเร่งด่วน เขากับแฮททาเวย์กำลังยุ่งอยู่กับการทดลองที่เกี่ยวกับนิวตรอน พวกเขาหวังว่าจะค้นพบความลับของมันอย่างเร็วที่สุด นอกจากนี้พวกเขามีความหวังแค่เล็กน้อยกับการค้นหาดวงอาทิตย์ของข้าในครั้งนี้ พวกเขาจึงตัดสินใจที่ลดทอนความคาดหวังของข้าให้น้อยลงเพื่อที่จะทำให้ข้าไม่คาดหวังมากเกินไปจากการที่พวกเขาเพิกเฉยต่อการกระทำของข้าในครั้งนี้”

“มันก็ใช่ เมื่อไม่มีความคาดหวังก็จะไม่มีความหวัง” ลูเซียนกล่าวอย่างขบขัน จากนั้นเขาก็พยักหน้า “อาจารย์คิดเสมอว่าสาเหตุที่เราไม่สามารถพบดาวเคราะห์ได้นั้นเกี่ยวข้องกับความแปลกประหลาดที่อยู่ลึกเข้าไปในมหาสมุทรไร้พรมแดนและเป็นไปไม่ได้เลยที่จะค้นพบดาวเคราะห์ดวงใดๆ เจอจนกว่าเราจะตอบได้ว่าทำไมเราจึงไม่สามารถบินรอบโลกได้สำเร็จ นี้ไม่ใช่สิ่งที่สามารถอธิบายได้ด้วย ‘เลนส์ความโน้มถ่วง’”

สิ่งที่ลูเซียนพูดนั้นตรงกับความคิดของเฟอร์นันโด ดักลาสมองเขาด้วยสายตาที่เฉียบคม “เจ้าก็คิดเช่นนั้นหรือ?”

หากลูเซียนไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นเหล่านั้น เขาก็จะไม่เสียเวลาพูดด้วยซ้ำ

“ข้ากับอาจารย์แลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่ที่คล้ายกันอยู่เสมอ แต่…” ลูเซียนยอมรับอย่างตรงไปตรงมา

“แต่เจ้าจะเข้าใจที่มาของปัญหาได้อย่างไรถ้าเจ้าไม่ได้ลองทำ” ดักลาสไม่โกรธเลย แต่แสดงท่าทีจากน้ำเสียงลูเซียน

ลูเซียนพยักหน้าเห็นด้วย “ถ้าเชื่อแบบนั้นเช่นกัน บางครั้งเราต้องทำการทดลองให้เสร็จแม้ว่าสิ่งที่เราทำนั้นมันผิดก็ตาม แต่เพราะประสบการณ์ที่ล้มเหลวเหล่านั้นล้ำค่ายิ่งกว่าการเกิดสถานการณ์พิเศษใดๆ ในที่สุดมันจะสามารถช่วยให้เราค้นพบเส้นทางที่ถูกต้องได้”

ดักลาสพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “แนวคิดและทัศนคติต่ออาร์คาน่าศาสตร์ของเจ้าจะช่วยให้เจ้าเติบโตขึ้นตลอดเวลา”

จากนั้นเขากล่าวถึงเรื่องของศาสดาพยากรณ์ว่า “เบิร์กเนอร์ประสบปัญหาขาดทุนหลังจากที่มีการเสนอหลักการเรื่องความไม่แน่นอน ถ้าสมมติว่ามีโอกาสดีที่ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปจะทำให้เขาจะกลายเป็นระดับตำนานขั้นสาม แต่หลังจากนั้นเขาก็ต้องหยุดชะงักอีกครั้งเหมือนอย่างโดนัลด์และคนอื่น ๆ เป็นกัน โลกแห่งปัญญาของเขาอาจจะพังทลายลงถ้าหากการทดลองหรือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับเขาได้รับการยืนยันเป็นข้อสรุป”

“แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาคำอธิบายเกี่ยวกับความน่าจะเป็นและหลักการของความไม่แน่นอนในการทดลองด้วยกล้องจุลทรรศน์ได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ” ลูเซียนพูดย้ำ

ดักลาสพูดพร้อมกับถอนหายใจ “ใช่แล้ว”

เขาไม่ได้พูดอะไรเพิ่มอีก เพราะการอธิบายตามความน่าจะเป็นและหลักการความไม่แน่นอนของลูเซียนนั้นเป็นสิ่งที่เขายอมรับไม่ได้ แน่นอนว่าการไม่ยอมรับของเขาไม่ได้หมายความว่าจะเขาเพิกเฉยต่อผลการทดลองดังกล่าว แต่เขาไม่เห็นด้วยกับคุณสมบัติพื้นฐานของอนุภาคขนาดเล็กของลูเซียนอย่างที่เฟอร์นันโดทำ เขาเชื่อว่ามีปัจจัยหรือตัวแปรซ่อนเร้นบางอย่างที่ยังไม่ถูกค้นพบต่างหากที่ส่งผลให้เกิดคุณลักษณะที่น่าจะเป็นและความไม่แน่นอน หากนำปัจจัยและตัวแปรเหล่านั้นมาพิจารณา ผลลัพธ์ที่ได้ก็ยังคงสอดคล้องกับทฤษฏีอยู่ดี

“เพราะอย่างนั้น ท่านเบิร์กเนอร์จึงไม่ต้องการพบข้าหรือ?” ลูเซียนกล่าวอย่างขบขัน

ดักลาสส่ายศีรษะ “ไม่แน่นะ เหตุผลที่แท้จริงคือเขากำลังยุ่งอยู่กับการสร้างห้องสงเกตการณ์จักรวาล เอาล่ะ พวกเราไปกันเถอะ”

เขาหายใจเข้าลึกๆ และยื่นมือขวาไปกดประตูโปร่งแสงที่ฝังอัญมณีเวทมนตร์ไว้อย่างเตรียมพร้อม

เส้นสีเงินส่องประกาย และเปล่งแสงเจิดจ้าอย่างถึงที่สุด พลังงานมากมายมหาศาลต่างหลั่งไหลเข้ามาจากทั่วทุกมุมของหอคอยเวทมนตร์และแดนสัจธรรม

ทันใดนั้นท้องฟ้าและแสงแดดอันสดใสที่มองเห็นจากทางหน้าต่างก็พลันมืดครึ้มลงจนมองไม่เห็นดาวสักดวง พลังงานจำนวนมหาศาลพุ่งเข้าสู่ประตูมิติ จากนั้นประตูก็ราวกับแม่น้ำที่รวมกันเป็นมหาสมุทร ไม่ปรากฏแรงกระเพื่อมใดๆ แม้แต่น้อย

ไม่นานอัญมณีเวทมนตร์ที่มีสีแตกต่างกันบนประตูมิติก็เปล่งประกายระยิบระยับในเวลาเดียวกัน จากนั้นโพรงตรงกลางของประตูมิติก็เต็มไปด้วยแสงจากอักษรรูนเวทย์มนตร์ที่อ่านไม่ออกจำนวนนับไม่ถ้วนที่หลั่งไหลเข้ามา

“ก้อนหิน” สีสันสดใสบินออกมาจากกระเป๋าเวทมนต์ของดักลาส มีทั้งที่เป็นสีทอง สีน้ำเงิน และบางส่วนเป็นสีแดงบริสุทธิ์ พวกมันวนเวียนอยู่รอบศีรษะของดักลาสเหมือนดาวเคราะห์เทียมที่หมุนวนรอบโลก

ดักลาสที่ศีรษะเต็มไปด้วยก้อนหินพยักหน้าให้ลูเซียน และก้าวเข้าไปในแสงที่บิดเบี้ยวเป็นคนแรก

ลูเซียนที่สังเกตการทำงานของวงแหวนเวทมนตร์ และได้เรียนรู้เกี่ยวกับความรู้ของกาล-อวกาศในนั้นมาร่วมกับความเข้าใจส่วนตัวที่มาจากประสบการณ์โดยตรงนับไม่ถ้วน เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วนี้ดีกว่าสิ่งที่เขาแลกเปลี่ยนมาจากห้องสมุดอาร์คานาขั้นสูงเสียอีก

ดักลาสเชิญเขาเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการค้นหาดวงอาทิตย์เป็นเพราะเขาได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับเวทกระโดดข้ามอวกาศระยะไกลโพ้น ครั้งสุดท้ายที่ลูเซียนถูกส่งเข้าไปในพื้นที่นี้ มันเป็นการเดินทางที่คใช้ระยะเวลาค่อนข้างสั้น

หลังจากร่างของดักลาสถูกกลืนไปกับแสงสว่าง ลูเซียนก็ไม่รอช้าที่จะตามเข้าไป ขณะที่เขาตามดักลาสเข้าไปในประตูเสื้อคลุมของมหาจอมเวทย์ก็ได้รับการปกป้องด้วยสีสันอันหลากหลายของธาตุต่างๆ

กาลและอวกาศกำลังเปลี่ยนไป โลกทั้งใบก็หมุนท่ามกลางความมืดมิด แม้ว่าลูเซียนจะเป็นหมอนักเวทย์ระดับตำนานขั้นสามแล้วก็ตาม แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าร่างกายและจิตวิญญาณของเขากำลังถูกแยกออกจากกัน เขาเป็นเหมือนแสงที่ริบหรี่จากเทียนที่อยู่ท่ามกลางสายลมที่อาจจะดับลงได้ทุกเมื่อ ในสถานการณ์อย่างนี้ต่อให้เป็นผู้วิเศษคนใดก็ตาม พวกเขาอาจจะ “หลงทางหรือหายสาบสูญ” ไปชั่วนิรันดร์จากเวทกระโดดข้ามอวกาศระยะไกลโพ้น

ทันใดนั้นวิญญาณของลูเซียนก็สั่นสะท้าน และร่างกายของเขาก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง เขาเห็นแสงสว่างที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนต่อหน้าเขา

เมื่อละรอกแสงหายไปทีละชั้น ลูเซียนก็สัมผัสได้ว่าเขาอยู่กลางอวกาศ และคำสาปจากรังสีคอสมิกจำนวนนับไม่ถ้วนก็กำลังใกล้เข้ามา ดังนั้นเขาจึงอัญเชิญพลังวิญญาณและร่ายเวทมนต์ที่ซับซ้อน แต่ไม่มีใครได้ยินออกมา

“คทาอวกาศ!”

ระลอกแสงเพิ่มขึ้นและรวมตัวกันเป็นไม้คทาแห่งแสงชวนฝันแล้วสร้างสุญญากาศมากมายรอบตัวลูเซียน

หลังจากที่ต่อต้านรังสีที่เป็นอันตรายเรียบร้อยแล้ว ในที่สุดลูเซียนก็มีช่วงเวลาที่จะแผ่พลังแห่งจิตวิญญาณของเขาเพื่อสังเกตการณ์สภาพแวดล้อมโดยรอบ

ไม่มีลูกไฟขนาดมหึมาที่แผดเผาจนทุกสิ่งทุกอย่างมอดไหม้ ไม่มีความร้อนที่ไม่อาจทานทน แต่สถานที่แห่งนี้ก็ยังคงไม่มีอะไรเลยนอกจากความหนาวเย็นและความมืดมิดที่ไม่มีที่สิ้นสุด จากความมืดนี้เองกลับมีแสงโปร่งใสอันเด่นชัดถูกกลบฝังอยู่ในนั้นอย่างเงียบๆ

ก่อนหน้าที่ลูเซียนและดักลาสจะพลันตอบโต้กลับ “ก้อนหิน” ที่สว่างไสวบินวนอยู่เหนือศีรษะของเขาก็เข้าปกป้องเขาด้วยเวทมนตร์ระดับตำนานที่แตกต่างกัน

ท่ามกลางพื้นที่ไร้เสียง ดักลาสก็ไม่ได้พยายามที่จะสื่อสารกับลูเซียนผ่านกระแสจิต เขาลอยอยู่บนจุดนั้นอย่างเงียบๆ และมองไปตรงจุดที่ “ดวงอาทิตย์” ควรจะอยู่นิ่งๆ เป็นเขายืนนึ่งเป็นรูปปั้นอยู่ตรงนั้น

ดักลาสเป็นคนตัวสูง แม้ว่าเขาจะห่างไกลจากความแข็งแรง แต่เขาก็ไม่ได้ตัวผอมบางแต่อย่างใด แต่ลูเซียนเมื่อมองไปยังแผ่นหลังที่ตั้งตรงของเขา เขาก็รู้สึกเศร้าหมองและสงสารยังไม่มีเหตุผล แม้เขาจะรู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้ แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่

ทันใดนั้นกระแสจิตก็ถูกเชื่อมต่อกับลูเซียน

“ดูเหมือนว่าข้าจะล้มเหลวอีกแล้ว…” เสียงของดักลาสฟังดูสงบแม้ว่าเขาจะมีรอยยิ้มที่ขมขื่น

ลูเซียนกำลังจะพูดปลอบแต่ดักลาสกลับกล่าวต่อไปอีกว่า “ดูเหมือนว่าจะยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกมากมายที่ข้าไม่ได้นึกถึง ความลึกลับของจักรวาลเป็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างแท้จริง เอาล่ะตอนนี้พวกเรากลับกันดีกว่า ครั้งหน้าข้าหวังว่าพวกเราจะได้พบร่องรอยเพิ่มเติม”

ความขมขื่นหายไปหลงเหลือเพียงความสับสน และความหวังที่แท้จริงของเขาในอนาคต เขาไม่หงุดหงิดและไม่สูญเสียสิ่งใดเลย

“แน่นอน” ลูเซียนอดไม่ได้ที่จะยิ้ม จากนั้นเขาก็มองไปยังสถานที่ที่ดวงอาทิตย์ควรจะปรากฏขึ้นอย่างครุ่นคิด ที่ตรงนั่นทั้งมืดและหนาวเหน็บราวกับว่าสัตว์ร้ายที่น่ากลัวกำลังดักซุ่มอยู่

บางทีอาจถึงเวลาแล้วที่เขาต้องไปเยือนจุดสิ้นสุดของมหาสมุทรไร้พรมแดน หรือมหาสมุทรแสงจันทร์ในเทือกเขาแห่งความมืด…

ภายในโรงเรียนสามัญที่สาม …

หลังจากอาลีออกจากหอพัก เขาก็เดินไปที่ประตูโรงเรียนแม้ในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลินี้จะมีอากาศหนาวเย็นก็ตาม เขารู้สึกหนักใจมาก วันนี้น่าจะเป็นวันประกาศผลสอบประจำเดือน ความพยายามของเขาจะได้รับการตอบแทนอย่างเหมาะสมหรือไม่ใครจะรู้?

เขาไม่สามารถสงบสติอารมณ์หรือมัวมาพิจารณาคำถามอื่นใดได้เลย เขาทั้งหวังและกังวลไปพร้อมๆ กัน เขาเพียงแค่เดินมาที่ประตูโรงเรียนตามวิสัยเพียงเพื่อถามว่ามีจดหมายของเขาหรือไม่

“อาลี นี้จดหมายของเจ้า” ชอว์จำเด็กที่มาถามหาจดหมายจากเขาได้ทุกวัน

“อะไรน่ะ?” อาลีถึงกับลืมความกังวลไปทันทีแทนที่ด้วยความยินดีในหัวใจของเขา

………………………………………