ตอนที่ 670 ร่วมทัพ

บุตรอสูรบรรพกาล

ตอนที่ 670

ร่วมทัพ

เปรี้ยง!!

ร่างของหลินเฟยทะยานลงมาจากฟ้าก่อนจะใช้เท้าเหยียบลงไปบนร่างของศิษย์สำนักวิญญาณกระบี่เข้าอย่างจังเพื่อจับกุมตัวพวกมันเอาไว้ ยามนี้เหล่าศิษย์สำนักวิญญาณกระบี่ที่ร่วมกันขัดคำสั่งราชสำนักต่างมีโทษกบฏทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเจอที่ไหนก็จับตัวได้ทันที เพียงแต่พวกมันก็ไม่โง่พอหลบหนีก็อำพรางตัวในกลุ่มผู้คนเปลี่ยนชุดเครื่องแบบสำนักออกสวมเสื้อผ้าของชาวบ้านทำให้หลินเฟยต้องออกมาจัดการเองเพราะคนที่จำหน้าพวกมันได้ทั้งหมดมีเพียงหลินเฟยกับคนอีกจำนวนหนึ่งที่มีความสนิทสนมกับสำนักวิญญาณกระบี่เท่านั้น

“เท่านี้ก็เก็บกวาดเรียบร้อยเสียที”หลินเฟยจับร่างของศิษย์สำนักวิญญาณกระบี่ที่ถพึ่งโดนตนเองจับขึ้นมาก่อนจะส่งตัวให้ทหารไปจัดการต่อเอาเอง แต่ก็อย่างที่หลินเฟยบอกตอนนี้ศิษย์สำนักวิญญาณกระบี่ถูกจับหมดแล้วเท่านี้ก็คงให้พี่ไป๋ฟานกลับบ้านได้เสียที

“ท่านเจ้าสำนักเหยี่ยวทะเลทราย มีคำสั่งมาจากองค์จักรพรรดิขอรับ”พึ่งจัดการสำนักวิญญาณกระบี่ไปยังไม่ทันได้กลับสำนัก ทหารคนหนึ่งก็มาเรียกตัวหลินเฟยไปทันทีทำเอาหลินเฟยออกอาการเซ็งอย่างเห็นได้ชัด กลายเป็นว่าพอกลับมาก็มีงานเข้ามาไม่หยุดเลย คราวนี้องค์จักรพรรดิต้องการอะไรกันแน่

.

.

“หลินเฟย เจ้ามาพอดี”ทันทีที่หลินเฟยเดินทางไปถึงวังหลวงของอาณาจักรซาน หลินเฟยก็พบว่าที่ท้องพระโรงนั้นไม่ได้มีตนเองเท่านั้น ยามนี้เบื้องหน้าองค์จักรพรรดินั้นมีชาย 4 คนกำลังยืนอยู่ด้วยท่าทีเครียดจัด ใบหน้าของคนพวกนี้แสดงให้เห็นได้ชัดเจนเลยว่ากำลังกังวลอะไรบางอย่างอยู่ แต่ที่แปลกตาที่สุดก็คือเครื่องแต่งกายของคนทั้ง 4 นั้นไม่เหมือนกันกันเลย แต่ละคนต่างแต่งกายไปคนละแบบและที่สำคัญคือบนชุดของคนพวกนี้มีสัญลักษณ์ของอาณาจักรอื่นอยู่ด้วย แถมยังเป็น 4 อาณาจักรอีกต่างหาก

“เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ หรือว่าจะมีสงคราม”หลินเฟยถามพลางเดินเข้าไปหาองค์จักรพรรดิด้วยท่าทีสบายๆ ต่อให้เป็นสงครามแต่สำหรับหลินเฟยแล้วก็คงไม่มีอะไรมากหรอก

“เจ้าหนู พูดจาระวังปากหน่อย สถานการณ์ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะ”ชายในกลุ่ม 4 คนพูดพลางมองหลินเฟยด้วยท่าทีไม่พอใจ

“หลินเฟย คนเหล่านี้คือทูตของอาณาจักรพันธมิตรของเรา แต่เดิมพวกเรามีกัน 6 อาณาจักร แต่เมื่อไม่นานมานี้อยู่ๆอาณาจักรซ้งกลับถูกยึดอย่างกะทันหันเกรงว่าจะถูกศัตรูบุกมาโดยไม่ทันตั้งตัว”จักรพรรดิอาณาจักรซานตอบพลางถอนหายใจออกมา เรื่องเช่นนี้มันเกิดได้ด้วยงั้นหรือ การบุกยึดอาณาจักรไหนสักอาณาจักรต้องใช้กำลังคนกำลังทหารตั้งเท่าไหร่ อยู่ๆมาบอกว่าอาณาจักรโดนยึดเนี่ยเหมือนกำลังล้อเล่นกันอยู่เลย

“ไม่ใช่สงครามกลางเมืองหรือขอรับ… อยู่ๆอาณาจักรไหนจะบุกยึดอีกอาณาจักรได้โดยไม่มีใครทราบกัน”หลินเฟยถามด้วยท่าทีงุนงงไม่ต่างกัน หากเป็นสงครามกลางเมืองที่คนในต่อสู้กันเองจนเกิดการเปลี่ยนแปลงอำนาจ เรื่องนั้นคนอาณาจักรอื่นจะไม่ทราบก็ไม่แปลก

“ไม่ใช่… อาณาจักรซ้งปกครองอย่างมั่นคงมานานมาก อยู่ๆก็ถูกยึดแถมยังมีรายงานว่ากองทัพที่ยึดอาณาจักรซ้งจะบุกขึ้นมาทางอาณาจักรของพวกเราอีกต่างหาก”จักรพรรดิอาณาจักรซานตอบด้วยท่าทีกังวล กองทัพที่ยึดทั้งอาณาจักรได้ในวันเดียว แถมอาณาจักรซ้งยังเป็นอาณาจักรหน้าด่านที่คอยป้องกันพวกทางใต้มาอย่างเหนียวแน่นหลายต่อหลายชั่วอายุคน เป็นอาณาจักรที่แข็งแกร่งมากอาณาจักรหนึ่งเลยก็ว่าได้ การที่โดนยึดง่ายๆเช่นนี้กองทัพของอีกฝ่ายต้องน่าหวาดกลัวมากแน่ๆ

“เพราะงั้นท่านก็เลยเรียกข้ามาสินะขอรับ”หลินเฟยได้ทราบเรื่องก็พยักหน้าช้าๆก่อนจะสรุปเรื่องราวได้ในทันที เรื่องของเรื่องก็คืออาณาจักรและพันธมิตรโดนบุกก็เลยอยากให้ตนเองช่วยสินะ

“ถูกแล้ว สิทธิ์ของข้าที่ยังเหลือ 2 ครั้งข้าขอใช้ให้เจ้าไปร่วมมือกับอาณาจักรเซินต้านกองทัพศัตรูของพวกเรา หวังว่าเจ้าจะไม่ปฏิเสธข้านะ”จักรพรรดิอาณาจักรซานว่าพลางมองหลินเฟยด้วยท่าทีขอร้อง คราวนี้ตัวมันรู้สึกไม่ดีเลยหวังว่าจะไม่เป็นลางร้ายนะ

“กลับมาก็มีแต่งานเลยนะ แต่เอาเถอะข้าสัญญากับท่านเอาไว้แล้วก็ต้องทำตามหน้าที่”หลินเฟยว่าพลางประสานมือน้อมรับคำสั่งอย่างช่วยไม่ได้ แถมแค่ช่วยต้านทัพศัตรูแต่เดิมก็เป็นหน้าที่ของสำนักต่างๆในอาณาจักรอยู่แล้วด้วย หากภัยมาถึงหน้าอาณาจักรซานหลินเฟยและเจ้าสำนักคนอื่นๆก็ต้องออกมาต้านรับกันทั้งนั้น

แน่นอนว่าเรื่องใหญ่เช่นนี้ไม่ใช่แค่หลินเฟยคนเดียวเท่านั้นที่ถูกขอความช่วยเหลือ สำนักใหญ่ต่างๆในอาณาจักรซานต่างถูกขอร้องให้ร่วมเดินทางไปกับทหารของอาณาจักรซานเพื่อต้านรับศัตรูที่กำลังมาถึง เพียงแต่สำนักใหญ่ของอาณาจักรซานยามนี้หายไปหลายสำนัก ทั้งสำนักหมู่ดาวที่โดนหลินเฟยทำลายไป และสำนักวิญญาณกระบี่ที่เหมือนจะโดนหลินเฟยทำลายไปเช่นกัน……. จะว่าสาเหตุที่กองทัพของอาณาจักรซานครั้งนี้ดูโหรงเหรงแปลกๆมาจากหลินเฟยก็คงไม่ผิดนัก แต่ขอเพียงมีหลินเฟยและพวกศิษย์เอกมาร่วมด้วยก็ชดเชยส่วนที่ขาดได้เหลือเฟือแล้ว

“คนเยอะมากเลยนะขอรับ นี่นะหรือกองทัพ”ฟงเป่าพูดขณะนั่งอยู่บนหลังม้าร่วมกับคนอื่นๆ ตอนนี้ที่ชายแดนอาณาจักรเซินและซ้งมีกองทัพของพันธมิตร 4 อาณาจักรรออยู่แล้ว เมื่อร่วมอาณาจักรซานเข้าไปก็กลายเป็น 5 อาณาจักรพอดี จำนวนคนหลักแสนเช่นนี้ไม่ได้เห็นกันได้ง่ายๆ แม้แต่หลินเฟยเองยังอดทึ่งไม่ได้เพราะอาณาจักรไป๋ไม่ได้ทำสงครามเลยตั้งแต่มันเกิดมาดูโลก

“กดดันกันน่าดูเลยนะ”หลินเฟยว่าพลางบังคับม้าให้ไปเข้าแถวอยู่ด้านหน้าสุดของทัพอาณาจักรซานโดยมี ฟงเป่า เซี่ยจินเย่ อาทู้ และ หนี่หลิงหนาน ตามมาด้วย ตอนนี้ทั้ง 4 คนระดับพลังอาจจะยังไม่ถึงเสินเซียนขั้นท้าย แต่ระดับฝีมือของแต่ละคนเทียบเท่าหรือเหนือกว่ายอดฝีมือระดับเสินเซียนขั้น 10 อย่างเจ้าสำนักวิถีเซียนไปแล้ว เรียกได้ว่าเป็นกำลังหลังของอาณาจักรซานได้เลย เพียงแต่…

“เอาจริงงั้นหรือ อาณาจักรซานมีผู้หญิงมาด้วย”เสียงของทหารฝั่งอาณาจักรซุยที่ตั้งอยู่ข้างๆดังขึ้น แม้ระยะห่างจะมากแต่หูของผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณก็ดันได้ยินเสียอย่างนั้น แต่พวกหนี่หลิงหนานก็ไม่ได้คิดจะตอบโต้อะไรเพราะเคยชินเสียแล้ว อาณาจักรซานก่อนหน้านี้ก็เป็นแบบนั้นมาตลอดจนพวกนางได้ประกาศศักดาในงานประลองของสำนักเกราะทอง พอพวกที่บ่นได้เห็นฝีมือพวกนางในสนามรบก็คงเงียบปากกันไปเอง

“หลินเฟย เจ้าเองก็มากับพวกเราด้วยสิ”แม่ทัพใหญ่ของอาณาจักรซาน เจี่ยหุน ขี่ม้าผ่านหน้าหลินเฟยก็หยุดม้าเอาไว้ก่อนจะบอกให้หลินเฟยตามพวกตนมา

“ขอรับ”หลินเฟยตอบรับพลางขี่ม้าตามเจี่ยหุนไปหลังจากสั่งให้ผานซูมาดูแลคนของสำนักตนเองต่อ สถานที่ที่เจี่ยหุนพาหลินเฟยไปก็คือค่ายบัญชาการ 5 ทัพนั่นเอง ที่นี่นอกจากเป็นที่พักของจักรพรรดิทั้ง 5 พระองค์แล้วยังมีทั้งแม่ทัพใหญ่ของแต่ละอาณาจักรรวมถึงยอดฝีมือของแต่ละอาณาจักรเช่นกัน

“………..”ขณะกำลังตรงเข้าไปในเต็นท์บัญชาการ อยู่ๆหลินเฟยก็สัมผัสได้ถึงพลังสายหนึ่งที่พวยพุ่งออกมาจากด้านข้าง มันมาจากคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังมุ่งหน้าเข้ามาที่เต็นท์บัญชาการเช่นเดียวกันกับพวกหลินเฟย ระดับพลังของคนที่กำลังเข้ามาคือระดับเทียนเซียนขั้นที่ 3 ลำพังเรื่องนั้นคงไม่ทำให้หลินเฟยประหลาดใจหรอก แต่สิ่งที่ทำให้หลินเฟยต้องรีบใช้ดวงตาสีม่วงตรวจสอบก็คือผู้ที่มานั้นมีพลังอสูรติดตัวมาด้วย ไม่ใช่แค่พลังอสูรในร่าง แต่นกสีแดงเพลิงที่เกาะอยู่บนไหล่ของนางนั้นกลับเป็นอสูรระดับมายาอีกด้วย

“มองอะไรของเจ้า”หญิงสาวนางนั้นจ้องกลับมาทางหลินเฟยด้วยท่าทีไม่พอใจ เช่นเดียวกับพวกหนี่หลิงหนาน นางเองก็โดนเหล่าทหารและยอดฝีมือของอาณาจักรอื่นๆดูถูกมาทั้งวันทำเอาอารมณ์เสียไม่น้อย นี่จะเข้าเต็นท์บัญชาการอยู่แล้วยังโดนจ้องอย่างกับเจอตัวประหลาดอีก ช่างน่าโมโหจริงๆ

“ท่านแม่ทัพเจี่ยหุน ไม่คิดว่าคนของท่านกำลังทำตัวเสียมารยาทกับยอดฝีมืออันดับ 1 ของพวกเราอยู่งั้นหรือ”แม่ทัพของอีกฝั่งพูดพลางมองมาทางหลินเฟยด้วยท่าทีตำหนิ แต่เจี่ยหุนนี่ล่ะที่เป็นคนแปลกใจที่สุด หลินเฟยเป็นคนนำร่องเรื่องรับศิษย์หญิงเข้าสำนักแถมยังแสดงให้เห็นด้วยว่าผู้หญิงเองก็ฝึกฝนพลังวิญญาณและแข็งแกร่งได้ไม่ต่างจากบุรุษ หลินเฟยควรจะเป็นคนสุดท้ายสิที่ตกใจกับการได้เห็นยอดฝีมือหญิงของอาณาจักรอื่น

“น้องกุ้ยฉินอย่าไปสนใจเลย พวกเรารีบไปกันเถอะ”ชายคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มคนของอาณาจักรซินพูดพลางพาบอกให้คนของตนเองเข้าไปในเต็นท์บัญชาการโดยไม่ต้องสนใจหลินเฟยที่ยังพูดไม่ออก

.

.

“………..”ทันทีที่หลินเฟยเข้ามาในเต็นท์บัญชาการ หลินเฟยก็พบว่าภายในนั้นตึงเครียดกันไม่น้อย แต่แทบไม่ต้องสงสัยเลยว่าสายตาของทุกคนต่างจ้องกันไปที่หญิงสาวที่หลินเฟยเจอก่อนหน้านี้กันทั้งนั้น แน่นอนนางเป็นสาวงามที่หาตัวจับได้ยาก เพียงแต่ที่ทำให้ทุกคนหันไปมองนั้นเพราะการเข้ามาในเต็นท์บัญชาการได้ก็หมายความว่านางต้องเป็นแม่ทัพใหญ่ รองแม่ทัพหรือยอดฝีมือของอาณาจักรใดเท่านั้น และจากที่ฟังก่อนหน้านี้ดูเหมือนนางเป็นยอดฝีมืออันดับ 1 ของอาณาจักรซิน แต่ยอดฝีมือของอาณาจักรซินคนก่อนไม่ใช่นางนี่นา หรือว่านางพึ่งเข้ามาในปีนี้ แถมระดับพลังของนางยังไม่ธรรมดาด้วยทำเอาคนอื่นๆตึงเครียดกันมากทีเดียว

“จักรพรรดิเซิน เริ่มประชุมกันได้แล้วกระมัง”จักรพรรดิอาณาจักรซินพูดพลางยิ้มเจื่อนๆออกมา ท่าทางยอดฝีมือของมันคงทำให้คนอื่นๆแปลกใจกันไม่น้อยเลย

“นั่นสิ….”จักรพรรดิเซินที่รับหน้าที่เป็นผู้นำการประชุมพยักหน้าช้าๆก่อนจะนำแผนที่ออกมากางตรงหน้าเหล่าผู้ร่วมประชุม

“จากสายข่าวที่ข้าส่งไปดูเหมือนทัพของศัตรูจะบุกมาถึงในอีก 3 วัน”จักรพรรดิเซินว่าพลางนำตัวหมากจำลองว่าเป็นทัพของศัตรูไปตั้งเอาไว้ตรงจุดที่น่าจะเป็นตำแหน่งของศัตรู

“พวกมันมีกำลังคนเท่าไหร่”จักรพรรดิซุยถามด้วยท่าทีกังวล ตอนนี้ทุกฝ่ายต่างสงสัยอย่างมากว่ากองทัพที่ยึดอาณาจักรซ้งได้ในวันเดียวคือกองทัพแบบไหน

“ถ้าเป็นคนก็..มีคนเดียว”ได้ยินคำตอบคนทั้งห้องก็พากันหันมามองจักรพรรดิเซินเป็นตาเดียว พูดเป็นเล่น คนเดียวเนี่ยนะ…

“แล้วที่ไม่ใช่คนล่ะ”จักรพรรดิซานถามออกมาด้วยท่าทีสงสัย เมื่อครู่จักรพรรดิเซินพูดเหมือนจะบอกว่ากองทัพที่ว่าไม่ได้มีแต่คนเลย

“กองทัพศัตรูมีมนุษย์แค่คนเดียวก็จริง แต่มันพาอสูรมาด้วยเป็นจำนวนมาก ข้าคิดว่าที่อาณาจักรซ้งพ่ายแพ้ในคืนเดียวน่าจะเป็นเพราะมีอสูรที่แข็งแกร่งมากๆแน่นอน”จักรพรรดิเซินสรุปออกมาตามข่าวที่ได้รับ

“ทัพอสูรงั้นหรือ”หลินเฟยขมวดคิ้วด้วยท่าทีสงสัยครู่หนึ่งมันแอบคิดถึงท่านน้าจูล่งอยู่หรอก แต่ท่านน้าไม่มีเหตุผลอะไรที่จะมาบุกอาณาจักรทั้งหลายเสียหน่อย ทำให้เรื่องที่ศัตรูอาจจะเป็นจูล่งโดนตัดหายไปจากความคิดของหลินเฟยทันที ตอนนี้ตัวเลือกที่ศัตรูจะเป็นผู้มีพลังดึงดูดเหล่าอสูรคนอื่นยังเข้าท่าเสียมากกว่า