ตอนพิเศษ 3-1 อาจารย์ซู

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

ขี่อาชาข้ามสะพาน สตรีงามล้วนชายตาแล

 

 

ชายหนุ่มลำพองใจ คนผู้นี้คือฝังจิ่น ทั่วทั้งเมืองหลวงนี้ไม่มีชายหนุ่มผู้ใดดเด่นเท่ากับเขา จอหงวนหนุ่มวัยสิบเจ็ดปี และยังเป็นจอหงวนคนแรกที่ได้ที่หนึ่งทั้งการสอบทั้งสามสนามนับตั้งแต่สถาปนาต้ายง ทั้งยังมีใบหน้าโดดเด่น เป็นคุณชายรูปงามสะท้านโลกา

 

 

ยี่สิบปีหลังจากนั้น ทุกครั้งที่ซูหย่วนนึกย้อนไปจนถึงยามที่เขาขี่ม้าไปตามท้องถนนด้วยความองอาจแล้วก็ต้องทอดถอนใจ

 

 

ใช่แล้ว เขาคือฝังจิ่น ฝังจิ่นเด็กหนุ่มที่ลำพองใจในตอนนั้น บุตรอนุของตระกูลเลขาธิการกรมพระคลัง ใช่แล้ว ตอนนั้นบิดาของเขายังไม่ได้เข้าร่วมคณะเสนาบดีแล้วกลายเป็นอำมาตย์ ยังเป็นเลขาธิการเท่านั้น

 

 

แม้ว่าฝังจิ่นจะเป็นบุตรอนุแต่ชีวิตของเขาในบ้านก็ไม่ได้ลำบากอะไร เพราะแม่ใหญ่ใจกว้าง แต่จะปฏิบัติต่อเขาไม่เท่าน้องชายทั้งสามที่เกิดจากภรรยาเอก ทว่ากลับไม่ได้จงใจสร้างความลำบากให้กับเขา

 

 

ท่านแม่ของเขาเป็นหญิงสาวที่อ่อนโยนและหัวอ่อน ไม่ชอบการแก่งแย่ง ไม่ชอบแย่งชิง ในหนึ่งวันนอกจากปรนนิบัติแม่ใหญ่ด้วยความเคารพนบน้อมก็เอาแต่เย็บผ้าอยู่ในห้องของตัวเอง เสื้อผ้าที่เขาสวมทั้งตัวนอกและตัวในนั้นล้วนแล้วแต่เป็นฝีมือแม่ของเขาทั้งสิ้น

 

 

อาจจะเป็นเพราะแม่ของเขารักสงบ อาจจะเป็นเพราะเขามีความสามารถในเรื่องการเรียนหนังสือ เพราะฉะนั้นชีวิตของเขาในบ้านจึงไม่ด้อยไปกว่าพวกน้องชาย เขาเคยลอบยินดีที่ตัวเองโชคดี โชคดีที่มีแม่ใหญ่ไม่ได้จิตใจคับแคบเหมือนบ้านอื่น

 

 

แม้ในภายหลังเขาจึงรู้ว่าจริงๆ แล้วแม่ของเขาต่างหากที่เป็นภรรยาคนแรกของพ่อ เขาควรจะได้เป็นบุตรคนโตของภรรยาเอกที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม แต่เป็นเพราะแม่ของเขามีสถานะต่ำต้อย หลังจากที่ท่านพ่อสอบเข้ารับราชการได้จึงต้องลดตำแหน่งภรรยาเป็นอนุ แล้วจึงแต่งงานกับหญิงสาวตระกูลสูง แม้แต่เขาเองที่แต่เดิมเป็นบุตรภรรยาเอกต้องกลายไปเป็นบุตรชายอนุภรรยาไป

 

 

แต่เขากลับไม่มีจิตใจคับแค้นในเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย เขาคิดว่าแม้จะไม่มีสถานะบุตรภรรยาเอกก็สามารถลืมตาอ้าปากได้ และสามารถเลี้ยงดูท่านแม่ให้มีชีวิตที่ดี และเขายังไม่กล่าวโทษท่านพ่อ จากเดิมที่เคารพแม่ใหญ่อยู่แล้วก็ยิ่งเคารพมากขึ้น ทั้งยังมีไมตรีจิตต่อเหล่าน้องชายอย่างจริงใจ

 

 

ทว่าแม่ของเขากลับไม่สามารถรื่นเริงไปกับโชคของเขา ตอนที่เขาอายุสิบสี่ปีแม่ก็ป่วยหนัก ใกล้จะสูญเสียการมองเห็น แม่ใหญ่เสนอว่าให้จัดงานมงคลเพื่อปัดเสนียดจัญไร เขาเองก็เห็นด้วย

 

 

คืนถัดมาหลังจากที่เจ้าสาวมาถึง แม่ได้จากไปแล้ว ยามที่จะไปก็กุมมือเขาเอาไว้แน่นแล้วพูดกับเขาอย่างเป็นทุกข์ “จิ่นเอ๋อร์ เจ้าจะต้องดูแลตัวเองดีๆ นะ!”

 

 

แม่ที่ยังคงห่วงเขาอยู่เสมอนั้นจากไปแล้ว เหลือไว้เพียงกองดินฝังศพที่เย็นชืดหนึ่งกอง เขาลอบบอกกับตัวเอง ‘อย่างไรเสียท่านแม่จากไปอย่างสงบ อย่างน้อยก็ได้เห็นเขาแต่งภรรยา’

 

 

เจ้าสาวของเขาเหวินเหนียงเป็นญาติห่างของแม่ใหญ่ พ่อแม่ไม่อยู่แล้ว นางใช้ชีวิตอยู่กับท่านอา นิสัยอ่อนโยน ทั้งยังมีฝีมือเรื่องเย็บปักถักร้อย เหมือนแม่ของเขามาก

 

 

ฝังจิ่นไม่ได้ใส่ใจว่าภรรยาจะมีสถานะต่ำต้อย เจ้าสาวที่แต่งงานฉับพลันเพื่อปัดเสนียดจัญไรจะมีสักกี่คนที่มีสถานะสูงส่ง อีกอย่างเขาก็เป็นเพียงบุตรอนุเท่านั้น ไม่เคยคิดที่จะแต่งงานกับสตรีสูงศักดิ์ เหวินเหนียงนิสัยดี และยังรู้หนังสือ เขาพึงพอใจมาก

 

 

หากทำตามธรรมเนียมเดิม เขาไม่ต้องการที่จะไว้ทุกข์ให้แม่นานถึงสามปี แต่อย่างไรเขาก็เป็นแม่ผู้ให้กำเนิดและยังเลี้ยงดูเขามา เขาจึงไว้ทุกข์ให้มารดาสามปีแล้วจึงค่อยลงสอบ

 

 

ความทุกข์ยากจากการเรียนหนังสืออย่างหนักมาสามปีได้กลายเป็นเกียรติยศ เขากลายเป็นจอหงวนในวัยสิบเจ็ด ตอนที่เจ้าหน้าที่มาแจ้งข่าวดีที่หน้าประตูนั้น บิดาตบหลังเขาพร้อมทั้งยิ้มกว้างอย่างดีใจ แม่ใหญ่ก็วิ่งเข้าวิ่งออกต้อนรับคนนั้นคนนี้อย่างรื่นเริง สายตาของน้องชายที่มองเขานั้นเต็มไปด้วยความเคารพนับถือ

 

 

เขามีความสุขจนตัวลอยราวกับย่ำเท้าลงบนปุยเมฆ และตอนนั้นภรรยาของเขาเหวินเหนียงตั้งครรภ์ได้หนึ่งเดือนกว่าแล้ว พูดได้ว่าเป็นความสุขสองชั้น ชื่อเสียงอยู่ในมือ ภรรยาอยู่ในอก เขารู้สึกว่าสิ่งที่มนุษย์ปรารถนาก็คือสิ่งนี้นี่เอง

 

 

ปีต่อมาในเดือนหก เหวินเหนียงคลอดลูกสาวคนโต เหวียนเหนียงเสียใจที่ไม่ใช่ลูกชาย แต่เขากลับชื่นชอบนัก เขาตั้งชื่อลูกสาวว่าย่วนย่วน เอาแต่อุ้มลูกสาวไม่ยอมห่าง

 

 

ยามที่ย่วนย่วนอายุได้สองขวบเหวินเหนียงก็ท้องอีกครั้ง นางมักจะใช้เวลาเย็บชุดให้ลูกไปพลาง แล้วคิดจินตนาการถึงลูกชายในท้องไปพลาง แต่เขากลับไม่ได้ตั้งตารอขนาดนั้น เขาคิดว่าหากนางคลอดลูกสาวขึ้นมาอีกเขาก็ยินดี

 

 

ย่วนย่วนน่ารักมาก ใบหน้าเล็กๆ ขาวนวลนุ่มนิ่ม ดวงตาโตเป็นประกาย กอดคอเขาเอาไว้อย่างออดอ้อน น้ำเสียงอ้อแอ้เรียกเขาว่า “ท่านพ่อ” แม้เขาจะต้องเหนื่อยยากจากงานข้างนอกมาแค่ไหนก็คุ้ม

 

 

ทว่าใครจะคิดว่าการตั้งครรภ์ของเหวินเหนียงจะเป็นสัญญาณเรียกจากความตาย เหวินเหนียงอยู่ในสภาวะคลอดยาก ทรมานอยู่หนึ่งวันหนึ่งคืนก็จากไป ทารกชายในครรภ์ก็จากไปพร้อมนางด้วย

 

 

ฝังจิ่นอุ้มลูกสาวแล้วมองไปทางภรรยานิ่งๆ เขาไม่อยากที่จะเชื่อเลย วินาทีก่อนหน้านี้ภรรยายังคงยิ้มแย้มแจ่มใสกับเขา วินาทีต่อมานางกลับนอนนิ่งตัวเย็นชืดอยู่ตรงนั้น แต่งงานมาเจ็ดปี พวกเขาเป็นคู่สามีภรรยาที่รักใคร่กันดี เขาไม่อาจทนรับได้ที่ภรรยาทิ้งพวกเขาสองพ่อลูกไว้ในโลกมนุษย์เช่นนี้

 

 

ได้ยินเสียงร่ำไห้ปานจะขาดใจของลูกสาวอยู่ข้างหู เขาทำได้เพียงอุ้มลูกสาวเอาไว้แล้วกอดแน่นๆ

 

 

การสูญเสียภรรยาในครั้งนั้นทำให้เขากลายเป็นศพเดินได้ โยนจิตใจทั้งหมดเอาไว้ที่งาน แต่เขากลับละเลยลูกสาว ย่วนย่วนที่เสียแม่คอยปกป้องดูแลตกลงมาจากขั้นบันได เสียเลือดไปมาก เมื่อเห็นใบหน้าเล็กขาวซีดของลูกสาว ฝังจิ่นจึงได้สติจากความทุกข์ ภรรยาจากไปแล้ว หากเขาไม่แม้แต่จะดูแลลูกสาวของพวกเขาให้ดี จะมีหน้าไปพบภรรยาได้อย่างไร

 

 

แต่เขายังเป็นผู้ชาย และยังมีงานราชการ ไม่อาจอยู่บ้านดูแลลูกสาวได้ตลอดเวลา! สุดท้ายแม่ใหญ่ก็ทนมองไม่ได้ รับย่วนย่วนไปดูแล ตอนนั้นเขาซาบซึ้งในบุญคุณอย่างถึงที่สุด

 

 

ฝังจิ่นที่ไม่มีห่วงอยู่ข้างหลังก็ยิ่งใส่ใจต่องานมากยิ่งขึ้น เพียงไม่นานก็แสดงศักยภาพให้เห็น ฝ่าบาทชื่นชมอยู่หลายครั้ง ในตอนนั้นเขาคิดว่าตัวเขานั้นนำพาเกียรติยศมาให้ตระกูล ทั้งที่ในความจริงนั่นเป็นสัญญาณอันตรายของเขา

 

 

วันนั้นเป็นวันครบรอบวันเกิดปีที่สาบสิบหกของบิดา มีแขกมากมายเข้ามาในบ้าน ตัวเขาที่เป็นลูกชายคนโตนั้นต้องช่วยต้อนรับ วันนั้นเขาดื่มเหล้าเข้าไปมาก จากนั้นก็ไม่ได้สติ ตอนที่เขาได้สติขึ้นมาแล้วก็ต้องเผชิญหน้ากับบิดาที่สองตาเต็มไปด้วยโทสะ “เจ้าลูกชั่ว!” และแม่ใหญ่ยังร้องไห้พลางตะโกนว่า “จิ่นเอ๋อร์ ทำไมถึงทำเรื่องแบบนี้ลงไปได้”

 

 

ทำเรื่องอะไรกัน เขาทำอะไรลงไป เขาพบว่าตัวเองนอนอยู่ในห้องที่ไม่คุ้นเคย มีหญิงสาวคนหนึ่งนอนอยู่ข้างๆ เขา เป็นอนุภรรยาของท่านพ่อ ฮวาอี๋เหนียง

 

 

ตอนนั้นเขามึนงงไปหมด เขาอยู่นอกเรือนไม่ใช่หรือ มาถึงเรือนของฮวาอี๋เหนียงได้อย่างไร เด็กรับใช้ของเขาเล่า

 

 

ทว่าวินาทีต่อมาเขาก็ต้องชะงัก ฮวาอี๋เหนียงบอกกับพ่อของเขาว่า “นายท่าน เป็นคุณชายใหญ่ที่บังคับข้า ตัวข้านั้นไม่มีทางเลือก! ข้ารู้สึกผิดต่อนายท่านเหลือเกิน” ปิ่นปักผมในมือทิ่มไปที่หน้าอกของตัวเองอย่างแรง

 

 

“สัตว์เดรัจฉาน เจ้ามันเป็นสัตว์เดรัจฉาน มัดตัวมันไว้” เขายังไม่ทันที่จะพูดบิดาของเขาก็สั่งให้คนมัดตัวเขาเข้ามาตัดสินโทษในเรือน

 

 

ความเจ็บปวดจากไม้พลองที่ตีลงมาบนร่างทำให้เขาได้สติกลับคืนมา “ท่านพ่อ ลูกผิดไปแล้ว เป็นเพราะลูกดื่มจนเมา ไม่รู้ตัวจริงๆ ว่าไปถึงเรือนของฮวาอี๋เหนียงได้อย่างไร ท่านพ่อ ท่านต้องเชื่อลูกนะขอรับ ลูกไม่มีทางทำเรื่องไม่ถูกทำนองคลองธรรมเช่นนี้ได้” ข่มขืนอนุของบิดา เขาอ่านหนังสือคุณธรรมของท่านนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ไหนเลยจะทำเรื่องเสียเกียรติเช่นนี้ได้ เรื่องนี้จะต้องมีข้อผิดพลาดแน่

 

 

ทว่าบิดากลับไม่เชื่อเขา “สัตว์เดรัจฉาน แล้วฮวาอี๋เหนียงจะข่มเหงเจ้าได้หรือ ข้าจะตีเจ้าให้ตาย ตีเจ้าลูกเลวไร้คุณธรรมเช่นนี้ให้ตาย! ต่อหน้าสายตาของผู้คนมากมายยังกล้าทำเรื่องชั่วช้าเช่นนี้ ข้าต้องเสียหน้าเพราะเจ้าไปตั้งเท่าไหร่”

 

 

ใช่แล้ว หากคนนอกมองเข้ามา ใครจะคิดว่าฮวาอี๋เหนียงจะข่มเหงเข้าได้ คนเราจะเสียสละชีวิตเพื่อทำลายคนที่ไม่มีประโยชน์ต่อตัวเองได้อย่างไร

 

 

ฝังจิ่นเลิกที่จะอธิบาย ฟังบิดาก่นด่าด้วยความมึนงง แม่ใหญ่ร้องไห้คร่ำครวญ เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งเขาก็ถูกขังเอาไว้ในคุก เขาขยับตัวอย่างยากลำบาก หลังของเขาเจ็บปวดเหมือนถูกไฟแผดเผา

 

 

เขาพยายามที่จะคิดเพื่อให้เข้าใจถึงเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด เมื่อถึงตอนนี้ เขากลับรู้สึกว่าตัวเขาในตอนนั้นที่ไม่เข้าใจว่านี่คือแผนการในการกำจัดเขานั้นช่างโง่เง่า เขาและฮวาอี๋เหนียงไม่มีความเกี่ยวข้องแม้แต่น้อย กระทั่งไม่เคยพูดคุยกันเลย ทำไมฮวาอี๋เหนียงต้องหาเรื่องทำร้ายเขาด้วย เด็กรับใช้ของเขาไปไหน ท่านพ่อไม่สนใจเขา ชื่อเสียงของเขาต้องถูกทำลาย ใครจะได้ประโยชน์มากที่สุด

 

 

เขารู้แจ้งได้ชัดเจน แต่เขาไม่กล้าที่จะมั่นใจในคำตอบของตัวเอง