จิ่งเหิงปัวซบอยู่บนผืนอกของกงอิ้น

 

 

เกี้ยวเล็กคับแคบ ยามที่นางชนเข้ามากงอิ้นไร้ที่ให้หลบหลีก ได้แต่ใช้หน้าอกรองรับพลังเร่าร้อนของนาง

 

 

ทว่าเขายื่นแขนขวางไว้ตรงหน้าท้องได้ทันเวลา หลีกเลี่ยงการสัมผัสที่เก้อเขินเกินเลยบางอย่าง

 

 

จิ่งเหิงปัวกลับไม่ได้มาฉวยโอกาสลวนลาม นางจับใบหน้าของกงอิ้นไว้แล้วมองซ้ายมองขวา กล่าวอย่างประหลาดใจว่า “เอ๊ะ สีหน้าของเจ้าปกติดีนะ ซ้ำยังแดงเลือดฝาดนิดหน่อยด้วย”

 

 

“นั่งให้ดี” เขาเอ่ย

 

 

จิ่งเหิงปัวนั่งให้ดี…นั่งบนหัวเข่าเขา

 

 

“ขอบคุณที่เจ้ามาช่วยกอบกู้สถานการณ์” นางกล่าวอย่างยิ้มแย้มปรีดาว่า “วันนี้เจ้าโคตรหล่อเลย”

 

 

“มิได้องอาจห้าวหาญเท่าองค์ราชินี” เขาไม่ลืมตาขึ้นมาด้วยซ้ำ ฉวยมือหยิบหนังสือเล่มหนึ่งมาอ่าน เอ่ยสืบต่อไปว่า “คนเดียวพันใบหน้า บทบาทพลิกผันมากหลาย จากอนุภรรยาสู่จอมยุทธ์หญิงสู่ราชินี แต่ละบทบาทต่างฝึกฝนจนเชี่ยวชาญ ท่วงท่าสมบูรณ์เพียบพร้อม”

 

 

จิ่งเหิงปัวกะพริบตา ดมกลิ่นรอบด้าน แล้วกล่าวว่า “เอ๊ะ กลิ่นหึง กลิ่นหึง”

 

 

มือข้างหนึ่งยื่นเข้ามา สะบัดแผ่วเบาเพียงครั้ง ก่อนจะปลดมวยผมของนางให้สยายออก

 

 

“รู้หรือไม่ว่าเช่นนี้อัปลักษณ์ยิ่งนัก?” เขาเอ่ย

 

 

คราวนี้จิ่งเหิงปัวถึงนึกออกว่าทรงผมของตนเองยังเป็นมวยผมของผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว เกล้ามวยมั่วซั่วเพื่อปลอมตัวเป็นอนุภรรยาของเหยียลี่ว์ฉี

 

 

เจ้าคนโลกทัศน์สูงส่งกว่าท้องนภา อารมณ์หึงหวงกว้างไกลกว่าสมุทรคนนี้ คาดการณ์ว่าพอเจอหน้าก็อยากทำท่าทางแบบนี้ อดทนจนถึงตอนนี้ได้นับว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์

 

 

“ไม่สวยหรือ?” นางคลอเคลียอยู่บนขาของเขา โอบคอของเขาไว้แล้วเอ่ยว่า “ไม่สวยจริงๆ หรือ? เช่นนั้นต่อไปข้าจะไม่เกล้ามวยผมเช่นนี้อีกแล้วตลอดกาล หืม?”

 

 

“ย่อมเป็นเช่นนั้น…” เขาโพล่งปากเอ่ยตอบ แล้วพลันหยุดชะงัก

 

 

จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มอย่างเจ้าเล่ห์ขึ้นมา

 

 

“ไม่เกล้าไปตลอดกาลจริงๆ นะ? ผู้ใดมาขอก็ไม่เกล้า เจ้าเอ่ยเองนะ” นางจิ้มจมูกของเขา

 

 

กงอิ้นคว้ามือของนางเอาไว้ มองนางแน่วแน่ครู่ใหญ่ ผมยาวพลิ้วสยายกับนัยน์ตาประหนึ่งแมวของนางต่างกำลังทอประกายระยิบระยับท่ามกลางลำแสงมืดสลัว ท่วงท่าหันข้างหวานชื่นน่ารักใคร่ แตกต่างจากความงดงามสวยสง่ายามปกติ ยามนี้เบื้องหน้าคือสตรีน้อยที่ทั้งคล่องแคล่วบอบบางทั้งไร้หนทางควบคุม

 

 

ดวงใจและบริเวณลำคอต่างคล้ายกำลังกำจายรสหวาน หวานจนถึงจุดสิ้นสุดคือความรู้สึกที่ยากที่จะควบคุม

 

 

มวยข้างเกล้าหลวมเอน คิ้ววาดเส้นโค้งเรียวบาง” สักวันหนึ่งนางคงหวีผมยาว เกล้ามวยโหนอาชา[1] ประทินโฉมดวงหน้า แต้มผกากลางหน้าผาก สวมอาภรณ์สดใสข้ามบันไดหยก ยกขบวนสินเดิมทอดยาวสิบลี้?

 

 

ส่วนผู้ยกแขนเสื้อถือแพรสีสัน อมยิ้มร่วมพิธีวิวาห์ฝั่งหนึ่งนั้น จะเป็น…เขาได้หรือไม่?

 

 

ดั่งมีกระแสคลื่นถาโถมซัดสาดทำนบน้ำแข็งหิมะ เขาคล้ายได้ยินเสียงน้ำค้างหิมะแตกละเอียด ท่วงท่าร่วงโรยดุจเกราะร้าว

 

 

มือเขาสั่นสะท้าน

 

 

“มือของเจ้าพลันอุ่นขึ้นมาแล้วแฮะ” นางแนบแก้มลงบนมือของเขา รู้สึกถึงระดับความร้อนที่แปลกประหลาด เขาเยือกเย็นมาโดยตลอด เย็นสบายดุจหิมะแรก ระดับความร้อนเช่นนี้ทำให้คนประหลาดใจยิ่งนัก

 

 

นางกลัวเขาจะเป็นไข้ เช่นนั้นจึงใช้หลังมือลองวัดดู แต่อุณหภูมิบนหน้าผากเป็นปกติ

 

 

นางวางใจลงแล้ว ก่อนจะคลายคิ้วยิ้มแย้ม แล้วกล่าวว่า “จริงๆ แล้วเจ้าอบอุ่นก็เป็นด้วย ดียิ่งนัก ตอนนั้นจู่ๆ เจ้าที่กลายเป็นน้ำแข็ง ก็ทำให้ข้าตกใจแทบแย่”

 

 

วันนั้นในวังกษัตริย์เทียนหนาน เรื่องรอยจุมพิตซึ่งไปไม่ถึงริมฝีปากทำให้ทั่วร่างเขากลายเป็นน้ำแข็งนั้น นางยังจดจำได้อย่างลึกซึ้ง ในใจคิดสงสัยเสมอว่าปัญญาหิมะของเขาเข้าใกล้สตรีไม่ได้เหมือนที่นิยายกำลังภายในกล่าวไว้แบบนั้นหรือเปล่า? ไม่อย่างนั้นทำไมพอหวั่นไหวก็กลายเป็นน้ำแข็งเสียล่ะ ด้วยเหตุนี้จึงใกล้ชิดเขาเป็นครั้งคราว แอบสังเกตโดยละเอียดเสมอ แต่ไม่ได้พบปรากฏการณ์กลายเป็นน้ำแข็งแบบนั้นอีก ขณะนี้กลับอบอุ่นขึ้นมาแล้ว

 

 

แบบนี้หมายความว่าที่จริงแล้วเขาไม่ได้เป็นอะไร ไม่มีอะไรขัดขวางทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ?

 

 

ผมยาวของนางร่วงหล่นลงมาสยายบนหลังมือเขาเป็นกลุ่มก้อน บดบังรอยด่างสีแดงที่พลันโผล่ออกมาบนเล็บมือไว้

 

 

ปลายนิ้วของเขาเกี่ยวพันผมของนางดั่งเกี่ยวพันความรู้สึกที่ยากจะเอ่ยในยามนี้ พลันถามนางว่า “เจ้าชื่นชอบให้ข้าอบอุ่นขึ้นสักหน่อยหรือ?”

 

 

“แบบใดก็ชื่นชอบทั้งนั้น” นางกอดเอวของเขาไว้ กล่าวว่า “ขอเพียงเป็นเจ้าก็พอ”

 

 

เขาร้อง “อืม” ออกมาเสียงหนึ่ง เอ่ยว่า “แท้จริงแล้ว สิ่งที่เจ้าชื่นชอบมีมากมายนัก”

 

 

นางหัวเราะดัง “คิก” รู้สึกว่าความหึงหวงนี้ช่างหวานเหลือเกิน

 

 

สองคนต่างไม่เอ่ยวาจา เกี้ยวสั่นไหวอยู่เล็กน้อย ร่างกายจึงสัมผัสกันแผ่วเบาบ่อยครั้ง เรียนรู้ความอ่อนนุ่มยืดหยุ่นของกันและกันผ่านอาภรณ์ทีละเล็กทีละน้อย ยั่วเย้าความรู้สึกทั้งหวานชื่นทั้งเปรี้ยวฝาดระลอกหนึ่ง นางซุกหน้าตรงช่วงหน้าอกฟังเสียงหัวใจเต้นของเขา ทว่าเขากำลังดมกลิ่นหอมสดชื่นบนเส้นผมของนางโดยละเอียด นางรู้สึกว่าเสียงหัวใจเต้นของเขาฟังดูสุขุมที่สุด ดีงามที่สุดบนโลกใบนี้ เขารู้สึกว่าเส้นผมที่เขาสระให้นางด้วยมือตนเองอ่อนนุ่มที่สุด กลิ่นหอมสะกดผู้คนที่สุดเช่นกัน

 

 

จิ่งเหิงปัวรู้สึกอบอุ่นและสบายใจ ความโกรธแค้นสับสนตึงเครียดไม่พอใจก่อนหน้านี้สูญสลายหายไปในอ้อมแขนของบุรุษผู้นี้ทันที เขาไม่ปลอบโยน ไม่เอาใจ ไม่ใกล้ชิด ถึงขนาดปากร้ายเช่นเคย ทว่าพอนางได้ยินเสียงที่ขานว่าราชครูมาเยือนเสียงนั้นก็ตื่นเต้นดีใจ พอมองเห็นเงาคนภายในเกี้ยวของเขา ลมหายใจก็มั่นคงสงบนิ่ง พอได้ยินเสียงของเขาก็ผ่อนคลายไปโดยสิ้นเชิง มองเห็นฟ้าดินสว่างไสว สรรพสิ่งต่างมีแสงสว่าง

 

 

คนบางคนทำให้เจ้ารู้สึกว่าฝากฝังทุกสิ่งทั้งมวลไว้ด้วยได้ ฟ้าดินภูเขาแม่น้ำรวมทั้งตนเอง ต่างอยู่ในอ้อมกอดของเขา

 

 

นางยังไม่รู้ว่าสิ่งนี้คือความรักหรือความรู้สึกพึ่งพาได้ภายใต้ความรู้สึกไม่ปลอดภัย แต่นางรู้ว่าตนเองอยากให้ครู่หนึ่งนี้ มากขึ้น มากมายยิ่งขึ้น อยากให้ช่วงเวลาเช่นนี้ ยาวขึ้น ยาวนานยิ่งขึ้น

 

 

ในความเลือนรางมัวสลัว นางรู้สึกถึงเสียงหายใจถี่กระชั้นเล็กน้อยของเขา เช่นนั้นก็อดจะหัวเราะไม่ได้…สตรีอยู่ในอ้อมกอด เจ้ามือใหม่คนนี้คงตื่นเต้นขึ้นมาอีกแล้ว

 

 

พอเคยชินก็ไม่เป็นไรแล้ว

 

 

เพราะกลัวเขาเก้อเขินจนผลักนางออก นางจึงถือไข่มุกของเขาไว้ กล่าวเสียงเบาว่า “วันนี้ขอบคุณนะ…ข้าไม่อยากก่อความยุ่งยากให้เจ้าเลย”

 

 

เขาเงียบไปชั่วครู่ ก่อนเอ่ยตอบไปว่า “ต่อไปอยู่กับผู้ไม่เกี่ยวข้องให้น้อยหน่อย”

 

 

จิ่งเหิงปัวหัวเราะคิกๆ กล่าวว่า “ผู้ใดกัน”

 

 

“เจ้ารู้อยู่แล้ว”

 

 

“ข้าไม่รู้” จิ่งเหิงปัวกะพริบตา กล่าวว่า “ข้าเพียงรู้ว่าข้าส่งจูบครั้งเดียวเจ้ายังเช็ดมือข้า ผู้ไม่เกี่ยวข้องอาจจะรวมถึงราษฎรทั่วทั้งตี้เกอ เจ้าแน่ใจว่าจะเขียนรายนามยืดยาวให้ข้าหรือ? ข้าเกรงว่าคงจะสูงเท่าเตียง…”

 

 

วาจาจุกจิกเจื้อยแจ้วของนางถูกนิ้วมือของเขาอุดไว้ จิ่งเหิงปัวเสียใจอย่างยิ่งว่าทำไมไม่ใช่ริมฝีปาก

 

 

ในนิยายตอนนี้พระเอกที่พาลโมโหโกรธาเหมือนว่าควรจะใช้ริมฝีปากมาอุดปากนางมารน้อยของพวกเขาสิ…

 

 

นางถอนหายใจออกมา กุมนิ้วมือของเขาเอาไว้แน่น เขาคล้ายจะไม่เป็นธรรมชาติอีกครั้งแล้ว พยายามจะชักมือกลับ แน่นอนว่านางไม่ปล่อย กล่าวคุกคามเขาว่า “หากเจ้าขยับมั่วซั่วอีกข้าจะโถมเข้าใส่นะ!”

 

 

เขาไม่ขยับเขยื้อนดังคาดการณ์ นิ้วมือตั้งตรงแข็งทื่อเล็กน้อยอยู่ในฝ่ามือของนาง จิ่งเหิงปัวอยากหัวเราะลั่น…บทบาทผิดหมดแล้วที่รัก!

 

 

ประธานแซ่จิ่งจ้องมองปีศาจน้ำแข็งที่เอาใจยากของนางด้วยท่าทางยิ้มตาหยี นึกถึงผู้คนที่ก่อนหน้านี้มองเห็นความองอาจห้าวหาญตอนเขาออกจากเกี้ยวมาจับกุมมือสังหาร ถ้าได้มองเห็นครู่นี้ จะกลับตาลปัตรแค่ไหนกันนะ…

 

 

“สิ่งที่ใช้หยุดวาจาไม่ควรเป็นนิ้วมือ ทำลายบรรยากาศยิ่งนัก…” นางยิ้มตาหยีเชิดกายขึ้น

 

 

“แล้วใช้สิ่งใด…” เขาคล้ายใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเล็กน้อย

 

 

“ใช้…” นางพลันส่งเรือนร่างไปข้างหน้า ริมฝีปากแนบลงบนริมฝีปากเขา กระซิบว่า “ริมฝีปากเรา…”

 

 

เรือนร่างเขาแข็งทื่อ

 

 

หยกอ่อนอบอุ่นหอมกรุ่นฉับพลันปานนั้นถูกส่งขึ้นมาโดยนาง

 

 

ทั้งที่เป็นเพียงความร้อนผ่าวอ่อนนุ่ม ทั้งที่สิ่งที่สะกดผู้คนเป็นเพียงกลิ่นหอมหวานชื่นของนาง ทว่าบนริมฝีปากบนดวงใจคล้ายถูกมีดคมประชิดใกล้ ความร้อนผะผ่าวสายหนึ่งโลดแล่นลงจากคอหอย ดั่งเชื้อไฟเสี้ยวหนึ่งพุ่งเข้าสู่เหมืองน้ำมันที่เดิมทีเดือดพล่านไม่หยุดหย่อน ระเบิดออกดังครืนแทบจะโดยพลัน

 

 

เพลิงลุกไหม้ดวงใจที่ยิ่งรุนแรงยิ่งเร่าร้อนลุกโชนบ้าคลั่งในครู่นั้น ทลายสิบสองหลอดลม มุ่งสู่กลางหน้าผาก!

 

 

สีแดงฉานสีหนึ่งกำลังจะออกมาในครู่นั้น!

 

 

แขนสองข้างของเขาสั่นเทิ้ม คว้าไหล่ของนางไว้ในทันใด เรือนร่างพลิกขึ้นมาโถมทับนางไว้ข้างล่าง!

 

 

เพียงมอบจุมพิตล้อเล่นครั้งหนึ่งของจิ่งเหิงปัวกลับทำให้ภูเขาน้ำแข็งนี้ก่อเกิดปฏิกิริยารุนแรงเช่นนี้ นางเบิกตากว้างอย่างตื่นตะลึง…ไม่ได้! เรื่องนี้นางยังไม่ได้เตรียมพร้อม!

 

 

แทบจะไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ นางยกแขนขึ้นมาใช้แรงผลักเขาไปข้างหนึ่งทันที

 

 

เพราะรู้ถึงความแข็งแกร่งของเขา นางจึงใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดด้วยความร้อนรนกังวลใจ ใครจะรู้ว่าพอมือผลักออกไปกลับไม่ได้พบพานการต่อต้านแม้แต่น้อย เรือนร่างของเขาถูกผลักจนเอนเอียง ชนเข้ากับผนังเกี้ยว ทั่วทั้งเกี้ยวสั่นไหวในทันใด

 

 

ยามชนเข้าไปเขาหันข้าง ใบหน้าชนเข้ากับเบาะแพรสีม่วงเข้มบนพนักพิงที่อยู่ข้างหลัง หยุดชะงักไปเล็กน้อย

 

 

เกี้ยวหยุดลงเช่นกัน เสียงเจือด้วยความกังวลเล็กน้อยของเหมิงหู่ดังขึ้นว่า “นายท่าน…”

 

 

“ไม่เป็นไร” จิ่งเหิงปัวที่บนใบหน้าร้อนผ่าวท่วมท้นพลันชิงตอบตัดหน้าอย่างสับสนอลหม่าน แล้วกระซิบถามกงอิ้นว่า “ไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”

 

 

กงอิ้นโค้งมุมปากเบาบางให้นาง

 

 

เหมิงหู่คล้ายไม่ได้จากไป แสงอาทิตย์สะท้อนเงาโค้งคำนับเล็กน้อยของเขาลงบนม่าน กระวนกระวายและเป็นห่วงหลายส่วน

 

 

กงอิ้นค้ำยันผนังเกี้ยวค่อยๆ นั่งตัวตรง เอนกายพิงพนักพิงหลัง เอ่ยว่า “ไม่เป็นไร เคลื่อนต่อไป”

 

 

ได้ยินเสียงเขาสงบเงียบ เหมิงหู่ถึงถอยลงไป จิ่งเหิงปัวถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เก้อเขินเล็กน้อย พูดเองเออเองว่า “เขาระมัดระวังเกินไปแล้ว”

 

 

กงอิ้นไม่เอ่ยวาจา ค่อยๆ จัดระเบียบแขนเสื้อ บนใบหน้าของจิ่งเหิงปัวร้อนผ่าว เหลียวซ้ายแลขวาไม่รู้ว่าควรกล่าวอะไร

 

 

 

 

 

 

[1] มวยผมทรงโหนอาชา หรือมวยผมตกหลังม้า ลักษณะเกล้าเป็นมวยเฉียงแบบหลวมไว้ข้างศีรษะ เป็นทรงผมของสตรีที่สมรสแล้ว