บทที่ 433.1 ลองวางหลักการในตำราลงก่อน

กระบี่จงมา! Sword of Coming

วันนี้แถบเกาะชิงเสียของทะเลสาบซูเจี่ยนคลื่นลมนิ่งสงบ ผิวน้ำของทะเลสาบราบเรียบราวกระจก เกาะใต้อาณัติน้อยใหญ่รอบด้านมีเทือกเขาเขียวขจีสลับสล้าง เสียงนกกระเรียนเซียนในตระกูลเซียนแผดยาวให้ได้ยินเป็นระยะ บางครั้งก็มีสายรุ้งเส้นสองเส้นพุ่งพาดผ่านท้องนภาห่างไปไกล บางครั้งก็มีเสียงสายฟ้าคำรามครืนครั่น

ทัศนียภาพงดงามชวนสบายตาสมกับเป็นถ้ำสถิตแห่งเทพเซียน

ศิษย์พี่ใหญ่เถียนหูจวินสวมเสื้อแขนสั้นสีแดงสดปักลายเมฆมงคลด้วยด้ายสีทอง ในมือหอบเอกสารปึกใหญ่กำลังเดินเนิบช้าไปยังห้องที่อยู่ใกล้กับประตูภูเขาของเกาะชิงเสีย ตลอดทางผู้ฝึกตนทุกคนที่เห็นเถียนหูจวินต่างก็หลีกทางถอยไปอยู่ด้านข้างแล้วคารวะผู้ฝึกตนหญิงหน้าตางดงามผู้นี้

เถียนหูจวินไม่เคยตอบรับใคร

ทุกวันนี้นางคือบุคคลผู้กุมอำนาจที่งไม่ว่าไปที่ไหนก็ล้วนได้รับการต้อนรับจากคนทั่วเกาะชิงเสีย ตลอดหลายปีมานี้พลังอำนาจของเกาะชิงเสียเพิ่มพูนขึ้น เถียนหูจวินติดตามหลิวจื้อเม่าผู้เป็นอาจารย์และศิษย์น้องเล็กกู้ช่านออกกรีฑาทัพไปทั่ว สงครามนองเลือดที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่เพียงแต่ช่วยขัดเกลาตบะของนาง ส่วนแบ่งหลังจบเรื่องยังมากมหาศาล บวกกับของรางวัลที่หลิวจื้อเม่ามอบให้ ทำให้เมื่อช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงของปีก่อน เถียนหูจวินสามารถเลื่อนขั้นเป็นเซียนดินโอสถทองได้อย่างราบรื่น ตอนนั้นเกาะชิงเสียจัดงานเลี้ยงฉลองครั้งใหญ่เพื่อร่วมเฉลิมฉลองให้กับเถียนหูจวินที่กลายเป็นโอสถทอง กลายเป็นเทพเซียน

เถียนหูจวินเดินมาหยุดที่หน้าประตูห้องแห่งนั้น เคาะประตูก่อนเดินเข้าไป นางเห็นว่าคนหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะกำลังเงยหน้ามองมาที่ตน

คนหนุ่มปักปิ่นไว้บนศีรษะ สวมชุดคลุมยาวสีเขียว ข้างโต๊ะวางน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาดไว้ใบหนึ่ง เพียงแต่ว่ามาที่นี่หลายครั้งแล้ว เถียนหูจวินที่เป็นเซียนดินโอสถทองจึงพอจะมองเบาะแสบางอย่างออกว่าน้ำเต้าบรรจุเหล้าไม่ธรรมดา มีความเป็นไปได้ว่าจะถูกยอดฝีมือร่ายเวทอำพรางตาเอาไว้ สิ่งของที่มีค่ามากพอให้ผู้ฝึกตนใหญ่อำพรางภาพลักษณ์ของมันเช่นนี้ ย่อมต้องเป็นสมบัติอาคมชั้นสูงของแท้อย่างเช่นน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่แน่นอน

เถียนหูจวินเคยพูดคุยกับหลิวจื้อเม่าผู้เป็นอาจารย์อย่างลับๆ ครั้งหนึ่งเกี่ยวกับน้ำเต้าบรรจุเหล้าใบนี้ คำตอบที่หลิวจื้อเม่ามอบให้ได้ช่วยพิสูจน์ว่าการคาดเดาของเถียนหูจวินเป็นความจริง มันก็คือน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ชั้นสูงใบหนึ่ง

แต่ที่ยิ่งทำให้เถียนหูจวินหวาดหวั่นหาใช่น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่คนหนุ่มผู้นี้เอามาทำเป็นน้ำเต้าบรรจุเหล้าไม่ แต่เป็นกระบี่ยาวเล่มที่วางไว้ในห้องด้านข้างอันเป็นที่พักของศิษย์น้องเล็กกู้ช่านเล่มนั้นต่างหาก หลิวจื้อเม่ายืนยันว่า นั่นคืออาวุธกึ่งเซียนที่พยศยากจะกำราบเล่มหนึ่ง

หลิวจื้อเม่าบอกเถียนหูจวินว่าระยะเวลาช่วงนี้ให้ควบคุมผู้ฝึกตนทุกคนบนเกาะชิงเสียให้ดี อย่างน้อยที่สุดก็ห้ามทำอะไรตามใจชอบเหมือนเวลาปกติจนกว่าเฉินผิงอันจะไปจากทะเลสาบซูเจี่ยน

นั่นเป็นครั้งแรกที่เถียนหูจวินสัมผัสได้ถึงสิ่งที่ไม่คุ้นเคยอย่าง ‘การถูกจำกัด’ จากบนร่างของหลิวจื้อเม่าผู้เป็นอาจารย์

เมื่อเข้ามาในห้อง คนหนุ่มก็ลุกขึ้นยืนแล้วเคลื่อนย้ายของบนโต๊ะ เว้นที่ว่างแถบหนึ่งให้กับเถียนหูจวิน

เถียนหูจวินจึงวางเอกสารปึกใหญ่ที่ถูกฝุ่นเกาะหนาชั้นในมือลงบนโต๊ะเบาๆ แล้วเอ่ยขออภัยว่า “ท่านเฉิน นี่เป็นเอกสารลับชุดที่สามที่หามาได้จากห้องควันธูปของเกาะชิงเสีย ห้องควันธูปไม่ถูกกำราบมานาน ใช้ชีวิตสุขสบายที่ฟ้าไม่สนดินไม่แลมานานจนชินแล้ว ดังนั้นเอกสารจึงเก็บไว้ได้ไม่ครบถ้วน มดมอดกันกินไปค่อนข้างมาก ท่านเฉิน ต้องขออภัยด้วย”

เฉินผิงอันโบกมือ “หวังว่าเถียนเซียนซือจะไม่ลงโทษห้องควันธูปด้วยเรื่องนี้ เดิมทีก็เป็นเถียนเซียนซือกับห้องควันธูปของเกาะชิงเสียที่ช่วยเหลือข้า เถียนเซียนซือ ท่านคิดว่าอย่างไร?”

เดิมทีเถียนหูจวินคิดไว้แล้วว่าจะลากตัวผู้ดูแลหลักสามคนของห้องควันธูปมาจัดการสักคำรบ แต่เวลานี้เมื่อเห็นสีหน้าและสายตาของเฉินผิงอัน เถียนหูจวินก็ล้มเลิกความคิดนี้ทันที นางเปลี่ยนความคิดใหม่ หรือควรจะเรียกมาสั่งสอนเป็นการส่วนตัวดี? ตอนนี้มองภายนอกทะเลสาบซูเจี่ยนสุขสงบ ผู้ฝึกตนของเกาะชิงเสียคุ้นเคยกับคาวลมฝนเลือดอย่างปีก่อนๆ แล้ว ช่วงที่ผ่านมานี้แต่ละคนจึงอยู่ว่างจนเกิดความว้าวุ่นและเบื่อหน่ายอย่างยิ่งยวด จากลูกศิษย์ใหญ่ที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ของสกัดคงคาเจินจวิน จากที่เคยถูกผู้ฝึกตนยอดฝีมือคนหนึ่งของสำนักหยินหยางที่เคยมาเป็นแขกของเกาะชิงเสียวิเคราะห์ไว้ว่าชีวิตนี้จะเป็นได้แค่ผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรที่ไร้ความหวังว่าจะได้เป็นเซียนดิน เถียนหูจวินกระโดดพรวดก้าวเดียวมากุมอำนาจใหญ่ อาศัยพลังการต่อสู้ยึดครองเกาะเหมยเซียนที่แย่งชิงมาเพียงลำพัง เมื่ออยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนแห่งนี้ก็เทียบเท่าเป็นแคว้นใต้อาณัติที่แยกตัวเป็นอิสระ ที่นั่นคือถิ่นฐานที่กลายมาเป็นของนางเถียนหูจวินอย่างแท้จริง อีกทั้งสกัดคงคาเจินจวินยังเป็นคนที่แบ่งแยกการให้รางวัลและการลงโทษอย่างชัดเจน ซึ่งนี่ก็คือรากฐานที่ทำให้หลิวจื้อเม่าสามารถสร้างสถานการณ์ใหญ่ให้เกาะชิงเสียเป็นผู้พิชิตเพียงหนึ่งเดียวของทะเลสาบซูเจี่ยน หลิวจื้อเม่าไม่เคยขี้เหนียวกับการให้รางวัลแก่ ‘กลุ่มขุนนางผู้มีคุณูปการ’ พวกคนที่เข้ามาอยู่ภายหลัง หรือพวกคนที่มาสวามิภักดิ์ ขอแค่กล้าสู้กล้าสังหารกล้าทุ่มเทชีวิตเพื่อสร้างผลงานให้แก่เกาะชิงเสีย การให้รางวัลจากศาลบรรพจารย์เกาะชิงเสียล้วนเท่าเทียมกันเสมอ

เฉินผิงอันกล่าว “หลังจากนี้ข้าอาจจะต้องไปหาผู้ดูแลของห้องควันธูปเพื่อถามเรื่องบางอย่าง รบกวนเถียนเซียนซือช่วยนำความไปแจ้งแก่เขาสักหน่อย”

ในใจเถียนหูจวินหวาดผวา รีบคลี่ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ท่านเฉินเกรงใจกันเกินไปแล้ว นี่เป็นงานในหน้าที่ของเถียนหูจวิน ยิ่งเป็นเกียรติของห้องควันธูป”

เฉินผิงอันเงียบงันเป็นคำตอบ เห็นว่าเถียนหูจวินเหมือนยังไม่คิดจะจากไป จึงได้แต่เปิดปากถามเบาๆ ว่า “เถียนเซียนซือมีเรื่องอะไรจะปรึกษากันหรือ?”

เถียนหูจวินเรียงคำต่อประโยคในใจอย่างระมัดระวัง หลังจากเรียบเรียงได้คร่าวๆ แล้วก็เอ่ยว่า “อาจารย์ต้องการให้ข้าถามท่านเฉินว่า อีกไม่นานทางทะเลสาบซูเจี่ยนจะจัดงานคัดเลือกผู้นำแห่งยุทธภพบนเกาะกงหลิ่ว ท่านเฉินจะเข้าร่วมด้วยหรือไม่?”

เฉินผิงอันกล่าว “นี่เป็นสถานการณ์ใหญ่ดีงามที่เกาะชิงเสียของพวกเจ้าได้มาครองอย่างยากลำบาก แล้วก็เป็นเรื่องในบ้านของทะเลสาบซูเจี่ยนพวกเจ้า ข้าย่อมไม่เข้าร่วมด้วยอยู่แล้ว แต่ข้าจะอยู่รอชมเรื่องสนุกที่นี่”

เถียนหูจวินรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก คำตอบของนักบัญชีที่ทำให้ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่บนเกาะชิงเสียมึนงงไม่เข้าใจผู้นี้นับว่าน่าพึงพอใจ และนางก็น่าจะนำไปอธิบายให้หลิวจื้อเม่าผู้เป็นอาจารย์ฟังได้

เฉินผิงอันอ้อมโต๊ะหนังสือ เดินไปส่งเถียนหูจวินที่หน้าประตู

แม้ว่าเขาจะทำเช่นนี้ทุกครั้ง ทว่าเถียนหจวินกลับยังอดรู้สึกตกใจที่ได้รับความเมตตาอย่างไม่คาดฝันไม่ได้ หลังจากที่เถียนหูจวินเดินจากไปไกลแล้ว นางก็แอบครุ่นคิดใคร่ครวญอยู่กับตัวเอง นักบัญชีเฉินผิงอัน คนยังคงเป็นคนเดิม แต่ที่ทำให้รู้สึกแปลกไป น่าจะเป็นเพราะตอนนี้นางรู้ว่าน้ำเต้าของเขาคือน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่และกระบี่เล่มนั้นก็คืออาวุธกึ่งเซียนกระมัง?

เฉินผิงอันย้อนกลับไปที่โต๊ะหนังสือ เริ่มอ่านเอกสารของห้องควันธูปแต่ละฉบับ

ชื่อแซ่ ภูมิลำเนา วันเดือนปีเกิด วิชาความรู้ที่ได้รับถ่ายทอด ญาติและตระกูล

ในบรรดานี้มีชื่อของคนหลายคนที่ได้ถูกทางห้องควันธูปเกาะชิงเสียใช้ชาดสีแดงขีดฆ่าตามกฎดั้งเดิม นี่เรียกว่าการเพิกถอนจากเอกสาร

ทุกครั้งที่เฉินผิงอันเจอชื่อที่ตัวเองต้องการหา เขาก็จะเขียนมันลงไปในตำราว่างเปล่าที่จงใจไม่ขีดเขียนตัวอักษรใดๆ ลงไปซึ่งวางอยู่ข้างกาย นอกจากวันเกิดและภูมิลำเนาแล้ว ยังมีหน้าที่ที่คนเหล่านี้เคยทำบนเกาะชิงเสีย ในเอกสารเหล่านี้ของห้องควันธูป เนื้อหาที่เกี่ยวกับผู้ฝึกตนหรือนักการบนเกาะชิงเสียจะหนาหรือบางจะเกี่ยวพันกับว่าตบะของพวกเขาสูงหรือต่ำ หากตบะสูง เนื้อหาที่ถูกบันทึกไว้ก็จะมีมาก ตบะน้อยนิดก็มักจะมีแค่ชื่อแซ่บวกกับภูมิลำเนาเท่านั้น ไม่ถึงสิบตัวอักษร

และยังมีคนตายหลายคนที่อันที่จริงแล้วไม่เคยแม้แต่จะปรากฏในเอกสารของห้องควันธูปมาก่อน เมื่อตายไปแล้ว แม้แต่ชื่อก็ไม่ได้รับการบันทึกเอาไว้

หลังจากนั้นนอกจากจะไปที่ห้องควันธูปเพื่อสอบถามถึงนิสัยใจคอและความรู้สึกที่คนรอบข้างมีต่อกลุ่มคนที่ตัวเองบันทึกชื่อเอาไว้แล้ว เฉินผิงอันยังสืบสาวเบาะแสต่อไปอีกจากปากของผู้ฝึกตน พ่อบ้านของจวนและแม่นางเปิดสาบเสื้อบนเกาะชิงเสีย ถามถึงคนเหล่านั้นแล้วบันทึกไว้ในตำรา และระยะเวลาช่วงนี้ก็ยังไปรบกวนบุคคลผู้กุมอำนาจที่ดูแลด้านต่างๆ ของเกาะชิงเสียเหมือนที่รบกวนให้เถียนหูจวินไปที่ห้องควันธูป เพราะหากไม่ทำเช่นนั้นเฉินผิงอันอาจจะไม่ได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจหมดไปแค่กับเรื่องนี้ แต่กลับต้องเสียเวลาเดินไปเดินมาอยู่บนเกาะมากเกินความจำเป็น

ในขณะที่เถียนหูจวินกำลังเดินทางไปรายงานเรื่องนี้แก่หลิวจื้อเม่า นางก็เจอเข้ากับกู้ช่านศิษย์น้องเล็กที่สวมชุดคลุมอาคมคราบหนังเจียวหลงพอดี

ส่วนศิษย์น้องชายหญิงคนอื่นๆ ที่รวมถึงฉินเจวี๋ย เฉาเจ๋อ และยังมีเค่อชิงผู้ถวายงานใหญ่สิบคนที่แยกกันอยู่ตามเกาะใหญ่ทั้งสิบสองแห่งซึ่งรวมเกาะชิงเสีย เกาะเหมยซานและเกาะซู่หลินเป็นหนึ่งในนั้น เนื่องจากพิธีใหญ่บนเกาะกงหลิ่วขยับเข้ามาใกล้ทุกที อีกทั้งระบบขั้นสูงของเกาะชิงเสียนั้นภายนอกมองดูเหมือนผ่อนคลาย แต่ภายในแน่นหนารัดกุม พวกคนสนิทและขุนพลที่มีความสามารถของเกาะชิงเสียเหล่านี้จึงต้องอาศัยชื่อของสกัดคงคาเจินจวินไปทำหน้าที่เป็นผู้โน้มน้าวชักจูง ประหนึ่งคนของสำนักจ้งเหิงที่วิ่งวุ่นคอยซื้อใจผู้คนไปทั่ว ไม่ว่าจะใช้แผนการชั่วร้ายหรือเอาสถานการณ์ใหญ่มาอ้าง ก็เรียกได้ว่าทำทุกวิถีทาง หากไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล

กู้ช่านเห็นเถียนหูจวิน เขาก็ยังคงมีท่าทีเหมือนชาวนาหนุ่มน้อยที่สอดมือสองข้างไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มตาหยีกล่าวว่า “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ไปพบเฉินผิงอันมาอีกแล้วหรือ ข้าขอเตือนศิษย์พี่หญิงใหญ่ด้วยความหวังดีสักคำว่าอย่าได้คิดเรื่องที่ไม่ควร ห้ามคิดว่าหากวันใดเสนอตัวปีนขึ้นเตียงของเฉินผิงอันแล้วจะได้ลิ้มรสชาติที่ถูกข้าเรียกว่า ‘อาซ้อ’ เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นพอข้าเรียกว่าอาซ้อจบแล้วก็จะไม่เห็นแก่มิตรภาพของคนในสำนักเดียวกันอะไรอีก”

เถียนหูจวินยิ้มเฝื่อน “ศิษย์น้องเล็ก ข้าไม่ได้ถูกผีบังใจสักหน่อย อีกอย่าง ท่านเฉินจะชอบคนที่หน้าตาดาษดื่นอย่างข้าหรือ?”

กู้ช่านอารมณ์ดีเล็กน้อย “ก็ใช่น่ะสิ เฉินผิงอันตาสูงนักล่ะ ปีนั้นเขายังไม่เห็นผู้หญิงอย่างจื้อกุยที่เป็นเพื่อนบ้านอยู่ในสายตาเลย ศิษย์พี่หญิงใหญ่เจ้ารู้จักประมาณตนเช่นนี้ ข้าปลาบปลื้มนัก”

เวลาที่พูดคุยกับกู้ช่าน เถียนหูจวินจะต้องค้อมตัวลงต่ำอย่างไม่ให้เป็นที่จับสังเกตเสมอ เพื่อที่ว่ากู้ช่านจะได้ไม่ต้องแหงนหน้าหรือกวาดสายตามองขึ้นด้านบน นานวันเข้า ท่าทางเช่นนี้จึงเป็นไปเองตามธรรมชาติ

กู้ช่านเอ่ยต่อ “อีกอย่าง เรื่องเกี่ยวกับแม่นางเปิดสาบเสื้อ เจ้าต้องช่วยข้าปิดปากให้สนิท หากคนอื่นหลุดปากพูดออกไปคือพวกเขาโง่ รนหาที่ตายเอง แต่หากคนฉลาดที่จิตใจละเอียดอ่อนอย่างศิษย์พี่หญิงใหญ่เผลอพูดเมื่อไหร่ ข้าคงต้องสงสัยซะแล้วว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่มีจิตคิดร้ายต่อข้า ขนาดปีนั้นอาจารย์ยังปกป้องศิษย์พี่ใหญ่ไม่ได้ ถึงเวลานั้นก็ย่อมปกป้องศิษย์พี่หญิงใหญ่ไม่ได้เหมือนกัน แต่ข้ารู้ว่า ศิษย์พี่หญิงสามที่นิสัยคล้ายจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ชอบมุดเข้าผ้าห่มของผู้อื่นคนนั้นไม่ค่อยใกล้ชิดสนิทสนมกับศิษย์พี่หญิงใหญ่เท่าใดนัก หากไม่เป็นเพราะตบะและคุณสมบัติในการฝึกตนย่ำแย่เกินไป ไม่แน่ว่าทุกวันนี้พวกเราอาจจะต้องเรียกนางว่าอาจารย์แม่แล้ว”

รอยยิ้มของเถียนหูจวินชะงักค้าง “นิสัยของศิษย์พี่ ศิษย์น้องเล็กยังไม่รู้อีกหรือ?”

กู้ช่านพยักหน้ารับ “ก็เพราะว่ารู้นี่แหละ ข้าถึงต้องเอ่ยเตือนศิษย์พี่หญิงใหญ่ ไม่อย่างนั้นหากวันใดต้องเอาชีวิตมาทิ้งที่ข้าเพียงแค่เพราะหวังเศษอาหารจากซอกฟันของอาจารย์ ศิษย์พี่หญิงใหญ่ไม่เสียดาย ข้าที่เป็นศิษย์น้อง ได้รับการดูแลจากศิษย์พี่หญิงใหญ่มานานหลายปีขนาดนี้ ย่อมต้องเสียใจอย่างสุดซึ้ง”

เถียนหูจวินยิ้มฝาดเฝื่อน “ข้าจำไว้แล้ว”

กู้ช่านยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งมาตบข้างแก้มของเถียนหูจวินเบาๆ “ไปเถอะ อาจารย์กำลังรอฟังข่าวจากเจ้าอยู่นะ”

เถียนหูจวินจากไปแล้ว

กู้ช่านจึงหันมาพูดกับหนีชิวน้อย “จะเอาแต่เรียกเจ้าว่าหนีชิวน้อยก็คงไม่เข้าท่า ไป ข้าจะไปให้เฉินผิงอันช่วยตั้งชื่อให้กับเจ้า”

หนีชิวน้อยทำท่าอิดออด

กู้ช่านยิ้มกล่าว “ไม่ใช่ชื่อแห่งชะตาชีวิตของเจ้าสักหน่อย มีอะไรให้ต้องกลัวและเขินอายกันเล่า”

ระหว่างทางที่เดินไปยังห้องแห่งนั้น กู้ช่านขมวดคิ้วถาม “คืนนั้น ความเคลื่อนไหวในห้องของเฉินผิงอัน เป็นความผิดพลาดจากการหลอมลมปราณอย่างที่เขาบอกจริงๆ หรือ?”

หนีชิวน้อยส่ายหน้า ในฐานะที่มันเป็นก่อกำเนิดคนหนึ่ง หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับการหลอมลมปราณ ก็เหมือนคนที่อยู่สูงกว่าหลุบตาลงต่ำมองการหลอมลมปราณของผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนดุจแสงไฟในถ้ำมืดมิด “ย่อมไม่ได้ง่ายดายแค่นั้น เพียงแค่ดีกว่าธาตุไฟเข้าแทรกเล็กน้อย ส่วนสาเหตุที่แน่ชัดนั้นบอกได้ยาก เฉินผิงอันมีรากฐานของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว อีกทั้งยังสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะขึ้นมาใหม่ ไม่ค่อยเหมือนกับพวกเราเท่าไหร่ ดังนั้นข้าจึงมองความจริงไม่ออก แต่คืนนั้นเฉินผิงอันได้รับบาดเจ็บไม่เบา นายท่านเองก็มองออกแล้ว ไม่ใช่แค่ในด้านของร่างกายและจิตวิญญาณเท่านั้น สภาพจิตใจก็…”

หนีชิวน้อยไม่กล้าพูดต่อ

กู้ช่านหยุดเดิน เงียบงันไปนาน

ร่างทั้งร่างของเขาแผ่พลังอำนาจที่ทำให้คนหายใจไม่ออก

มารน้อยชั่วร้ายที่คนในทะเลสาบซูเจี่ยนแค่ได้ยินชื่อก็ขวัญผวาผู้นี้ ไม่ได้อาศัยแค่หนีชิวน้อยและหลิวจื้อเม่าถึงได้เดินมาจนถึงทุกวันนี้

กู้ช่านยิ้มขื่นกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าบอกมาสิว่าควรจะชดเชยแก้ไขอย่างไร?”

หนีชิวน้อยที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กสาวผิวขาวนวลเนียนดุจขนนกเกาหัว “ตัวเฉินผิงอันเองยังไม่พูดอะไร นายท่านก็อย่าวาดงูเติมขาดีกว่ากระมัง? นายท่านชอบเยาะเย้ยพวกมดตัวน้อยที่อยู่ในทางตันเหมือนสัตว์ตกหลุมกับดักว่ายิ่งทำมากก็ยิ่งทำผิดไม่ใช่หรือ?”

กู้ช่านพยักหน้ารับ “มีเหตุผล”

—–