ในยามที่อรหันต์ชิงหลงพาศิษย์ยอดฝีมือของสำนักแอบใช้เขตอาคมส่งตัวลับออกจากเมืองอี่เทียน แอบเข้าไปในเมืองเทวะสวรรค์สองสามคืน หานลี่กลับตกอยู่ในอันตรายที่พบเห็นได้น้อยมากตั้งแต่เข้ามาในแดนวิญญาณ

สัมผัสได้ถึงเขตอาคมที่ใช้กักศัตรูชั่วคราว ยันต์เกราะปราณและยันต์เก้าวิมานสวรรค์สูญเสียประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ความตกตะลึงของเขาก็รู้สึกจิตใจหนักอึ้ง

แม้ว่าหานลี่จะไม่ได้หวังว่าวิธีการเหล่านี้จะควบคุมและเอาชนะศัตรูได้ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะไม่อาจขวางกั้นร่างแยกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงได้เลยสักนิด

และยิ่งไปกว่านั้นชั่วพริบตาที่เขตอาคมและสมบัติยันต์วิเศษเพิ่งจะปล่อยออกไป ก็ถูกทำลาย

อิทธิฤทธิ์ที่มหัศจรรย์เช่นนี้ หานลี่เองก็ไม่อาจทำถึงขั้นนั้นได้

นั่นก็หมายความว่าบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงที่ไล่ตามอยู่ด้านหลังพละกำลังเหนือกว่าเขาจริงๆ ต่อให้ใช้เครื่องมือสังหารสองสามชนิด อัตราการเอาชนะเขาได้ก็มีไม่ถึงห้าส่วน

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หานลี่จะยอมสู้กับอีกฝ่ายได้อย่างไร

ถึงอย่างไรเสียหากเขาล้มเหลวในการต่อสู้ ก็ต้องเพลี่ยงพล้ำไปจริงๆ  แต่หากโชคดีสังหารอีกฝ่ายได้ ก็แค่ทำให้ร่างแยกของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงเสียหายไปเท่านั้น

การค้าขายที่ขาดทุนเช่นนี้ แน่นอนว่าเขาย่อมไม่มีทางทำ

ดังนั้นเมื่อตรวจสอบเล็กน้อย หลังจากที่รู้ว่าพละกำลังของผู้ที่ตามมาอยู่ด้านหลังแข็งแกร่งกว่าที่ตนคิดไว้มาก ทันใดนั้นก็ล้มเลิกความคิดอื่น เริ่มขบคิดวิธีการหนีอย่างจริงจัง

ถึงแม้จะไม่รู้ว่าร่างแยกของอีกฝ่ายมีขอบเขตการตรึงตำแหน่งกว้างแค่ไหน แต่จากความน่ากลัวของผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหายาน นอกเสียจากเขาจะบินหนีไปได้ภายในรวดเดียวแสนลี้ มิเช่นนั้นคงไม่อาจสลัดการไล่ล่าเป้าหมายของอีกฝ่ายได้

แต่ระยะห่างเช่นนี้ นอกเสียจากความเร็วของทั้งสองจะแตกต่างกันมาก มิเช่นนั้นก็ไม่มีทางทำได้ง่ายๆ

เขาที่กลายเป็นวิหคยักษ์พุ่งออกไปไม่หยุด ในหัวมีความคิดต่างๆ ทยอยกันผุดขึ้นมา พลางขบคิดไม่หยุด

หานลี่ย่อมไม่รู้ว่าชายหนุ่มที่มีกลิ่นคาวเลือดซึ่งไล่ตามอยู่ด้านหลังอย่างไม่ลดละก็รู้สึกตกตะลึงเช่นกัน!

สำเภาลำเล็กสีโลหิตที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของพวกเขาคือสมบัติเหาะเหินที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในแดนมาร ภายใต้การกระตุ้นเต็มอัตรา แม้กระทั่งเหนือกว่าความเร็วของผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหายานเท่าหนึ่ง

แม้ว่ายามนี้จะเป็นเพราะร่างแยกจึงไม่อาจกระตุ้นความเร็วของสำเภาน้อยทั้งหมดได้ แต่เปลี่ยนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ธรรมดาๆ ย่อมไม่อาจเทียบกับความเร็วในยามนี้ได้

และพวกเขาควบคุมสมบัติชิ้นนี้เต็มกำลังไล่ตามมาเป็นระยะเวลานาน กลับไม่ได้ทิ้งระยะห่างไปเท่าใดนัก ในใจพลันรู้สึกจนปัญญา!

โชคดีที่พวกเขามีสามคน จึงสามารถผลัดกันกระตุ้นสำเภาสีโลหิตได้ จึงไม่ต้องกลัวว่าหานลี่จะสลัดทิ้งไปเพราะลมปราณหมด ดังนั้นแม้ว่าทั้งสามคนจะรู้สึกกลัดกลุ้มแต่ก็ไม่ได้มีท่าทีร้อนรน

แต่สำหรับหานลี่แล้วย่อมไม่อาจเสียเวลากับอีกฝ่ายต่อได้

แม้ว่าเขาจะมีร่างวิญญาณและเทวรูปร่างทองคอยช่วยเหลือ แต่มีเพียงแปลงกลายเป็นวิหคยักษ์แล้วถึงจะรักษาระยะห่างเช่นนี้ได้

และการใช้สมุนไพรวิญญาณนมวิญญาณหมื่นปีฟื้นฟูพลังปราณในพริบตานั้น สำหรับพวกเขาที่มีพลังปราณมหาศาลย่อมมีผลไม่มากนักตั้งนานแล้ว

จากพลังปราณของเขาหากรักษาสภาพการแปลงกลายบินไปเต็มอัตราเช่นนี้ แม้ว่าจะกินยาลูกกลอนไม่หยุด และใช้ศิลาวิญญาณระดับสูงฟื้นฟูพลันปราณไปพร้อมๆ กัน มากสุดก็ยืนหยัดไปได้แค่ห้าหกวันเท่านั้น

ดังนั้นในเวลาเดียวกันที่หานลี่กำลังขบคิดอย่างหนักนั้น ในใจพลันรู้สึกร้อนใจขึ้นมา

“ช้าก่อน บรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงผู้นี้ไล่สังหารเช่นนี้ แน่นอนว่าเป็นเพราะป้อมผนึกมารชิ้นนั้น หากยอมทิ้งสมบัติชิ้นนั้น ดูเหมือนว่าจะไม่มีวิธีดึงระยะห่างจากร่างแยกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงด้านหลังได้!” ในที่สุดหัวใจของหานลี่ก็เปล่งแสงสว่างจ้า พลันรู้สึกปลอดโปร่งขึ้นมา

“ในที่สุดหัวใจของหานลี่ก็เปล่งแสงสว่างจ้า แต่สมบัติชิ้นนี้เป็นสมบัติสวรรค์ทมิฬที่ยังหลอมไม่เสร็จ และยิ่งไปกว่านั้นหากคำพูดของเชอฉีกงที่ติดอยู่ในนั้นไม่ผิดจริงๆ ไอหยินหยางที่อยู่ด้านในก็มีประโยชน์กับตนเป็นอย่างมาก หากทิ้งไปง่ายๆ เช่นนี้ จะยินยอมได้อย่างไร” หานลี่ขบคิดอย่างรวดเร็ว แต่กลับรู้สึกเสียดายทันใด

แม้ว่าเมื่อเทียบชีวิตน้อยๆ กับสมบัติ แน่นอนว่าชีวิตย่อมสำคัญที่สุด แต่ยามนี้ยังไม่เข้าตาจน จะปล่อยสมบัติชิ้นนี้ไปง่ายๆ ได้อย่างไร

หานลี่พลันมีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส พลางขบคิดในใจ

ฉับพลันนั้นแววตาของเขาพลันฉายแววเย็นชา พลันนึกอันใดขึ้นมาได้

ทันใดนั้นในร่างของวิหคยักษ์พลันมีความคิดเปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะมีทารกวิญญาณที่เหมือนกันทุกระเบียบนิ้วสีทองและสีดำปรากฏขึ้น

ทารกวิญญาณสีทองดูเหมือนจะเปล่งแสงสีทองระยิบระยับ แต่เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดจะพบว่าบางครั้งจะมีลำแสงสีเขียวอ่อนไหลวนโคจรไปมา ลำแสงที่คุ้มครองร่างอยู่ดูเหมือนจะเป็นสองสีได้ตลอดเวลา

ส่วนทารกวิญญาณสีดำพลันมีสีหน้าเย็นชา รอบกายเป็นสีดำสนิทราวกับน้ำหมึก เรือนร่างมีไอมารเข้มข้นเป็นอย่างยิ่ง

ทันใดนั้นก็เห็นทารกวิญญาณสีทองอ้าปากออกพ่นไข่มุกทรงกลมห้าสีสิบกว่าเม็ดออกมา หมอกลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ วนล้อมรอบทารกวิญญาณสีทอง ไม่หยุด

ส่วนทารกวิญญาณสีดำกลับก้มหน้าลงสองมือร่ายอาคม และบริกรรมคาถาไม่หยุด

ไข่มุกทรงกลมห้าสีกลายเป็นดวงตาห้าสี และเปล่งแสงเจิดจ้าปล่อยเสาขนาดความหนาเท่าๆ นิ้วออกมา เปล่งแสงสว่างวาบพลางจมหายเข้าไปในทารกวิญญาณสีดำ

ทารกวิญญาณสีทองเห็นสถานการณ์เช่นนั้น ดวงตาทั้งสองข้างพลันเปล่งประกาย ฝ่ามือเล็กๆ อ้วนๆ ตะปบออกไปกลางอากาศ

เสียงเพรียกอันไพเราะดังขึ้น ‘อิฐทอง’ สีทองเรืองรองปรากฏขึ้น

นิ้วของทารกวิญญาณสีทองชี้ไปที่อิฐสีทองเบาๆ

ชั่วขณะนั้นเสียง “เปรี๊ยะๆ” พลันดังขึ้น สายฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบ สายฟ้าสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนทยอยกันปริแตกเป็นเสี่ยงๆ ตรงผิวของอิฐสีทอง

ชั่วพริบตาอักขระยันต์สีทองเงินที่ถูกเหลี่ยมเอาไว้บนผิวกล่องไม้สีขาวก็เผยออกมา

นั่นก็คือ ‘ป้อมผนึกมาร’ ที่ถูกหานลี่เก็บเอาไว้

ภายใต้การผนึกสมบัติชิ้นนี้อย่างระมัดระวัง เขาก็ไม่ได้พบปัญหาใดๆ

เมื่อเห็นป้อมผนึกมารเผยออกมา

ร่างของทารกวิญญาณสีดำพลันสั่นเทา แล้วกลายเป็นเงาลวงตาจางๆ สายหนึ่ง เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในกล่องไม้

ครู่ต่อมากลางอากาศเหนือทุ่งหญ้าที่ดูราวกับทะเลสีเขียว เงาลวงตาของหานลี่พลันปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบ

“ที่นี่ดังคาด!” แววตาของหานลี่เปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ กวาดมองไปรอบๆ สองแวบแล้วเอ่ยพึมพำกับตัวเอง

“อันใด หรือว่าสหายคิดว่าครั้งที่แล้วตาเฒ่าพูดเท็จ? หากสหายทำลายเขตอาคมสองสามชั้นสุดท้ายได้จริงๆ ตาเฒ่าก็จะยอมให้มีคนอยู่เป็นเพื่อนตาแก่อย่างข้า”

สิ้นเสียงบรรยากาศรอบๆ ด้านพลันเปล่งแสงสว่างวาบ เหนือทุ่งหญ้ามีชายชราสวมชุดคลุมยาวสีเขียวดำปรากฏขึ้น พลางเอ่ยแล้วส่งยิ้มบางๆ ให้หานลี่

“หากไม่ได้เข้าไปข้างใน อาจจะสูญเสียเสี้ยวจิตสัมผัสไปตลอดกาล ข้าน้อยสนใจสิ่งที่อยู่ในป้อมผนึกมารจริงๆ” หานลี่ตอบกลับชายชราที่ปรากฏร่างประหลาดๆ ขึ้นมาอย่างราบเรียบ

“แม้แต่ตาเฒ่ายังติดมาหลายปี เสี้ยวจิตสัมผัสของนายท่านเข้าไปข้างใน แน่นอนว่าย่อมไม่อาจออกมาได้ เอาล่ะ ที่สหายมาในครั้งนี้เพราะคิดเรื่องการร่วมมือที่คุยกันตาเฒ่าครั้งที่แล้วได้แล้วหรือ?” เชอฉีกงหัวเราะหึๆ แล้วเอ่ยเข้าประเด็นหลัก

“ข้าน้อยย่อมสนใจไอพลังหยินหยางอยู่แล้ว! ทว่าผู้แซ่หานมาพบกับสหายในครั้งนี้ กลับไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้น มีเรื่องอื่นอยากจะซักถามสหายสักหน่อย” หานลี่เอ่ยพร้อมกับสั่นศีรษะ

“นอกจากป้อมผนึกมารแล้ว ตาเฒ่าไม่อยากคุยเรื่องอื่นแล้ว” ชายชราได้ยินคำนี้ของหานลี่ก็รู้สึกสิ้นหวัง แล้วมีสีหน้าเคร่งขรึม

“อ๋อ หรือว่าแม้แต่เรื่องของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวง ท่านอาวุโสก็ไม่อยากคุยแล้วงั้นหรือ?” หานลี่ไม่ได้โกรธ กลับเอ่ยพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ ออกมา

“เจ้าเด็กเซวี่ยกวงนั่น! เจ้าหมายความว่าอย่างไร? หรือว่าเจ้าพบเจ้าคนทรยศนั่น!” ชายชราพลันตะลึงงัน เผยสีหน้าโหดเหี้ยมออกมา

“ผู้แซ่หานไม่เคยพบร่างเดิม แต่ยามนี้ร่างแยกของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงกำลังไล่ตามข้าน้อยอย่างไม่ลดละ? ร่างแยกมีอิทธิฤทธิ์ไม่น้อย ผู้แซ่หานมั่นใจว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ ดังนั้นจึงอยากหาวิธีรับมือกับท่านอาวุโส” หานลี่เอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ

“ที่แท้ก็เป็นแค่ร่างแยกเท่านั้น แต่เหตุใดตาเฒ่าต้องช่วยเจ้า!” เชอฉีกงประหลาดใจเล็กน้อย แต่จากนั้นก็หัวเราะอย่างเย็นชา

“แน่นอนว่าท่านอาวุโสจะนั่งดูเฉยๆ ก็ได้ แต่เพื่อรักษาชีวิตชนรุ่นหลัง ไม่แน่ว่าก็อาจจะสนใจป้อมผนึกมาร บรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงผู้นั้นส่งร่างแยกมาเอง แปดเก้าส่วนก็เพื่อสิ่งนี้ หากสมบัติชิ้นนี้ไม่อยู่ที่ข้าน้อย คิดดูแล้วอันตรายครั้งนี้คงจัดการได้” หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง แล้วตอบกลับอย่างราบเรียบ

“เจ้ากำลังข่มขู่ข้า! อย่าลืมล่ะ ป้อมผนึกมารเป็นสิ่งที่เจ้าชิงมาจากสมุนสามคนของเซวี่ยกวง และยิ่งไปกว่านั้นเจ้าคิดว่าเจ้าเด็กนั่นจะปล่อยชนนอกเผ่าที่สัมผัสกับสมบัติชิ้นนี้ไปหรือ? ต่อให้เจ้ามอบสมบัติให้ ก็ไม่อาจรักษาชีวิตน้อยๆ เอาไว้ได้” เชอฉีกงรู้สึกโกรธเกรี้ยว

“จะสำเร็จหรือไม่ นั่นก็ต้องลองดูถึงจะรู้ แน่นอนว่าหากท่านอาวุโสชี้แนะ ชนรุ่นหลังย่อมไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ จากความแค้นของท่านอาวุโสและบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวง คิดดูแล้วคงไม่อยากกลับไปอยู่ในมือของอีกฝ่ายมากกว่าสินะ” หานลี่ตอบกลับพร้อมกับอมยิ้ม

เห็นท่าทางไร้ความรู้สึกของหานลี่ เชอฉีกงก็มีสีหน้าปั้นยาก แต่แววตาพลันเปล่งประกาย คาดไม่ถึงว่าจะไม่ได้โต้แย้งอันใดออกมา

หานลี่ใช้สองมือกอดกดยืนอยู่กลางอากาศ กลับไม่มีเจตนาจะรบเร้า

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หลังจากที่ชายชราพิจารณาหานลี่ลึกๆ แวบหนึ่ง ถึงได้แค่นเสียงด้วยความเย็นชาแล้วเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง

“หึ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าตาเฒ่ามีวิธีจัดการกับร่างแยกของเซวี่ยกวง ตาเฒ่าและเจ้าเด็กเซวี่ยกวงไม่ได้พบกันหลายปี แม้ว่าก่อนหน้านี้จะรู้ฝีมือของเขา ยามนี้ก็อาจจะมองไม่ออก”

“บางทีอิทธิฤทธิ์ของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงผู้นั้นจะเปลี่ยนไป แต่ถึงอย่างไรเสียก็เป็นแค่ร่างแยกเท่านั้น ชนรุ่นหลังก็ไม่ได้หวาดกลัวร่างแยกนั้นจริงๆ แค่กลัวสมบัติสองชิ้นในมือของเขา จึงไม่รู้จะรับมืออย่างไร ขอแค่บอกว่าจะจัดการกับสมบัติสองชิ้นนั้นอย่างไร ชนรุ่นหลังย่อมมั่นใจว่าจะสู้กับอีกฝ่ายได้” หานลี่ได้ยินพลันรู้สึกตื่นเต้น มุมปากเผยรอยยิ้มออกมาขณะเอ่ยถาม

“สมบัติสองชิ้น หรือว่าจะเป็นสมบัติสวรรค์ทมิฬชำรุดสองชิ้นนั้น หม้อคำพูดสีม่วงและหอคอยหลากสี!” เชอฉีกงกะพริบตาปริบๆ แล้วย้อนถาม

“หม้อคำพูดสีม่วง? หอคอยหลากสี? เป็นสมบัติหม้อสีม่วงและหอคอยเจ็ดสีจริงๆ เป็นสมบัติสวรรค์ทมิฬชำรุดสองชิ้น!”

หานลี่หน้าเปลี่ยนสี แม้ว่าจะคาดเดาได้รางๆ แต่ได้ยินชายชราพูดกับหูตัวเองเช่นนี้ ก็ยังคงอดที่จะตกตะลึงไม่ได้

“ดูแล้วคงเป็นสมบัติสองชิ้นนี้จริงๆ เยี่ยม เยี่ยมมาก ตาเฒ่ามีวิธีต่อกรกับสมบัติสองชิ้นนั้น แม้กระทั่งหากโชคดี เจ้าก็อาจจะชิงหนึ่งในนั้นมาได้” เชอฉีกงเผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมาขณะเอ่ย