ตอนที่ 105-2 สายตาของสตรี

จารใจรัก

อู๋เฉวียนยกมื้อดึกเข้ามา ฉินอวี้กล่าวกับเซี่ยฟางหวาด้วยเสียงอ่อนโยน “เจ้ากินอะไรหน่อย ข้าจะให้ครัวหลวงต้มยาให้ ยาของเจ้าจำต้องดื่มให้ตรงเวลาเช่นกัน” 

 

 

           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า 

 

 

           ฉินอวี้มองอู๋เฉวียนแวบหนึ่ง อู๋เฉวียนเข้าใจทันที รีบออกไปขอเทียบยาของเซี่ยฟางหวาจากซื่อฮว่ากับซื่อม่อข้างนอก 

 

 

           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อเพราะตัวอยู่ในวังหลวง จึงไม่สบายใจที่จะให้ผู้อื่นต้มยาให้เซี่ยฟางหวา กล่าวบอก 

 

 

อู๋เฉวียนด้วยความเกรงใจ “กงกง ท่านให้คนนำบ่าวสองคนไปส่งที่ครัวหลวงก็พอแล้ว ยาของคุณหนูเราจะต้มให้เองเจ้าค่ะ” 

 

 

           “ย่อมได้” อู๋เฉวียนพยักหน้าก่อนกวักมือเรียกคนมา ออกคำสั่งให้พาทั้งสองไปยังครัวหลวง 

 

 

           เซี่ยฟางหวามิได้อยากอาหารเท่าไรนัก หลังทานเข้าไปเพียงไม่กี่คำก็วางตะเกียบลงแล้ว พร้อมเอ่ยบอกฉินอวี้ “เจ้าเองก็กินอะไรบ้าง” 

 

 

           “ข้ากินไม่ลง” ฉินอวี้ส่ายหน้า 

 

 

           เซี่ยฟางหวาไม่เอ่ยคำใดอีก 

 

 

           หนึ่งชั่วยามถัดมา ซื่อฮว่ากับซื่อม่อก็ยกถ้วยยาเข้ามา หลังเซี่ยฟางหวาดื่มยาหมดก็มองสีท้องฟ้า เวลาล่วงเลยมาถึงยามจื่อ*[1]แล้ว 

 

 

           กลองบอกเวลายามจื่อดังขึ้น เสียงกลองราวกับนำมาซึ่งความหนักหนากดดัน 

 

 

           เมื่อถึงยามโฉ่ว**[2] ฮ่องเต้ที่อยู่บนแท่นบรรทมก็พลันขยับเปลือกพระเนตร ก่อนที่จะลืมตาขึ้น 

 

 

           เซี่ยฟางหวานั่งมองแท่นบรรทมจากตั่งตัวเตี้ยตลอดเวลา ดังนั้นทันทีที่ฮ่องเต้ทรงตื่นขึ้นมาแล้ว นางจึงมองเห็นพระองค์ได้ 

 

 

           ยามฮ่องเต้ทรงตื่นขึ้นมาคล้ายรู้สึกได้ หันพระพักตร์เชื่องช้า เห็นเซี่ยฟางหวาที่นั่งอยู่ไม่ไกลพอดี 

 

 

           พระเนตรที่ค่อนข้างนูนโปนของพระองค์สบเข้ากับดวงตาของเซี่ยฟางหวา 

 

 

           เซี่ยฟางหวามองฮ่องเต้เงียบเชียบ มิส่งเสียงใด 

 

 

           ฮ่องเต้เองก็ทรงมองนาง ในพระเนตรสะท้อนอารมณ์หลากหลายนับมิถ้วน มิส่งเสียงใดเช่นกัน 

 

 

           ทั้งสองสบตามองกันอยู่แบบนั้น อุณหภูมิในอากาศราวกับลดลงเล็กน้อย 

 

 

           ฉินอวี้ฟุบหน้าเข้ากับหัวเตียงตลอดเวลา มือทั้งสองข้างกุมพระหัตถ์ฮ่องเต้ ก้มศีรษะจนใบหน้าแนบชิดกับหลังพระหัตถ์ของฮ่องเต้ที่ตนกุมไว้ ลอบโศกาอย่างไร้สุ้มเสียง และมิได้รู้สึกตัวว่าฮ่องเต้ทรงตื่นแล้ว 

 

 

           ฮ่องเต้กับเซี่ยฟางหวามองหน้ากันเป็นเวลาราวครึ่งถ้วยชา ฮ่องเต้พลันทรงพระกาสะขึ้นมา 

 

 

           ฉินอวี้สะดุ้งตกใจ เงยหน้ามองฮ่องเต้ ก่อนกล่าวด้วยความดีใจ “เสด็จพ่อ ทรงฟื้นแล้วหรือ” 

 

 

           ฮ่องเต้ทรงพระกาสะจนดูน่ากลัว ทรวงอกราวกับจะทะลักออกมา มิได้ตอบเขา 

 

 

           ฉินอวี้รีบลุกขึ้น ทว่าเขาคุกเข่ามาเป็นเวลานาน อาการชาเกาะกุมทั่วทั้งขาแข้ง ทันทีที่ลุกขึ้นก็ล้มกลับไปนั่งบนพื้น ตะโกนขึ้นด้วยความรีบร้อน “รีบนำน้ำเข้ามา” 

 

 

           อู๋เฉวียนกุลีกุจอเข้ามาพร้อมน้ำเปล่าแก้วหนึ่ง ยื่นเข้ามาพร้อมประคองฮ่องเต้ขึ้น 

 

 

           ฮ่องเต้ทรงปัดแก้วออก แก้วน้ำหลุดจากมืออู๋เฉวียนตกลงกับพื้นแตกละเอียดดังเพล้ง 

 

 

           “ฝ่าบาท…” อู๋เฉวียนตกใจ 

 

 

           “เสด็จพ่อ” ฉินอวี้เองก็ตกใจเช่นกัน พลางมองฮ่องเต้ 

 

 

           ฮ่องเต้ทรงพระกาสะหนักต่อเนื่อง พระพักตร์ที่เคยซีดไร้เลือดฝาดขึ้นสีแดงจัด พระเนตรทั้งสองข้างมีเส้นเลือดปรากฏขึ้นจนน่ากลัว 

 

 

           “ฟางหวา” ฉินอวี้หันมามองเซี่ยฟางหวาอย่างขอความช่วยเหลือ 

 

 

           เซี่ยฟางหวาลุกขึ้นเชื่องช้าก่อนค่อยๆ ก้าวขึ้นมาหา อู๋เฉวียนรีบผละออกจากข้างแท่นบรรทม นางหยุดมองฮ่องเต้ที่หัวเตียง 

 

 

           นางมิได้ตรวจชีพจรให้ฮ่องเต้ แต่ทันทีที่นางเดินมาถึงพระองค์ก็หยุดทรงพระกาสะในฉับพลัน พระเนตรคู่นั้นมองตรงมายังนาง 

 

 

           เซี่ยฟางหวาเองก็มองพระองค์เช่นกัน 

 

 

           ฮ่องเต้ทรงมองนางพักหนึ่ง โพล่งตรัสขึ้นว่า “ดี ดี ดี” 

 

 

           เซี่ยฟางหวาเงียบ 

 

 

           “ดีนี่เซี่ยฟางหวา” ฮ่องเต้ตรัสอีก 

 

 

           เซี่ยฟางหวายังคงเงียบ 

 

 

           “เจ้าจงใจกลับมาดูเราตายใช่หรือไม่” ฮ่องเต้ตรัสไปสองประโยคแล้ว พบว่านางไม่ยอมเอื้อนเอ่ยแม้สักคำจึงถลึงพระเนตรมองนางอย่างเอาเป็นเอาตาย 

 

 

           เซี่ยฟางหวายังคงไม่ส่งเสียงใด 

 

 

           “เจ้าเป็นใบ้รึ” ฮ่องเต้พลันตรัสด้วยโทสะ 

 

 

           “กล่าวกันว่าถ้อยคำของคนใกล้ตายมักกลั่นออกมาจากใจ ฝ่าบาท พระองค์ทรงเห็นหม่อมฉันตอนนี้แล้วยังทรงกริ้วมากถึงเพียงนี้ ความจริงก็สมควรแล้ว” เซี่ยฟางหวานิ่งมองพระองค์  

 

 

           ฮ่องเต้ชะงัก เพลิงโทสะวาวโรจน์ในแววตา ทรงมองนางด้วยสายตาคล้ายจะกินคน 

 

 

           เซี่ยฟางหวาเหลือบมองพระองค์เงียบเชียบ “สามร้อยปีก่อน เป่ยฉีกับหนานฉินตั้งป้อมประจันหน้ากัน ตระกูลอวี้กับตระกูลหวางต่างพ่ายแพ้และบาดเจ็บล้มตาย จำต้องใช้เวลาฟื้นฟูกลับมา จักรพรรดิทั้งสองแผ่นดินต่างไม่มีใครยอมใคร ไม่มีผู้ใดทราบว่าต้องใช้เวลาฟื้นฟูนานเท่าไร ต่างคิดจะให้แผ่นดินเจริญรุ่งเรืองและมีทัพทหารเกรียงไกรโดยเร็วที่สุด วางแผนว่าจะลงมือโจมตียึดจุดยุทธศาสตร์อีกครั้งเพื่อรวมแผ่นดินเป็นหนึ่ง แต่เนื่องด้วยเป่ยฉีเป็นเมืองหลวงเก่าในราชวงศ์ก่อน สุภาษิตกล่าวว่า อูฐที่ผอมตายยังตัวใหญ่กว่าม้า***[3] ตระกูลอวี้ถึงแม้ได้รับผลกระทบหนัก แต่เมื่อผนึกรวมกำลังแผ่นดินเป่ยฉีเข้าด้วยกันก็ยังแข็งแกร่งกว่าหนานฉิน หนานฉินกลัวว่าเป่ยฉีจะเจริญรุ่งเรืองมีอำนาจในเวลาอันสั้น อยู่เหนือกว่าหนานฉิน หนานฉินมิใช่คู่ต่อสู้อีกต่อไป ด้วยเหตุนี้ปฐมจักรพรรดิจึงขอร้องอ้อนวอนให้ตระกูลเซี่ยเข้ามามีบทบาท ใช้การสืบทอดบรรดาศักดิ์ขั้นโหวเป็นข้อแลกเปลี่ยน อนุญาตให้ตระกูลเซี่ยวางรากฐานครึ่งหนึ่งแก่บ้านเมือง หมดความกังวลตลอดกาล ผู้นำตระกูลเซี่ยถูกปฐมจักรพรรดิขอร้องเช่นนี้จึงนำกำลังในตระกูลช่วยเหลือหนานฉินด้วยความจงรักภักดี” 

 

 

           แววตาฮ่องเต้ถูกสะกดนิ่ง 

 

 

           “หนานฉินเพราะมีตระกูลเซี่ย บัณฑิต เกษตรกร กรรมกร และพ่อค้าจึงเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เพียงหนึ่งร้อยปีก็สามารถโจมตีเป่ยฉีเพื่อยึดใต้หล้ามาได้ ทว่าหนึ่งร้อยปีให้หลัง ฮ่องเต้ของหนานฉินมิใช่ปฐมจักรพรรดิอีกต่อไป กลับหลงลืมคุณูปการของตระกูลเซี่ย หลงลืมความทะเยอทะยานที่จะเป็นมหาอำนาจในใต้หล้า กลับเห็นเพียงแค่ตระกูลเซี่ยกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ที่หยั่งรากลึกขึ้นทุกวัน กลัวว่าจะคุกคามอำนาจราชสำนักและตำแหน่งจักรพรรดิ” เซี่ยฟางหวามองฮ่องเต้ “ตั้งแต่หนึ่งร้อยปีก่อนหนานฉินก็เริ่มหวาดระแวงตระกูลเซี่ย แย่งอำนาจทั้งต่อหน้า ต่อสู้ภายในลับหลังไม่หยุดหย่อน กำลังแผ่นดินอยู่เหนือกว่าเป่ยฉีแท้ๆ ทว่าเนื่องด้วยการต่อสู้ภายในมิยอมหยุด ส่งผลให้มิอาจยึดใต้หล้ามาได้” 

 

 

           แววตาฮ่องเต้คล้ายเกิดรอยร้าว 

 

 

           “เป็นแบบนี้ผ่านไปสองร้อยปี กระทั่งถึงรุ่นของพระองค์ แรงกดดันที่มีต่อตระกูลเซี่ยก็ยิ่งเพิ่มขึ้น” เซี่ยฟางหวามองฮ่องเต้ “ทราบเพียงเสือนอนหมอบข้างเตียงมีหรือจะหลับได้อย่างสบายใจ กลับมิเคยตระหนักว่าหากไม่มีตระกูลเซี่ย ไฉนเลยจะมีบ้านเมืองหนานฉินในทุกวันนี้ หากไม่มีตระกูลเซี่ย หนานฉินคงกลายเป็นเพียงผักปลาภายใต้กองทัพอันแข็งแกร่งของเป่ยฉีไปตั้งนานแล้ว ต้องถูกกดขี่รุกราน สามร้อยปีมานี้ หนานฉินมีโอกาสที่จะยึดเป่ยฉีได้มากน้อยเท่าไร ทว่าด้วยเหตุผลอันไร้ประโยชน์เหล่านี้ ทำให้ท้ายที่สุดเป่ยฉีก็เป็นฝ่ายแข็งแกร่งและยึดโจมตีหนานฉินก่อน” 

 

 

           แววตาฮ่องเต้เกิดรอยร้าวเป็นวงกว้าง 

 

 

           “ฮ่องเต้ของหนานฉินแต่ละยุคสมัยเอาแต่หวาดระแวงและเตรียมป้องกันเพื่อกำจัดขุนนางผู้จงรักภักดีออกไป ฮ่องเต้ของเป่ยฉีกลับมีความเฉลียวฉลาด มีความทะเยอทะยาน มีความปรารถนาอันแรงกล้ามากขึ้นในแต่ละยุคสมัย ยามนี้เป่ยฉีเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ ตระกูลอวี้แม้เรืองอำนาจ แต่ฮ่องเต้เป่ยฉียังนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ แต่หนานฉินเล่า ภูเขาลับพังทลายลง ปรมาจารย์สายลับก่อกบฏวางแผนลอบสังหาร สายลับที่ตนรู้จักดีกลายเป็นดาบอันแหลมคมที่มีเป้าหมายเป็นกิจการราชสำนักในบ้านเมืองตนเอง ระหว่างที่ภายในปั่นป่วนภายนอกรุกราน ยังจำต้องพึ่งพาตระกูลเซี่ย” เซี่ยฟางหวามองพระองค์ “ความบริสุทธิ์โปร่งใสที่ท่านต้องการนั้น หรือว่าต้องกำจัดตระกูลเซี่ยทิ้งแล้วแลกด้วยรากฐานหนานฉินที่ถอยหลังกลับไปร้อยปี หากเป็นแบบนั้นจริง มิต้องรอถึงหลายสิบปี เป่ยฉีก็จะบุกประชิดเข้ามาได้แน่นอน เหยียบย่ำแผ่นดินหนานฉิน หนานฉินก็จะถูกบันทึกในประวัติศาสตร์ได้เช่นกัน แต่ในฐานะเป็นแผ่นดินที่ล่มสลายลง สูญสลายไปตามกาลเวลา แบบนั้นพระองค์ถึงจะพอใจหรือ ทรงคิดว่าจะมีหน้าไปพบปฐมจักรพรรดิหนานฉินในปรโลกหรือ” 

 

 

           แววตาฮ่องเต้พังทลายลงดุจแผ่นน้ำแข็ง ชั่วพริบตาที่แตกสลายลง เพลิงแห่งโทสะบนพระพักตร์ก็คลายลงมิรู้เท่าไร เอนพระวรกายล้มกลับลงไปนอนบนแท่นบรรทมมังกร 

 

 

           “เสด็จพ่อ” น้ำเสียงฉินอวี้แหบพร่า โน้มกายไปตรวจดูฮ่องเต้ 

 

 

           ฮ่องเต้พลันหลับตาลง พระพักตร์ฉายความสิ้นหวังอ้างว้าง 

 

 

           อู๋เฉวียนลอบมองเซี่ยฟางหวาอย่างระวัง ถอยก้าวหนึ่งเงียบเชียบ มิส่งเสียงใด 

 

 

           เซี่ยฟางหวาเห็นเช่นนี้ก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “กี่ยุคสมัยแล้วที่ฮ่องเต้ถูกเปลือกนอกบดบัง บนบัลลังก์ในวังหลวงอันสูงศักดิ์ล้ำค่าแห่งนี้ทราบเพียงตนเองคือฮ่องเต้ กลับมิได้ใคร่ครวญว่าตนควรเป็นฮ่องเต้ที่สร้างความสุขแก่ราษฎรในใต้หล้า มิได้ทราบว่าตระกูลฉินกับตระกูลเซี่ยนั้นจำต้องมีอยู่ต่อไป หากขาดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปหนานฉินก็จะล่มสลายลง นี่เป็นปมเงื่อนที่ตกทอดมาตั้งแต่สมัยก่อตั้งราชวงศ์ในประวัติศาสตร์ แก้อย่างไรก็แก้มิได้” 

 

 

           “ใช่แล้ว แก้อย่างไรก็แก้มิได้” ฮ่องเต้พลันเปล่งวาจาขึ้น น้ำเสียงฟังยากอย่างยิ่ง 

 

 

           เซี่ยฟางหวาไม่เอ่ยคำใดอีก 

 

 

           ฮ่องเต้ทรงเงียบลงพักหนึ่ง ก่อนตรัสขึ้นอีก “นึกไม่ถึงเลยว่าฮ่องเต้หนานฉินกี่ยุคสมัย ยังเทียบมิได้กับสายตาของสตรีตัวเล็กๆ คนหนึ่งจากตระกูลเซี่ย” 

 

 

           เซี่ยฟางหวาไม่ส่งเสียงใด 

 

 

           ฮ่องเต้พลันหันไปมองฉินอวี้ 

 

 

           ฉินอวี้ตาแดงจัด ภายในนั้นเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย เมื่อเห็นพระองค์มองมาก็ส่งเสียงเรียกทุ้มต่ำ “เสด็จพ่อ” 

 

 

           ฮ่องเต้ทรงมองฉินอวี้พักหนึ่ง ก่อนตรัสกับเขา “เรากับเจ้ามีสายตาเหมือนกัน สตรีที่พึงพอใจในยามนั้นล้วนมีคุณธรรมและพรสวรรค์ควบคู่ เหมาะแก่การเป็นพระมารดาของแผ่นดิน แต่น่าเสียดายที่เราไร้วาสนา” หยุดชั่วครู่แล้วตรัสต่อ “มารดาเจ้ามีสายตาคับแคบ เราก็เอาแต่อยู่ในกรอบ บ้านเมืองนี้…เรามิใช่บิดาที่ดี และมิใช่ฮ่องเต้ที่ดี ชีวิตนี้…คงทำได้เพียงเท่านี้แล้ว” 

 

 

           น้ำตากลิ้งตกลงมาจากหางตาของฉินอวี้ กุมพระหัตถ์ของพระองค์ไว้แน่น “เสด็จพ่อ…” 

 

 

      

 

 

[1] *ยามจื่อ ช่วงเวลา 23:00 น. – 01:00 น. 

 

 

[2] **ยามโฉ่ว ช่วงเวลา 01:00 น. – 03:00 น. 

 

 

[3] ***อูฐที่ผอมตายยังตัวใหญ่กว่าม้า สุภาษิตจีน หมายถึง คนรวยแม้เข้าตาจนก็ยังอยู่ในสภาพที่ดีกว่าคนจน