TB:บทที่ 323 อาหาร

ลิลิธจ้องมองเฉินหลงด้วยสีหน้าประหลาดแล้วพูดขึ้นมาว่า “หือ เฉินหลงเหรอ? ชื่อแปลกจัง”

“เหอะ เขามาจากประเทศจีนจะใช้ชื่อแบบนั้นก็ไม่แปลกหรอกครับ แต่สิ่งที่ผมไม่เข้าใจคือทำไมเราต้องร่วมมือกับอาหารด้วยละครับ” สกาย หนึ่งในคนทั้งเจ็ดจ้องมองเฉินหลงด้วยสายตาเยือกเย็นชาแล้วกล่าวออกมา

 

“ระวังคำพูดด้วยครับ เจ้านายของคุณคือคุณแอนเดสที่เป็นหุ้นส่วนของทางสภา คุณเป็นแค่ลูกน้องของเขา เพราะฉะนั้นจะพูดจะจาอะไรก็ระวังคำพูดของตัวเองด้วยครับ” หวู่เต่าเทียนที่ยืนอยู่ข้างหลังเฉินหลงพูดขึ้นพร้อมกับหันไปมองคนไร้มารยาทอย่างสกาย

“ว่ายังไงนะ? กล้าพูดกับฉันแบบนี้ นายรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร? เหอะ นายจะเชื่อที่ฉันพูดหรือไม่เชื่อก็เรื่องของนาย แต่ฉันจะฆ่านายให้ตายเดี๋ยวนี้!” จากนั้น สกายก็ได้แยกเขี้ยวอันแหลมคมของตนใส่หวู่เต่าเทียนทันที

 

ทันทีที่เห็นสกายกำลังจะมีเรื่องกับเฉินหลง ในสมองของแอนเดสไม่มีคำพูดอื่นใดนอกเสียจาก อ๊ากกกกกก!

“สกาย หยุดก่อนครับ! พวกเราเป็นพวกเดียวกัน คุณจะทำอะไรแบบนั้นไม่ได้นะครับ!” ทันใดนั้นแอนเดสรีบวิ่งเข้าไปห้ามปรามสกายที่กำลังจะเข้าไปหาเรื่องหวู่เต่าเทียนไว้ด้วยการยืนขวางระหว่างคนทั้งสอง

จู่ๆเฉินหลงก็พูดขึ้นมาว่า “คุณแอนเดส ไม่เป็นไรครับ ปล่อยให้พวกเขาสู้กันสักตั้ง แต่ว่าต้องออกไปสู้กันข้างนอกนะครับ ผมไม่อยากเห็นปราสาทของตัวเองถล่มสักเท่าไหร่”

อีกฝ่ายเป็นแวมไพร์ น่าสนใจจริงๆ มาดูกันว่านายจะแน่สักแค่ไหน

 

เมื่อเฉินหลงพูดจบ สกายกับลิลิธก็ได้หันไปมองเฉินหลงพร้อมกัน

ในตอนที่พวกเขามาถึงที่นี่ พวกเขาได้วางแผนว่าจะยึดอำนาจและที่แห่งนี้มาอยู่ในกำมือของตน พวกเขาจะทำทุกอย่างที่ตัวเองต้องการ ไม่มีใครหน้าไหนสามารถหยุดยั้งพวกเขาได้ทั้งนั้น

พวกเขาสามารถจัดการพ่อหนุ่มที่ชื่อแอนเดสได้อย่างง่ายดาย มีเพียงเฉินหลงคนเดียวที่พวกเขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีพลังระดับอะไร ดังนั้นพวกเขาจึงต้องใจเย็นและตามน้ำอีกฝ่ายไปก่อน

 

เดิมที พวกเขาคิดว่าเฉินหลงจะกลัวพวกตน คิดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะกล้าพูดอะไรแบบนี้ออกมา

แต่ในเมื่อเฉินหลงออกปากมาขนาดนี้แล้ว ถ้างั้นก็ต้องสู้กันสักตั้ง!

จากนั้น พวกเขาจึงเดินออกไปนอกปราสาท

ระหว่างทาง เฉินหลงสั่งให้หวู่เต่าเทียนอัญเชิญดวงจิตแห่งทวยเทพ เพราะถ้าเขาไม่ทำอย่างนั้นแล้ว หวู่เต่าเทียนผู้นี้ก็คงไม่นับว่าเป็นคู่ต่อสู้ของสกาย

หลังจากที่ได้เรียนรู้วิธีอัญเชิญดวงจิตแห่งทวยเทพ หวู่เต่าเทียนจึงเริ่มคุ้นเคยกับมัน

เนื่องจากว่าหวู่เต่าเทียนนั้นมีพื้นฐานของการสถิตร่างมาก่อน เขาถึงได้เรียนรู้มันได้อย่างรวดเร็ว ทันทีที่เขาออกมานอกปราสาท เขาแทบไม่ต้องใช้มันเลย

ในตอนนี้ เฉินหลง จี้โม่ซี แอนเดสและลิลิธกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ที่มีพนักพิง โดยมีสตาร์ยืนอยู่ข้างกายลิลิธ

เฉินหลงที่เห็นความสำคัญของคำว่ามิตรภาพจึงหันไปพูดคุยกับลิลิธและสตารวมถึงคนที่เหลือ

 

“ไม่ทราบว่าสุภาพบุรุษทั้งหกคนอยากจิบไวน์แดงหรือไวน์คุนหลุนที่ได้มาจากดินแดนลับสักแกวไหมครับ?” คุณต้องการน้ำผลไม้หรือนมคุณลิลิธ

หลังจากได้ยินคำพูดของเฉินหลง ลิลิธก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที

เนื่องจากว่าเฉินหลงคิดว่าเธอเป็นแค่เด็กผู้หญิงที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ อีกฝ่ายถึงได้ถามว่าเธอต้องการดื่มน้ำผลไม้ไหม น่าหงุดหงิดชะมัด!

 

แต่ถึงอย่างนั้น ลิลิธก็สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้เป็นอย่างดี เธอจึงหันไปตอบอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มทรงเสน่ห์ว่า “ขอบคุณในความหวัง แต่ฉันโตพอที่จะดื่มไวน์ได้ เพราะฉะนั้น ฉันขอไวน์คุนหลุนหนึ่งแก้ว!”

คำตอบของลิลิธทำให้เฉินหลงถึงกับหลุดหัวเราะออกมา “ฮ่าฮ่า คิดไม่ถึงเลยว่ารัฐสภาจะส่งเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนี้มาช่วยแอนเดสจริงๆ”

หากมีใครสังเกตสีหน้าของแอนเดสดูดีๆแล้ว จะพบว่าเจ้าตัวไม่ค่อยจะยินดีกับเรื่องนี้สักเท่าไหร่ ดูท่าว่างานนี้รัฐสภาคงอยากให้แอนเดสเป็นพี่เลี้ยงเด็กแล้วจริงๆ

 

“พวกผมก็ขอไวน์คุนหลุนครับ” สตาร์ตอบ

ในฐานะแวมไพร์ พวกเขารู้สึกเบื่อหน่ายกับการดื่มจิบไวน์แดงหรือเครื่องดื่มชนิดอื่นที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เต็มทน เมื่อพวกเขาได้ยินชื่อไวน์ที่พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนจึงอยากลิ้มลองมันดูสักครั้ง

ไม่นาน สองพี่น้องโอโนะก็ได้เดินถือขวดไวน์ออกมาจากปราสาท

ขวดไวน์ใบนี้หลอมมาจากโลหะทั้งห้า* โดยไวน์ขวดเล็กนี้ถูกแบ่งมาจากไวน์ขวดใหญ่ในตอนที่เฉินหลงไม่มีอะไรให้ทำ

หญิงสาวรินไวน์ให้เฉินหลงและทุกคนที่ต้องการจะลิ้มลองมัน

เดิมที เป้าหมายของสกายคือการสู้กับหวู่เต่าเทียน แต่ทันทีที่กลิ่นอันแสนหอมหวานของไวน์ลอยมาแตะจมูก เขาจึงรีบพูดขึ้นมาว่า “ขอเวลานอก ฉันเองก็อยากดื่มไวน์ด้วย”

 

เฉินหลงส่งสัญญาณให้สองพี่น้องโอโนะด้วยการขยิบตา โอโนะคนพี่จึงรินไวน์ใส่แก้วให้สกาย

สกายหยิบแก้วขึ้นมา ใช้จมูกสูดดมกลิ่นหอมเข้าปอด แล้วกระดกมันเข้าปากรวดเดียว ทันทีที่ได้สัมผัสรสชาติของไวน์คุนหลุนเขาถึงกับต้องร้องอุทานออกมาว่า “ไวน์ดี!”

หลังจากนั้น เขาก็ส่งคืนแก้วคืนให้โอโนะคนน้อง จากนั้นก็หันไปพูดกับเฉินหลง

 

“ไม่ว่าใครจะแพ้หรือชนะ ฉันจะเอาไวน์นี้ไปด้วย คนอย่างนายก็เป็นแค่อาหารเท่านั้นแหละ… อ้อ อีกอย่างคือ ขึ้นชื่อว่าสกายแล้ว ฉันไม่มีทางแพ้มนุษย์หรอกนะ”

หลังจากที่สกายพูดจบประโยค หวู่เต่าเทียนก็ได้อัญเชิญดวงจิตแห่งทวยเทพแทนที่จะเป็นดวงจิตเดิมเหมือนที่ผ่านมา แถมครั้งนี้ดวงจิตที่เขาอัญเชิญมานั้นเปล่งประกายคล้ายกับดวงจิตที่เฉินหลงเป็นคนอัญเชิญมาไม่มีผิด

 

หลังจากที่หวู่เต่าเทียนอัญเชิญดวงจิตแห่งทวยเทพ สกายก็จริงจังขึ้นมาทันที เนื่องจากเขารู้มาว่าคนตรงหน้าเขาอ่อนแอกว่าเขามาก แต่จู่ๆพลังของอีกฝ่ายก็มากขึ้นเป็นเท่าตัว เขาจะประมาทไม่ได้เด็ดขาด

หลังจากที่ดวงจิตแห่งทวยเทพได้รวมเข้ากับร่างของหวู่เต่าเทียน หวู่เต่าเทียนจึงค่อยๆเดินไปตรงหาสกาย

เมื่อหวู่เต่าเทียนเดินมาถึงสกาย เขาก็ปล่อยหมัดออกไปหนึ่งหมัดคือ ท่าที่หนึ่ง หมัดกระสุนทั้งสาม

ความสามารถในการปล่อยหมัดสามารถพิสูจน์ให้หวู่เต่าเทียนได้เห็นแล้วว่า เขายังคงมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน

 

“สุดยอด อย่างนี้สิถึงได้เรียกว่าวิชาต่อสู้ที่แท้จริง” หลังจากที่ปล่อยหมัดออกไป หวู่เต่าเทียนก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา

เมื่อเห็นอีกฝ่ายเริ่มเปิดฉากโจมตี สกายจึงไม่อาจเผยจุดอ่อนของตนออกมาให้อีกฝ่ายได้เห็น จึงซัดหมัดใส่หวู่เต่าเทียน

ตู้ม!

กำหมัดของหวู่เต่าเทียนปะทะกับกำหมัดของสกาย

ทุกอย่างหยุดนิ่งไปสองวินาที ก่อนที่สกายจะก้าวถอยหลังไปสองก้าว ส่วนหวู่เต่าเทียนยังคงยืนนิ่งอยู่ที่ตำแหน่งเดิม

“ไม่ได้ผล?”

คนที่เหลือถึงกับอึ้งที่เห็นสกายใช้พลังทำอะไรคู่ต่อสู้ไม่ได้

พวกเราเข้าใจว่าแวมไพร์วัยเจริญพันธ์จะมีร่างกายที่แข็งแรง มีพละกำลังมหาศาลและว่องไวมาก แต่การต่อสู้เพื่อวัดพลังเมื่อครู่ สกายที่เป็นถึงแวมไพร์หนุ่มกลับพ่ายแพ้ต่อมนุษย์ผู้นี้ ไม่อยากจะเชื่อเลย ให้ตายสิ!

 

ในขณะเดียวกันนั้นสกายก็ได้แสดงสีหน้างุนงงออกมา นี่เขาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้กับอาหารของตัวเองหรือ? อภัยให้ไม่ได้ เขาไม่ยอมรับมันหรอกนะ!

เมื่อคิดได้ดังนั้น สกายก็ปล่อยหมัดไปที่หวู่เต่าเทียนอีกครั้ง และเขาก็ได้พบเจอกับเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ

หมัดของสกายก็ยังทำอะไรคู่ต่อสู้ไม่ได้เหมือนกับก่อนหน้านี้ไม่มีผิด!

เมื่อพลังที่ปล่อยออกไปสูญเปล่า ใบหน้าของสกายก็เริ่มบิดเบี้ยวทันที

แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังคิดว่าพลังของตนนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าพลังของหวู่เต่าเทียน เขาจึงล้มเลิกการปล่อยพลัง แล้วใช้ความเร็วควบคู่กับพลังจัดการหวู่เต่าเทียนแทน

 

หวู่เต่าเทียนไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าความเร็วของสกายนั้นเร็วมาก แต่เขาก็ยังสามารถยืนยิ่งอยู่กับที่ได้แม้อีกฝ่ายจะเปลี่ยนรูปแบบการต่อสู้ก็ตาม

แม้การต่อสู้จะผ่านไปกว่าสิบรอบ ก็ไม่อาจบอกได้ว่าฝ่ายไหนเป็นผู้ชนะในศึกนี้

จู่ๆแอนเดสก็พูดขึ้นมาว่า “สกาย เลิกสู้ได้แล้ว เอาเป็นว่าทั้งสองคนเสมอกันก็แล้วกัน!”

เมื่อได้ยินคำสั่งจากแอนเดส สกายจึงยอมยุติการต่อสู้เพราะตนก็เข้าใจดีว่า ต่อให้พวกเขาสู้ต่อไป ก็ไม่ทราบผลแพ้ชนะอยู่ดี ทางที่ดีเขาควรหยุดมันไว้เท่านี้

 

“พลังของคุณนับว่ายอดเยี่ยม แต่ถ้าพวกเราเจ็ดพี่น้องรวมพลังกันแล้วละก็ ผมขอบอกเลยว่าคุณไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเราได้หรอก” ทันทีที่สกายยุติการต่อสู้ เขากลับพูดจาดูหมิ่นหวู่เต่าเทียนได้เต็มปาก

เห็นได้ชุดว่านิสัยกับการแต่งตัวช่างเข้ากันได้เหลือเกิน สกายผู้นี้ช่างเป็นคนที่หน้าไม่อายเอาซะเลย

ประโยคเมื่อครู่ของสกายทำให้แอนเดสถึงกับหน้าเปลี่ยนสี หมอนี่ยังนับว่าเป็นแวมไพร์ที่ทั้งสูงส่งและสง่าได้อีกหรือ? หรือว่านายอยากทำตัวเด่น? เหอะ ทำตัวเหมือนกับพวกเอาแต่ใจไม่ชอบตามกระแสไม่มีผิด

“แล้วถ้านายเอาชนะฉันได้ นายคิดว่านายยังจะเอาชนะบอสของฉันได้จริงๆเหรอ?” หวู่เต่าเทียนกล่าวพลางสลายพลังดวงจิตช้าๆ

 

 

 

 

 

* โลหะทั้งห้า 五金 คือ ทองคำ, เงิน, ทองแดง, เหล็ก, และตะกั่ว หรือสังกะสี