ตอนที่ 238 การทะเลาะเบาะแว้ง

ลำนำสตรียอดเซียน

แสงกระบี่นับหมื่นเล่มกระจัดกระจายไปทั่ว แสงทำลายล้างพันจัตุรัสแสดงแสนยานุภาพอันเปี่ยมล้มของมันออกมา บดขยี้สัตว์อสรูที่ถูกแช่แข็งจำนวนนับไม่ถ้วน จนกลายเป็นละอองน้ำลอยปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า ก่อนที่จะแพร่กระจายหายไปในท้ายที่สุด

 

 

เยี่ยจิ่งเหวินเงื้อแขนขึ้น และคว้ากระบี่ของเขาเอาไว้ในมือ ยามได้เห็นแผ่นน้ำแข็งหนาชั้นที่สุดซึ่งอยู่เบื้องล่าง ค่อยๆ เลือนรางหายไป และพลันกลายเป็นกำแพงหินแทน ทำให้รอยยิ้มของเขาปรากฏขึ้นบนใบหน้า

 

 

แม้ว่าเขาจะไม่มีทรัพย์สมบัติที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ทว่าเขาคือผู้ฝึกตนสายกระบี่ เขาจึงไม่เคยนิ่งนอนใจกับการขัดเกลากระบี่ของเขาแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น เขายังหมั่นเพียรในการฝึกฝนยิ่งนัก ฉะนั้น เมื่อกล่าวถึงวิชาที่ใช้ในการต่อสู้แห่งพลังเวทแล้ว เขาจึงมักจะเชื่อมั่นในตนเองอยู่เสมอ

 

 

ม่านพลังเวทจากยุคกลางนี้ยากที่จะทลายลงได้ยิ่งนัก ทว่าด้วยเหตุผลเช่นนั้นเอง เขาจึงรู้สึกประสบความสำเร็จ เมื่อเขาสามารถทลายมันลงได้ การหมั่นอุตสาหะฝึกฝนมากว่ายี่สิบปีไม่ได้ทำให้ความพยายามของเขาต้องสูญเปล่า

 

 

ทว่าไม่นานนักหลังจากที่เขาเริ่มเก็บสมุนไพรวิญญาณ เขาพลันรับรู้ได้ถึงใครบางคนที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงผ่านจิตสัมผัสของเขา เขาหันหลังไปเพื่อมองดู และค้นพบว่าคนผู้นั้นคือลูกศิษย์ร่วมสำนักของเขา คนผู้นั้นก็อยู่ในขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานเช่นกัน

 

 

เยี่ยจิ่งเหวินไม่ได้สนใจเขาเท่าไรนัก ใครก็ตามที่สามารถทลายม่านพลังในระยะเวลาอันสั้นได้ คือกลุ่มคนผู้เหนือชั้นท่ามกลางกลุ่มคนชนชั้นสูงอีกที พวกเขาล้วนแต่เป็นผู้มีเกียรติสูงศักดิ์ ฉะนั้น ในสถานการณ์เช่นนี้แล้ว พวกเขาจึงเข้าใจกันเองได้โดยปริยาย พวกเขาจะร่วมมือกันหากพวกเขารู้จักซึ่งกันและกัน ทว่าพวกเขาจะแสร้งทำเป็นไม่รู้เห็นหากพวกเขาไม่รู้จักกัน

 

 

ทว่ารอยย่นกลับปรากฏขึ้นระหว่างคิ้วของเยี่ยจิ่งเหวินอย่างรวดเร็ว… เพราะผู้ฝึกตนขั้นสูงสุดแห่งดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานที่ไม่รู้จักหน้าค่าตาผู้นั้น เริ่มเก็บสมุนไพรวิญญาณที่อยู่รอบๆ ตัวเขา!

 

 

ภายในถ้ำหิน แม้จะไม่มีการกั้นแยกอย่างชัดเจน ทว่ามันมีพื้นที่ว่างที่คล้ายห้องต่างๆ ซึ่งกว้างขวางมากพอและเชื่อมต่อกันด้วยทางเดินหินที่มีขนาดแคบกว่าเล็กน้อย เมื่อชายผู้นั้นทลายม่านพลังออกมาได้ เขาปรากฏตัวออกมายังพื้นที่ว่างอีกห้องหนึ่ง ทว่าบัดนี้ เขาเดินผ่านทางเดินฟิน และกำลังเข้ามาเก็บสมุนไพรวิญญาณภายในพื้นที่ของเยี่ยจิ่งเหวิน

 

 

เยี่ยจิ่งเหวินยังสังเกตได้ว่าวิธีการเก็บสมุนไพรวิญญาณของชายผู้นั้นช่างหยาบยิ่งนัก เขาไม่สนใจว่าเขาได้ทำร้ายรากสมุนไพรหรือไม่ เขาเพียงแต่เก็บพวกมัน และรีบยัดพวกมันลงไปในกระเป๋ายาของเขาโดยทันที ฉะนั้น เขาจึงรวดเร็วกว่าเยี่ยจิ่งเหวินมาก ยิ่งไปกว่านั้น ขณะที่เขากำลังเก็บสมุนไพรวิญญาณ ชายผู้นั้นยังคอยชำเลืองมองมายังสมุนไพรวิญญาณทางฝั่งของเยี่ยจิ่งเหวินด้วย เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจทำเช่นนี้ตั้งแต่แรกเริ่ม เมื่อเห็นว่าความเร็วของเยี่ยจิ่งเหวินค่อนข้างช้า เขาจึงต้องการเก็บบางส่วนไปเป็นของตนเอง

 

 

“ขอโทษด้วย ศิษย์พี่” เยี่ยจิ่งเหวินร้องเรียกเขาอย่างอดไม่ได้

 

 

มือของชายผู้นั้นยังคงทำงานเป็นระวิงต่อไป เพียงแต่เงยหน้าขึ้นมาชำเลืองมองเขาเล็กน้อยเท่านั้น

 

 

ท่าทางเช่นนี้… เห็นได้ชัดว่าชายผู้นั้นมองว่าเขาเป็นเพียงเด็กใหม่ของการสร้างฐานแห่งพลังงานเท่านั้น! ขณะที่ความขุ่นเคืองในใจของเยี่ยจิ่งเหวินลุกโชน เขาพลันกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ท่านเก็บเลยขอบเขตของท่านแล้วไม่ใช่หรือ”

 

 

แม้ผู้ฝึกตนผู้นั้นยังคงดำเนินงานของเขาต่อไป เขากลับตอบว่า “ศิษย์น้องกังวลใจเรื่องใดกัน สมุนไพรวิญญาณเหล่านี้ไม่ใช่ของเจ้าเพียงผู้เดียว ยามที่เราเข้าสู่ม่านพลังนี้ เจ้าสำนักได้กล่าวแล้วว่าหลังจากที่เราผ่านบททดสอบในแต่ละครา เราต้องเก็บสมุนไพรวิญญาณที่เราพบเห็นทั้งหมด และแน่นอนว่ามันจะตกเป็นของผู้ใดก็ตามที่ได้ครอบครองมันเป็นผู้แรก”

 

 

สิ่งที่เขากล่าวฟังดูสมเหตุสมผล ทว่ามันเป็นเพียงการให้เหตุผลอย่างชาญฉลาดเท่านั้น หากผู้ฝึกตนจากกลุ่มเดียวกันเช่นพวกเขา ปฏิบัติตามหลักการเพื่อตนเองในการสรรหาผลประโยชน์เข้าสู่ตนเองจริง ความขัดแย้งพลันจะก่อเกิดได้อย่างง่ายดายไม่ใช่หรือ ด้วยเหตุผลเช่นนั้น มันจึงมีธรรมเนียมปฏิบัติบางข้อที่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ ซึ่งทุกคนล้วนแต่ปฏิบัติตามภายใต้สถานการณ์ปกติทั่วไป

 

 

ชายผู้นี้ไม่ได้เคารพกฎเกณฑ์นั้น และเปลี่ยนทุกสิ่งตามอำเภอใจเพื่อพิสูจน์ว่าการกระทำของเขาถูกต้อง แม้เยี่ยจิ่งเหวินจะไม่ได้มีนิสัยยกตนข่มท่าน ทว่าเขาเป็นผู้ฝึกตนสายกระบี่ เขาจะอดทนให้ผู้อื่นเอาเปรียบเขาได้อย่างไรกัน ทันใดนั้น เขาพลันกล่าวว่า “ข้ากำลังเก็บสมุนไพรวิญญาณในบริเวณนี้ เช่นนั้น ศิษย์พี่ ได้โปรดถอยไปจากตรงนี้เสีย!”

 

 

ผู้ฝึกตนนั้นเลิกแสร้งทำเป็นไม่เห็นเขาในท้ายที่สุด เขาปัดฝุ่นในมือทิ้ง ลุกขึ้นยืนและมองสำรวจเยี่ยจิ่งเหวินเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่เขาจะเอ่ยขึ้นมาในท้ายที่สุดว่า “ศิษย์น้อง เจ้ายังเด็กนัก เหตุใดเจ้าต้องสนใจสมุนไพรวิญญาณส่วนนี้ด้วยเล่า มิใช่ว่าศิษย์พี่ต้องการแก่งแย่งสิ่งของกับเจ้า เพียงแต่ด้วยอายุปัจจุบันของข้า การก่อเกิดแก่นขุมพลังมิอาจช้าได้อีกต่อไปแล้ว ข้ามิอาจปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดมือได้ เจ้าเพียงแต่มอบมันให้ข้าจะได้ไหม”

 

 

หากชายผู้นี้ชี้แจงเช่นนี้กับเขาตั้งแต่แรก เยี่ยจิ่งเหวินอาจยอมผ่อนปรนให้ เขาเป็นผู้ฝึกตนสายกระบี่ เขาไม่จำเป็นต้องพึ่งพาสำรับยามากเท่ากับกระแสหลักอย่างผู้ฝึกตนสายธรรม ถึงกระนั้นก็ตาม ชายผู้นี้เริ่มต้นโดยการเอาเปรียบเขา ก่อนที่เขาจะชี้แจงถึงเหตุผลในท้ายที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น เขาอ้างตนว่าเป็น “ศิษย์พี่” โดยทันที และน้ำเสียงของเขาฟังดูไม่คล้ายว่านั่นเป็นคำถามเลยแม้แต่น้อย

 

 

เยี่ยจิ่งเหวินตอบกลับอย่างเย็นชา “ศิษย์พี่ ได้โปรดถอยไปจากตรงนี้!”

 

 

การได้เห็นท่าทีคัดค้านของเยี่ยจิ่งเหวิน ทำให้ความขุ่นเคืองเล็กน้อยปรากฏขึ้นบนในหน้าของผู้ฝึกตนรายนั้น เขาจ้องเขม็งไปที่เยี่ยจิ่งเหวิน กล่าวว่า “ข้าเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์เต๋าอู๋เลี่ยง และเป็นหลานศิษย์ของปรมาจารย์เจิ้นหยางแห่งยอดเขาอาทิตย์รุ่งอรุณ นามว่าต่งซือหยาง ข้าขอถาม ศิษย์น้องมีนามว่ากระไร”

 

 

เขาพยายามใช้ตัวตนของเขาในการกดขี่ผู้อื่นเสียจริง! เยี่ยจิ่งเหวินกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ข้าคือลูกศิษย์ของอาจารย์ชิงหย่วนแห่งยอดเขาวสันต์กระจ่าง เยี่ยจิ่งเหวิน”

 

 

เมื่อได้ยินดังนั้น บางสิ่งแล่นวาบขึ้นมาในแววตาของผู้ฝึกตน “ศิษย์น้องเป็นหลานศิษย์ของปรมาจารย์จิ้งเหอสินะ… ไม่แปลกใจที่เจ้าเป็นเช่นนี้…” จากนั้นเขามองเยี่ยจิ่งเหวินตั้งแต่หัวจรดเท้า ความหมายของเขานั้นโจ่งแจ้ง

 

 

เยี่ยจิ่งเหวินรู้สึกขุ่นเคืองยิ่งขึ้น อุปนิสัยของประมุขเต๋าจิ้งเหอไม่ได้ดีเท่าไร ชื่อเสียงของเขาจึงไม่เป็นที่น่าคบนัก ทว่านั่นคือความเข้าใจของคนนอก สำหรับสมาชิกภายในสำนัก ประมุขเต๋าจิ้งเหอไม่เคยรังควานผู้ใด เขาเป็นลูกศิษย์สำนักเสวียนชิงเช่นกัน ทว่ากลับมีทัศนคติเช่นนี้ได้ สิ่งนี้จะไม่ทำให้เยี่ยจิ่งเหวินขุ่นเคืองได้เช่นไร เขากล่าวตอบอย่างโกรธเคืองโดยทันที “ศิษย์พี่ พึงระวังวาจา อย่าได้ดูถูกปรมาจารย์แห่งยอดเขาวสันต์กระจ่างของเรา!”

 

 

“ข้าดูถูกปรมาจารย์ของเจ้าเมื่อใดกัน” ต่งซือหยางยิ้มเยาะ “ศิษย์น้อง เจ้าคิดเองเออเอง ข้ามิได้ทำสิ่งใดเลย”

 

 

“ท่าน…” ท่าทางของเยี่ยจิ่งเหวินหม่นหมอง เขาหยุดพูดจา เขาชักกระบี่ออกจากฝักเรียบร้อย และกวัดแกว่งมันอยู่ข้างกาย

 

 

สีหน้าของอีกฝ่ายหนึ่งเปลี่ยนเป็นห่อเ**่ยวเช่นกัน เมื่อเขาเห็นเยี่ยจิ่งเหวินชักกระบี่ออกมา เขากล่าวว่า “ศิษย์น้อง เจ้าต้องการประลองกับศิษย์ร่วมสำนักหรือ”

 

 

บัดนี้ ถึงคราวของเยี่ยจิ่งเหวินที่จะยิ้มเยาะออกมา “ศิษย์พี่ต่ง ท่านคิดเองเออเองเสียแล้ว ข้าเพียงแค่ชักกระบี่ออกมา แต่ท่านกล่าวหาว่าข้าจะประลองกับท่านอย่างนั้นหรือ”

 

 

“เจ้า…” สีหน้าของชายผู้นั้นเปลี่ยนเป็นสีขาวด้วยความโกรธ

 

 

ทั้งสองพร้อมกระโจนเข้าหากันเพื่อขย้ำคอของกันและกัน การต่อสู้อาจเริ่มขึ้นได้ในทุกเมื่อ ทว่าทันใดนั้น เสียงแตกอันแผ่วเบาพลันดังขึ้นจากที่ใดสักแห่งข้างๆ ที่นั่นมีอีกผู้หนึ่งกำลังปรากฏตัว หลังจากที่เขาทลายม่านพลังได้

 

 

ต่งซือหยางหันไปมอง ไม่กี่วินาทีต่อมา เขาร้องเรียกด้วยความยินดี “อาจารย์ลุงไป๋!”

 

 

ในทางกลับกัน สีหน้าของเยี่ยจิ่งเหวินกลับเศร้าหมองยิ่งขึ้น ผู้นั้นคือลูกศิษย์ของประมุขเต๋าเจิ้นหยาง ไป๋เยี่ยนเฟย!

 

 

ไป๋เยี่ยนเฟยแสดงสีหน้าน่าเกลียดยิ่งนักบนใบหน้า บัดนี้ ระดับการฝึกตนของเขายังอยู่เพียงขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานเท่านั้น แม้ความสำเร็จของเขาถือได้ว่าค่อนข้างดี เมื่อเทียบกับอายุของเขา ทว่าเขามักต้องการเปรียบเทียบตนเองกับบรรดาอัจฉริยะเยาว์วัย อย่างฉินโส่วจิ้งและหลี่หลิงซี ซึ่งล้วนแต่เข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้ก่อนอายุร้อยปี ฉะนั้นความสำเร็จในยามนี้ของเขาจึงไม่เป็นที่พอใจเท่าไรนัก

 

 

สำนักเสวียนชิงขึ้นชื่อเรื่องการผลิตผู้ฝึกตนมากความสามารถมาโดยตลอด ในบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเดียวกัน ฉินโส่วจิ้งสร้างขุมพลังของเขาได้เมื่ออายุเจ็ดสิบแปดปี ขณะที่หลี่หลิงซีสร้างขุมพลังได้เมื่ออายุเก้าสิบปี และทั้งสองล้วนแต่สมควรได้รับการยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะ ในฐานะลูกศิษย์ผู้มีรากวิญญาณเพียงชิ้นเดียว ซึ่งปรากฏเพียงคราเดียวในทุกๆ หลายร้อยปี ไป๋เยี่ยนเฟยไม่เคยเกรงกลัวที่จะแข่งขันกับผู้ฝึกตนอื่นๆ ถึงกระนั้นก็ตาม บัดนี้เขาอายุได้ห้าสิบเจ็บปีแล้ว ทว่าเขายังอยู่เพียงขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานเท่านั้น มันค่อนข้างแน่ชัดแล้วว่าเขาไม่ได้เก่งกาจเทียบเท่าฉินโส่วจิ้ง แม้แต่การเอาชนะหลี่หลีซิงยังค่อนข้างยากสำหรับเขา ด้วยนิสัยยโสโอหังของไป๋เยี่ยนเฟย ความจริงข้อนี้ช่างยากจะยอมรับได้

 

 

ช่างบังเอิญที่ว่า ยามเขาต้องเผชิญหน้ากับบททดสอบด่านแรก ซึ่งก็คือห้าวิญญาณปลิดชีพภายในม่านพลังหมื่นปรัชญาแห่งธรรมชาติ เขาได้ทุ่มเทพลังอย่างมากก่อนที่จะสามารถทลายม่านพลังออกมาได้ และนั่นทำให้เขาอยู่ในสภาพแสนเซ็ง เขาจึงอารมณ์หมองมัวถึงขั้นสุดในยามนี้ เมื่อเขาได้ยินใครบางคนร้องเรียกหาเขา เขาพลันถลึงตาใส่คนผู้นั้น และตะคอกใส่ว่า “เรียกหาอะไรกัน!”

 

 

หลังจากเรียกเขาอย่างอบอุ่น แต่กลับถูกตะคอกใส่ ต่งซือหยางตะลึงงันไปครู่หนึ่ง ถึงกระนั้น เขาตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่ายังมีใครบางคนอยู่ตรงนั้น เขาพลันแสร้งทำเป็นไม่สนใจ และยิ้มต่อไปในทันที “อาจารย์ลุงไป๋ ท่านก็ออกมาด้วยหรือ”

 

 

ไป๋เยี่ยนเฟยเองสังเกตได้ว่าน้ำเสียงของเขาในยามนี้ไม่เหมาะสมนัก จากนั้นเขาพลันตอบว่า “อืม” อย่างคลุมเครือ ชำเลืองมองคนทั้งสองโดยคร่าว และมุ่งหน้าเพื่อหาทางต่อไป

 

 

ต่งซือหยางจะปล่อยให้เขาจากไปเช่นนี้ได้อย่างไร เขารีบกล่าวโดยพลัน “อาจารย์ลุงไป๋ ท่านจะไม่เก็บสมุนไพรวิญญาณหรือ”

 

 

ความจริงแล้ว ไป๋เยี่ยนเฟยไม่ได้สนใจผลตอบแทนของภารกิจนี้นัก อาจารย์ของเขาคือเจ้าสำนักประมุขอาวุโสสูงสุดของสำนักเสวียนชิง และทักษะของเขาก็ดีเลิศยิ่งนัก ฉะนั้น เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่เคยขาดแคลนสำรับยาแม้แต่น้อย อย่างไรเสีย การเก็บสมุนไพรวิญญาณคือภารกิจหลักในครานี้ ครั้นได้ยินต่งซือหยางกล่าวเช่นนั้น เขาจึงก้มลงทันที และเก็บสมุนไพรวิญญาณจำนวนสองพันธุ์อย่างขอไปที

 

 

สีหน้าของเยี่ยจิ่งเหวินแย่ยิ่งขึ้นอีก ไป๋เยี่ยนเฟยผู้นี้ไม่ได้เก็บวัตถุดิบปรุงยาจากบริเวณที่เขาออกมา ทว่าไป๋เยี่ยนเฟยกลับมาที่บริเวณของเขา และเริ่มก้มลงเก็บสมุนไพรวิญญาณทันที!

 

 

เมื่อได้เห็นต่งซือหยางชำเลืองมองอย่างพึงพอใจไปที่เขา เยี่ยจิ่งเหวินจึงคลายสีหน้าท่าทาง และร้องออกไป “ท่านอาจารย์ลุง!”

 

 

ไป๋เยี่ยนเฟยไม่ได้สนใจเขานัก และเพียงแต่ตอบกลับด้วยคำว่า “อืม” อย่างเกียจคร้าน เขาพลันนึกว่าเยี่ยจิ่งเหวินเพียงแต่ทักทายเขา ดังเช่นต่งซือหยางกระทำ

 

 

ถึงกระนั้น ในครู่ต่อมา เขาพลันได้ยินเยี่ยจิ่งเหวินกล่าวอย่างไม่คาดคิดว่า “อาจารย์ลุงไป๋ ในฐานะผู้อาวุโสกว่า ท่านควรปฏิบัติตามกฎเกณฑ์สักหน่อยไม่ใช่หรือ” แม้เยี่ยจิ่งเหวินจะพยายามสุดความสามารถในการอดกลั้นความขุ่นเคืองไว้ ทว่ามันก็ยังเล็ดลอดผ่านวาจาของเขาออกมา

 

 

ไป๋เยี่ยนเฟยหยุดมือ ลุกขึ้นและหันหลัง เขาขมวดคิ้วมองเยี่ยจิ่งเหวิน “เจ้าหมายความเช่นไร”

 

 

เยี่ยจิ่งเหวินกล่าว “หากท่านต้องการเก็บสมุนไพรวิญญาณ ท่านควรเก็บสมุนไพรวิญญาณที่เติบโตในบริเวณที่ท่านปรากฏตัว ข้ากำลังเก็บมันอยู่ในบริเวณนี้ ไม่เป็นไรหากท่านจะไม่หักห้ามลูกศิษย์แห่งยอดเขาอาทิตย์รุ่งอรุณ ทว่าท่านแหกกฎเป็นตัวอย่างให้กับเขาได้อย่างไร”

 

 

ดูเหมือนไป๋เยี่ยนเฟยไม่เข้าใจในสิ่งที่เยี่ยจิ่งเหวินกล่าวอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงเบนสายตาไปยังต่งซือหยาง เขาเห็นว่าต่งซือหยางมองเขาอย่างเกรงกลัว พฤติกรรมของต่งซือหยางแตกต่างกับเยี่ยจิ่งเหวินโดยสิ้นเชิง

 

 

ความแตกต่างดังกล่าวสร้างไม่พอใจต่อเยี่ยจิ่งเหวินขึ้น “เจ้ามีปัญหาอันใด ในเมื่อเจ้าเรียกข้าว่า ‘อาจารย์ลุง’ เจ้ากล้าพูดจาเช่นนี้กับข้าได้อย่างไร”

 

 

ความขุ่นเคืองของเยี่ยจิ่งเหวินถึงขีดสุด นอกจากไป๋เยี่ยนเฟยจะไม่แก้ไขท่าทางของเขาแล้ว ยังอาศัยน้ำเสียงของผู้อาวุโสกว่าในการติเตียนเขาด้วย เยี่ยจิ่งเหวินเย้ยหยัน “ขึ้นอยู่กับว่าอาจารย์ลุงปฏิบัติตนเช่นไร ท่านแหกกฎเป็นตัวอย่างต่อหน้าผู้อื่น ทว่าท่านยังกล้าคิดว่าตนอาวุโสกว่าอีกหรือ”

 

 

“เจ้า…” ไป๋เยี่ยนเฟยเคยได้รับวาจาเช่นนี้เมื่อใดกัน ในบรรดาผู้คนทั้งหมด นอกจากอาจารย์ของเขา มีเพียงแต่สตรีจากยอดเขาวสันต์กระจ่างผู้นั้นที่กล้าตำหนิเขาเช่นนี้ และนั่นเป็นเพียงความทรงจำเพียงคราเดียวที่เขาต้องการนึกถึง! “เจ้ามันไร้เหตุผล! สมุนไพรวิญญาณพวกนี้เป็นของผู้ที่เก็บมันได้เป็นผู้แรก! เหตุใดข้าถึงเก็บจากที่ตรงนี้ไม่ได้”

 

 

ต่งซือหยางเข้ามาเสริมทัพ “ถูกต้อง! ข้าเองก็ไม่เข้าใจว่าศิษย์น้องเยี่ยคิดเช่นไรอยู่ นี่อาจเป็นกฎเกณฑ์แห่งยอดเขาวสันต์กระจ่าง ทว่าพวกข้าไม่ได้มาจากยอดเขาวสันต์กระจ่าง เหตุใดพวกข้าต้องปฏิบัติตามด้วย”

 

 

ยอดเขาวสันต์กระจ่าง! คำเหล่านี้ปลุกความเดือดดาลในตัวไป๋เยี่ยนเฟย จากนั้นเขาพลันเย้ยหยัน “เจ้ามาจากยอดเขาวสันต์กระจ่างนี่เอง… เฮอะ! อย่างที่คิดไว้!”

 

 

เยี่ยจิ่งเหวินภาคภูมิใจในยอดเขาวสันต์กระจ่างอย่างยิ่งเสมอ เขาจะอดทนต่อคำดูถูกของใครบางคนได้เช่นไร เขาตะโกนกลับไปในทันที “อาจารย์ลุงไป๋! ท่านเป็นถึงอาจารย์ลุง โปรดพึงสังวรณ์มารยาทของท่านด้วย!”

 

 

ไป๋เยี่ยนเฟยกล่าวอย่างโกรธจัด “ข้ามิพึงสังวรณ์มารยาทของข้าอย่างไร เจ้า เจ้ามิรู้จักวิธีเคารพผู้อาวุโสกว่าหรือ เห็นได้ชัดว่าเจ้าต่างหากที่กล่าววาจาหยาบคายต่อผู้อาวุโส ทว่าเจ้ากลับกล้าหาว่าข้ามิได้พึงสังวรณ์มารยาทของข้าอย่างนั้นหรือ”

 

 

เยี่ยจิ่งเหวินเบิกตาโพลงอย่างดุร้าย “อาจารย์ลุงไป๋ ในฐานะผู้อาวุโสกว่า ท่านมิได้ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ ท่านไม่หักห้ามลูกศิษย์ของท่าน และท่านยังกระทำการดูถูกเหยียดหยามยอดเขาวสันต์กระจ่างของข้าด้วย ส่วนใดกันที่ท่านได้พึงสังวรณ์มารยาทของท่าน ลูกศิษย์แห่งยอดเขาวสันต์กระต่างย่อมต้องสุภาพเรียบร้อย หากเราบังเอิญพบกับผู้อาวุโสที่น่าเคารพเลื่อมใส ทว่าหากท่านมิอาจพึงรักษามารยาทของท่านไว้ได้ ท่านยังสมควรได้รับความเคารพจากผู้อื่นอีกหรือ”

 

 

“เจ้า…” สิ่งที่เยี่ยจิ่งเหวินกล่าวนั้นเถรตรงอย่างแท้จริง ท่าทีของไป๋เยี่ยนเฟยเปลี่ยนไป จากนั้นเมื่อเขาเห็นว่ากระบี่ลอยได้ของเยี่ยจิ่งเหวินกำลังลอยวนเวียนอยู่รอบๆ ตัวของคนผู้นั้น เขาพลันเย้ยหยัน “ได้! เจ้าอยากยุติเรื่องนี้ด้วยไม้แข็งใช่ไหม หากเป็นเช่นนั้น เจ้าต้องการเหตุผลอื่นใดอีกกัน” หลังจากที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาคลำไปรอบเอวและดึงมีดพระจันทร์เสี้ยวออกมาอย่างไร้เหตุผล มีดเล่มนั้นเปล่งแสงวูบวาบขณะที่เขาใส่พลังทางจิตวิญญาณลงไป

 

 

เมื่อได้เห็นว่านอกจากอาจารย์ลุงผู้นี้ยังไร้ตรรกะแล้ว เขายังต้องการต่อสู้กับศิษย์น้องด้วย เยี่ยจิ่งเหวินจึงพลันเดือดดาลขึ้นมาเช่นกัน ไม่มีผู้ใดสนใจเรื่องกฎเกณฑ์ที่ห้ามไม่ให้ลูกศิษย์ร่วมสำนักทำร้ายกันและกันอีกต่อไป เขาเงื้อแขนขึ้นและทำท่าทางชี้มือ ทันใดนั้น กระบี่ลอยได้ที่ลอยวนเวียนอยู่ข้างกายเขาพลันเปล่งแสงขึ้นมาอย่างฉับพลัน

 

 

เพื่อตอบสนอง ต่งซือหย่างพลันคว้าอุปกรณ์พลังเวทของเขาออกมาเช่นกัน เผื่อว่าจะเกิดการต่อสู้ขึ้นมาเสียจริงๆ

 

 

“ตู้ม!” เสียงระเบิดอย่างรุนแรงดังขึ้น ลูกศิษย์อีกรายได้ทลายม่านพลังเรียบร้อย ขณะที่คนผู้นั้นกำลังจะเก็บสมุนไพรวิญญาณอย่างมีความสุข นางพลันเห็นผู้คนทั้งสามยืนอยู่ไม่ไกลนักจากน้อง พร้อมกับมีกระบี่จ่อประจันหน้าซึ่งกันและกัน นางร้องเรียกด้วยความตกใจ “ศิษย์พี่เยี่ย!” คนผู้นั้นคือหลัวเฟิงเสวี่ย…