บทที่ 2453 แบบนี้จะทำยังไงดี?
กู้ซีจิ่วนิ่งไปครู่หนึ่ง
“ข้าห่วงเขาจริงๆ แต่ไม่โทษเจ้าหรอก ทุกคนบนโลกต่างรู้ดีว่ามหาเทพไม่สนใจกงการของผู้อื่นเสมอมา แถมยังไม่ชอบให้มีคนนอกอยู่ข้างกายด้วย ในเมื่อเจ้าต้องการให้ลูกน้องแสดงตัวเป็นเขา ก็ต้องจัดการเรื่องราวตามรูปแบบของเขาด้วย เช่นนี้ถึงจะไม่ดึงดูดความสงสัยของอวิ๋นเยียนหลี และอวิ๋นเยียนหลีก็หมายเอาชีวิตเจ้าที่สุด ความสนใจอยู่ที่พวกเราสองคน ซ้ำเขายังไม่รู้ด้วยว่าพวกเรารู้ตื้นลึกหนาบางของเขาแล้ว เพื่อให้สะดวกต่อการพบหน้ากันในอนาคต เขาน่าจะไม่สร้างความลำบากให้จู๋ตู๋ชิงจริงๆ หรอก…อีกอย่างจู๋ตู๋ชิงก็มีความสามารถยิ่งนัก ประดิษฐ์ชุดกันเพลิงได้ อวิ๋นเยียนหลีมีแต่จะหาทางดึงเขาเข้าพวก ทิ้งเขาไว้ก็ไม่มีอันตรายอะไร…”
ตี้ฝูอีมองนางด้วยสายตาแวววาว ความชื่นชมพาดผ่านนัยน์ตาแวบหนึ่ง!
เขาไม่อยากให้นางเข้าใจผิดอีก จัดเตรียมคำพูดกระบุงใหญ่ไว้ในท้องเตรียมจะอธิบายกับนางแล้ว นึกไม่ถึงเลยว่าเขายังไม่ทันเอ่ยปาก นางก็เข้าใจแจ่มแจ้งด้วยตัวเองแล้ว!
ปรีชานัก!
เขายื่นมือไปรั้งนางเข้าสู่อ้อมแขนตน
“เด็กน้อย เจ้าฉลาดเกินไปแล้วจริงๆ!”
จุมพิตหน้าผากนางทีหนึ่ง
กู้ซีจิ่วตัวแข็งทื่อแล้ว
องครักษ์หวาถอยออกไปอย่างรู้งานนัก
องครักษ์ที่ปลอมเป็น ‘เสินจิ่วหลี’ ก็กระแอมคราหนึ่ง หายตัวไปเองแล้ว
กู้ซีจิ่วไม่วางใจ
“ให้เขาเปลี่ยนรูปลักษณ์นั้นออกเถอะ มิเช่นนั้นถ้าคนที่ผ่านทางมาเห็นองค์มหาเทพอยู่นอกรถ ไม่แน่ว่าอาจฉุกสงสัยขึ้นมา…”
สันเขื่อนพันลี้พังทลายเพราะรังปลวก ตอนนี้พวกเขาจะต้องระวังแล้วระวังอีก ไม่อาจหลงเหลือพิรุธอันใดได้
“ไม่จำเป็นหรอก วิกฤตในยามนี้เกรงว่าจะยังไม่คลี่คลายลงจริงๆ ให้เขาสวมชุดนี้เตรียมพร้อมเอาไว้ ให้แสดงตัวได้ทันเวลา และเขาก็ใช้วิชาเร้นกายเป็น ต่อให้ยืนอยู่ข้างนอกผู้อื่นก็มองไม่เห็นเขา”
ที่แท้ก็เป็นแบบนี้
“ลูกน้องของเจ้าคือเสือหมอบมังกรซ่อน! ยอดคนแขนงใดล้วนมีทั้งสิ้น”
ตี้ฝูอียิ้มน้อยๆ ไม่เอ่ยวาจา เขาเชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์ เป็นยอดฝีมือด้านการวางแผนพลิกแพลงสถานการณ์มาตั้งแต่เกิด ย่อมใช้งานผู้มีความสามารถด้านต่างๆ ให้เกิดประโยชน์แก่เขาได้
เขาจุมพิตริมฝีปากกู้ซีจิ่วทีหนึ่ง
“ซีจิ่ว ข้าอยากมอบชีวิตที่ปลอดภัยที่สุดให้เจ้า ไม่ให้ทุกข์ยากตกระกำลำบากอีก”
เป็นเช่นนี้เอง
ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็วางใจแล้ว เรื่องที่เธอพะวงที่สุดคืออาการบาดเจ็บของเขา จึงพินิจเขาอย่างละเอียด
“เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง?”
ถามไปพลางจับชีพจรให้เขาไปพลาง
ตอนนี้ชีพจรเขาคงที่ดี ไม่มีความผิดปกติอะไร
เพียงแต่ เขาบอกว่าหลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยามจะปะทุขึ้นมาอีก…
ระยะเวลาครึ่งชั่วยามนี้ก็คือหนึ่งชั่วโมง ตอนนี้ผ่านไปแล้วครึ่งชั่วโมง
“ข้าจะจัดระเบียบชีพจรให้เจ้าก่อน ชีพจรโล่งคลายแล้ว ความอดทนก็จะเพิ่มขึ้น พอถึงเวลาที่พลังวิญญาณปะทุปั่นขึ้นมาอีกครั้ง การหดเกร็งของชีพจรจะได้เบาลงหน่อย…”
กู้ซีจิ่วดึงมือเขามา ใช้พลังวิญาณรักษาเขาโดยตรง
สิ่งที่เธอคาดไม่ถึงคือ พลังวิญญาณของเธอเพิ่งจะส่งผ่านเข้าไป ก็ถูกพลังอันแข็งแกร่งดีดสะท้อนกลับมา!
เธอไม่ทันตั้งตัว ถูกสะเทือนจนแทบกระอักเลือดแล้ว
เธอรีบถอนพลังวิญญาณกลับมา มองเขาอย่างตระหนกสงสัย
คล้ายว่าในร่างเขาจะมีพลังวิญญาณอันกล้าแกร่งพัวพันอยู่ ปฏิเสธไม่ให้พลังวิญาณใดๆ เข้าใกล้…
เธอไม่ยอมแพ้จับชีพจรให้เขาอีกครั้ง ยังคงปกติดียิ่งนัก แต่ในส่วนลึกของชีพจรที่ปกติดีคล้ายจะแฝงเร้นพลังอันน่าหวาดหวั่นประการหนึ่งไว้…
ความรู้สึกนี้ราวกับความเงียบสงบก่อนที่จะเกิดคลื่นยักษ์ซัดถาโถม ทำให้คนตื่นตระหนกอย่างน่าประหลาด
แบบนี้จะทำยังไงดี?
กู้ซีจิ่วนั่งอยู่ตรงนั้นพยายามขุดค้นข้อมูลในสมองอย่างสุดชีวิต ดูว่ามีวิธีการที่สามารถรักษาได้หรือไม่
แต่หลังจากขุดคุ้ยไปรอบหนึ่งก็ไม่มีวิธีการรักษาเลยจริงๆ อาการป่วยเช่นนี้เธอเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
เธอเคาะปลุกหยกนภา เล่าสถานการณ์ของตี้ฝูอี หยกนภาเงียบไปเป็นเวลาหนึ่งถ้วยชาเต็ม เพียงแต่ในตอนที่ กู้ซีจิ่วนึกว่ามันยังหลับอยู่ไม่ได้ตื่นขึ้นมา ในที่สุดมันก็เอ่ยออกมาสามคำ
‘ก่อเรื่องแล้ว!’
————————————————————————————-
บทที่ 2454 มีแต่ต้องให้เขาย่อยด้วยตัวเอง
กู้ซีจิ่วเงียบงัน
หยกนภาเอ่ยว่า
‘โอสถมรรคาม่วงนั้นของท่านผสานพลังวิญญาณที่แกร่งกล้ายิ่งนักไว้ หนึ่งเม็ดก็ต้องย่อยไปหลายวันแล้ว ท่านกลับปล่อยให้เขากินเข้าไปหลายสิบเม็ดในคราวเดียว นึกว่ากินถั่วหรือไง?! เคยได้ยินไหมยิ่งเร่งยิ่งยุ่งน่ะ? ตัวเขาในยามนี้จะแข็งแกร่งขนาดไหนก็ยังเป็นแค่จินเซียน สมรรถภาพร่างกายก็เป็นจินเซียน แม้แต่ขั้นซ่างเซียนก็ยังไม่บรรลุด้วยซ้ำ ท่านกลับให้เขารับพลังของซ่างเสินเข้าไปครึ่งหนึ่งเลย!’
นี่คล้ายกับการถ่ายเทมวลน้ำมหาศาลในทะเลเข้าสู่แม่น้ำเล็กๆ สายหนึ่งอย่างกะทันหัน จะพุ่งซัดจนแม่น้ำพังทลาย ส่งผลกระทบที่ร้ายแรงแน่นอน!
กู้ซีจิ่วย่อมทราบถึงความร้ายแรงเช่นกัน เธอหน้าเปลี่ยนสีนิดๆ
“พลังครึ่งหนึ่งของซ่างเสิน? เจ้าจะบอกข้าว่าโอสถมรรคาม่วงเหล่านี้เทียบได้กับพลังของซ่างเสินผู้หนึ่งหรือ?! คงมิใช่ว่าเห็ดมรรคาม่วงเหล่านี้แปรสภาพมาจากพลังวิญญาณของซ่างเสินผู้หนึ่งกระมัง?”
ดูเหมือนเธอจะนึกอะไรได้แล้ว
“หรือว่าตอนที่หวงถูดับขันธ์ในปีนั้น พลังวิญญาณทั้งหมดของเขาได้แปรสภาพเป็นเห็ดมรรคาม่วง?!”
หยกนภาใจหายวาบ
แย่แล้ว! มันหลุดปากไปอีกแล้ว! ไม่รู้ว่าจะถูกสวรรค์ลงทัณฑ์หรือเปล่า…
เจ้านายฉลาดเกินไปแล้วจริงๆ! ผู้อื่นคิดหนึ่งอนุมานได้สาม นางคิดหนึ่งอนุมานได้สิบ!
พอหยกนภาเงียบไป กู้ซีจิ่วก็เข้าใจแล้ว
เจ้าหยกนภาชิ้นนี้มีนิสัยอยู่อย่างหนึ่ง หากว่ากู้ซีจิ่วพูดผิดไป มันจะพยายามแก้ไขอย่างสุดกำลัง ปฏิเสธออกมาทันที มีแค่ตอนที่เธอพูดถูก มันถึงจะไม่เปิดปากขึ้นมาง่ายๆ แต่มันจะเงียบงันแทน…
ไม่นึกเลยว่าจะเป็นแบบนี้จริงๆ!
ไม่น่าเชื่อว่าเห็ดมรรคาม่วงนี้จะแปรสภาพมาจากพลังวิญญาณในชาติก่อนของหวงถู มิน่าล่ะเธอถึงเก็บเกี่ยวเห็ดมรรคาม่วงนี้ได้เพียงรอบเดียว…
พลังยุทธ์ของหวงถูในชาติก่อนบรรลุขั้นซ่างเสินแล้ว…
ในเมื่อตี้ฝูอีเป็นเขากลับชาติมาเกิด เช่นนั้นเขาก็น่าจะรองรับพลังได้ไม่นับว่ายากเย็นเกินไปหรือเปล่า?
เพียงแต่ ก็ว่าได้ยาก ถึงอย่างไรสมรรถภาพร่างกายของทั้งคู่ก็แตกต่างกัน…
ตอนนั้นตี้ฝูอีกินโอสถมรรคาม่วงเข้าไปแล้วไม่มีปฏิกิริยาเลย หรือจะมีสาเหตุเกี่ยวข้องกับพลังยุทธ์ในร่างนี้เป็นของเขา? เข้ากันดียิ่งนักตามธรรมชาติอยู่แล้ว เข้ากันได้ดีจนไม่มีปฏิกิริยาใดๆ…
หากเขาทยอยกินเข้าไปทีละน้อย อาจบำเพ็ญจนถึงขั้นซ่างเซียนทะลุไปซ่างเสินอย่างรวดเร็วยิ่งนักได้ ผลลัพธ์คือครั้งนี้เขากินเข้าไปครึ่งหนึ่งในหนเดียว…
สุดท้ายแล้วจะก่อให้เกิดผลลัพธ์อันใดขึ้นก็ยังคาดเดาไม่ได้จริงๆ…
“เสี่ยวชาง สรุปแล้วเจ้ามีวิธีย่อยสลายไหม?”
‘ไม่มี’
หยกนภาเงียบไปครู่หนึ่ง หน้าม่อยคอตก
‘มีแต่ต้องให้เขาย่อยด้วยตัวเอง’
หัวใจกู้ซีจิ่วระส่ำระส่าย สูดหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง มองตี้ฝูอีที่หลับตานั่งสมาธิอยู่ตรงนั้น จากนั้นก็มองดูมือตนเอง เธอโทษตัวเองยิ่งนัก
“เป็นข้าที่ทำร้ายเขา…”
‘เจ้านาย ในทุกข์มีสุข ในสุขก็มีทุกข์ได้ บางทีนี่อาจเป็นด่านเคราะห์ของเขา ถ้าฝ่าไปได้ก็จะมีโชคแล้ว’
หยกนภาปลอบใจเธอ
“ถ้าฝ่าไม่ได้จะเป็นยังไง?”
‘ถ้าฝ่าไม่ได้…เขาคงต้องเปลี่ยนสังขารแล้ว เจ้านายอย่ากลัวไปเลย อย่างมากอีกยี่สิบปีให้หลังเขาก็จะถือกำเนิดใหม่เป็นชายชาตรีเท่านั้น’
กู้ซีจิ่วเงียบไปแล้ว
เธอถูกคำปลอบใจของหยกนภาทำให้วิตกกังวลยิ่งกว่าเดิม!
ตี้ฝูอีที่หลับตาไม่เอ่ยวาจามาโดยตลอดจู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นประโยคหนึ่ง
“ซีจิ่ว วางใจเถอะ หากว่าข้าต้องละสังขารจริงๆ ก็จะพาหยกนภาไปด้วย มันรอบรู้มากขนาดนี้ เมื่อถึงเวลาต้องชี้แนะข้าได้แน่นอน…”
หยกนภาเหวอไปแล้ว
นี่คิดจะลากมันลงหลุมไปด้วยสินะ!
นี่มันยั่วโมโหผู้อื่นเข้าแล้วกระมัง?!
‘ไม่ได้ เจ้านายของข้าคือกู้ซีจิ่ว เป็นสมบัติร่วมฝังของท่านไม่ได้หรอก!’
หยกนภาพยามยามโต้แย้งเพื่อโอกาสรอดชีวิตของตนอย่างสุดกำลัง
ตี้ฝูอีมองมันอย่างสุขุม
“ซีจิ่วชอบข้า ถ้านางอยากให้ข้ากลับมาเร็วหน่อย เมื่อถึงเวลาก็ต้องใช้เจ้าเป็นสมบัติร่วมฝังของเปิ่นจวิน วางใจเถอะ เจ้าติดตามข้าวันหน้าไม่เสียเปรียนจนเกินไปแน่ อย่างมากก็เป็นเพราะเปิ่นจวินไม่ชอบกำไล เลยเปลี่ยนเจ้าให้เป็นห่วงหยกประดับกระบี่ บุกเหนือลงใต้ไปกับเปิ่นจวิน”