ตอนที่ 756 สัญญาณเตือน

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 756 สัญญาณเตือน

เช้าวันต่อมาพายุหิมะที่กระหน่ำลงมาเมื่อคืนก็ได้หยุดลง ท้องนภาแปรเปลี่ยนเป็นสีครามสดใสส่วนฟู่เสี่ยวกวนตื่นนอนตั้งแต่เช้าตรู่

บัดนี้เป็นวันหยุดของทางราชสำนัก เขาจึงมิจำเป็นต้องไปเข้าร่วมประชุมใหญ่ราชวงศ์ในยามเช้าอีก แต่ทว่าในวันนี้เขาจำเป็นต้องเดินทางเข้าไปในพระราชวังเนื่องจากต้องการเข้าเฝ้าท่านพ่อตา

หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่กำลังจะออกจากจวน กลับพบว่ามีใครคนหนึ่งเดินทางมาเยือนเสียก่อน

ชายผู้นั้นคือต่งคังผิง !

ฟู่เสี่ยวกวนรีบเดินเข้าไปต้อนรับต่งคังผิง จากนั้นก็พาเขาเดินไปยังหลีเฉินซวน ทันทีที่ต่งคังผิงนั่งลงก็ได้เล่าถึงข่าวที่น่าตกตะลึงขึ้นมา

“ฉินฮุ่ยจือ ได้รับการอภัยโทษและถูกปล่อยตัวแล้ว”

มือของฟู่เสี่ยวกวนที่กำลังต้มชาพลันชะงักค้างกลางอากาศ เขาเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยถามว่า “ตั้งแต่เมื่อใดกัน ? ”

“เมื่อสองวันก่อน ณ ท้องพระโรงเฉิงเทียน ในการประชุมใหญ่ราชวงศ์ก่อนจะหยุดปีใหม่…”

ต่งคังผิงถอนหายใจยาวพลางจ้องมองฟู่เสี่ยวกวน “เขาได้รับการปล่อยตัวและในขณะเดียวกันก็พ้นข้อกล่าวหาแล้วด้วย แน่นอนว่ารวมถึงหวงจ้งด้วย”

นี่คือสัญญาณหนึ่งที่ฮ่องเต้ปล่อยออกมา เกรงว่าในอีกหนึ่งปีข้างหน้าขุนนางมากมายที่เกี่ยวข้องกับเขาจะค่อย ๆ ถูกคนใหม่เข้ามาแทนที่

ฟู่เสี่ยวกวนก้มหน้าก้มตาต้มชาต่อไป แต่ทว่าน้ำเสียงช่างเรียบง่ายกว่าที่ต่งคังผิงจินตนาการเอาไว้ “ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่าท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนอาจจะต้องลงจากตำแหน่งแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“เรื่องนี้ยังบอกมิได้เนื่องจากฝ่าบาทยังมิได้คืนตำแหน่งให้แก่ฉินฮุ่ยจือแต่อย่างใด”

“ตำแหน่งรองเสนาบดีการเมืองนั้นยังว่างอยู่… ส่วนตำแหน่งชื่อหลางฝ่ายขวาของกรมคลัง นับจากที่ข้าโยกย้ายหลี่ฉายไป แล้วบัดนี้ผู้ใดดำรงตำแหน่งแทนเขากัน ? ”

“เป็นฉางฮวนน้องชายคนที่สามของฉางหย่งเล่อจือโจวหางโจวในเจี้ยนหนานตงเต้า เขาเป็นอดีตหัวหน้ากรมจือเจ้าแห่งหางโจว”

ชื่อนี้มิเคยได้ยินมาก่อน ฟู่เสี่ยวกวนจึงมิเห็นคนที่ชื่อฉางฮวนนี้อยู่ในสายตา

เขามิรู้ว่าคนที่ถูกซูซูยิงใส่ที่ว่อเฟิงเต้านั้นคือหลานชายของฉางฮวน และเป็นบุตรชายของฉางหย่งเล่อ

“ฉางฮวนผู้นี้เป็นคนเยี่ยงไร ? ”

“ดูจากสีหน้าท่าทางเป็นคนเรียบร้อยดี แต่ทว่าความคิดของเขาช่างลึกล้ำมากยิ่งนัก ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังกังวลสิ่งใดอยู่และการที่ข้าเดินทางมาในวันนี้เพื่อต้องการบอกเจ้าว่า เพียงเจ้ายังอยู่อย่างสบายดี มิว่าจะเป็นจวนต่งหรือจวนเยี่ยนก็จะมิเกิดปัญหาอันใดขึ้นอย่างแน่นอน”

“แต่ถ้าเกิดเหตุมิคาดฝันขึ้นกับตัวเจ้า…” ต่งคังผิงหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมาเป่า “หลังจากนั้นก็คงจะเกิดเรื่องมิคาดฝันขึ้นมามากมายอย่างแน่นอน ! ”

“จงอย่าใช้ความเมตตาในการตัดสินผู้ใด โดยเฉพาะในเวลานี้ !

บัดนี้เจ้ามิได้ตัวคนเดียวอีกต่อไปแล้ว ข้าเชื่อว่าเรื่องนี้เจ้ารู้ดีว่ามันหนักหนาเพียงใด อีกอย่างหนึ่งข้าอยากบอกกับเจ้าว่าฝ่าบาททรงให้พวกศิษย์พี่ของเจ้าเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์แล้ว ในการประชุมใหญ่ราชวงศ์เมื่อมิกี่วันก่อน พระองค์ทรงแต่งตั้งให้สำนักเต๋าเป็นศาสนาประจำชาติโดยขนานนามว่าลัทธิเต๋า อีกทั้งยังอนุญาตให้ลัทธิเต๋าเผยแผ่ศาสนาไปทั่วทั้งราชวงศ์หยูได้

แต่ผู้นำลัทธิคนแรกมิใช่ท่านเจ้าสำนักเต๋า และมิใช่ศิษย์พี่ใหญ่ซูเจวี๋ยของเจ้า แต่เป็นเกาหยวนหยวนชายอ้วนผู้นั้น”

เมื่อฟู่เสี่ยวกวนได้ยินเรื่องนี้ก็ขมวดคิ้วมุ่น รู้สึกงุนงงแต่ก็เข้าใจได้ในมิช้า

การให้ลัทธิเต๋าเป็นศาสนาประจำชาติของราชวงศ์หยู ในตอนที่เขาได้กลายเป็นศิษย์คนเล็กของลัทธิเต๋า เขาเองก็เคยทูลฮ่องเต้เกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อนเช่นกัน ส่วนในวันนี้เพียงแค่ทำตามแผนการที่วางเอาไว้ก็เท่านั้น

ส่วนเรื่องผู้นำลัทธิท่านอาจารย์มิเคยออกหน้ามาพบผู้ใดอยู่แล้ว ส่วนศิษย์พี่ใหญ่ซูเจวี๋ยก็รับหน้าที่เป็นหัวหน้าของสำนักมือปราบหกประตู จึงเหลือเพียงศิษย์พี่รองเกาหยวนหยวนเท่านั้น

เขามิอยากจะเชื่อว่าชายอ้วนที่เต็มไปด้วยความซื่อสัตย์และเรียบง่ายเยี่ยงเกาหยวนหยวนจะมีความคิดเป็นอื่น

ต่งคังผิงดื่มน้ำชาเข้าไปหนึ่งอึกแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “การได้ขึ้นครองบัลลังก์เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดหนึ่งเดียวของราชวงศ์ ย่อมมีทักษะขั้นพื้นฐานในการตรวจสอบและสร้างสมดุลให้กับเหล่าขุนนาง เจ้าอย่าได้ประมาทฝ่าบาทไปเชียวและอย่าได้ประเมินธรรมชาติของมนุษย์ต่ำจนเกินไป”

เขาลุกขึ้นแล้วเอ่ยว่า “เจ้าไปทำธุระต่อเถิด ข้าจะไปดูหลานสาวเสียหน่อย”

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าจากนั้นก็พาสวี่ซินเหยียนมาทางประตูใหญ่ เจี่ยหนานซิงลุกขึ้นจากเก้าอี้โยก “นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปกระหม่อมจะคอยติดตามองค์ชายตลอดเวลาจนกว่าเป่ยหวังฉวนจะเดินทางมาถึงพ่ะย่ะค่ะ”

ฟู่เสี่ยวกวนชะงักขึ้นมาทันใด “เป่ยหวังฉวนจะมาทำอันใดกัน ? ”

“แน่นอนว่าเขาจะมาคอยอารักขาองค์ชาย และนี่คือพระประสงค์ขององค์จักรพรรดิพ่ะย่ะค่ะ”

เจี่ยหนานซิงมิได้กล่าวออกมาว่าตนยังมีพระราชโองการลับขององค์จักรพรรดิอยู่อีกหนึ่งพระราชโองการ ซึ่งนั่นก็คือหากฮ่องเต้บังเกิดผิดใจกับองค์ชายขึ้นมา ก็รีบสั่งให้เป่ยหวังฉวนยิงได้เลยทันที !

……

……

ณ ป้านเยี่ยนซวน ด้านหลังอุทยานดอกไม้ ณ วังเตี๋ยอี๋

เตาผิงด้านในช่างอบอุ่นมากยิ่งนัก มันกำลังเผาไหม้กิ่งไม้จันทร์อย่างต่อเนื่อง

ฮ่องเต้ฉลองพระองค์เรียบง่าย และกำลังประทับเอนกายอย่างสบายพระทัย ในพระหัตถ์มีตำราอยู่เล่มหนึ่งซึ่งพระองค์ก็กำลังทอดพระเนตรโดยละเอียด

เมื่อคืนนี้องค์หญิงใหญ่เสด็จไปยังจวนติ้งอันป๋อ หลังจากนั้นก็กลับมาบอกข่าวที่ชวนตกตะลึงต่อพระองค์ว่าฟู่เสี่ยวกวนจะมอบพื้นที่อันกว้างใหญ่ให้แก่พระองค์ !

แน่นอนว่าพระองค์ต้องรับมันเอาไว้ และเมื่อเป็นเช่นนี้จึงรับสั่งให้ฟู่เสี่ยวกวนมาเข้าเฝ้า

อีกทั้งยังต้องเผชิญหน้ากันอย่างสันติ ใกล้ชิดสนิทสนมและดูสนุกสนาน !

เมื่อขันทีเหนียนกล่าวเชิญฟู่เสี่ยวกวนเข้ามาในป้านเยี่ยนซวน ฮ่องเต้จึงวางตำราในพระหัตถ์ลง ทรงยืดพระวรกายขึ้นแล้วแย้มพระโอษฐ์ออกมาพร้อมกับโบกพระหัตถ์เรียก “เข้ามานั่งก่อนสิ ! ”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท ! ”

ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเจี่ยหนานซิงที่ยืนอยู่ด้านนอก ในพระทัยลึก ๆ รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อยเพราะนี่คือสัญญาณแรกที่ฟู่เสี่ยวกวนส่งออกมาว่ากำลังระวังตัวอยู่ !

แต่ทว่าสีพระพักตร์ยังคงเปี่ยมไปด้วยความยินดี จากนั้นจึงตรัสขึ้นมาว่า “กว่าเจ้าจะเดินทางมาถึงที่นี่ได้คงลำบากน่าดู ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนฉีกยิ้มแล้วทูลว่า “ทูลฝ่าบาท นี่คือสิ่งที่กระหม่อมควรทำพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ต้มน้ำชามาหนึ่งกาด้วยพระองค์เอง จากนั้นก็ได้เข้าสู่บทสนทนา

“เจ้าจะบุกโจมตีชาวฮวงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”

“มีความมั่นใจกี่มากน้อยกัน ? ”

“ทูลฝ่าบาท หากว่าฝ่าบาททรงมีพระราชโองการไปยังแม่ทัพเผิงแห่งกองทัพชายแดนเหนือ กระหม่อมมีความมั่นใจเกือบเต็มร้อยพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้นิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเงยพระพักตร์ขึ้นมาแล้วตรัสถามว่า “หากข้ามิออกพระราชโองการนี้เล่า ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนแบมือออก “เช่นนั้นแคว้นฮวงย่อมตกเป็นของราชวงศ์อู๋พ่ะย่ะค่ะ”

ฝ่าบาทชะงักลงทันใด “ราชวงศ์อู๋เยี่ยงนั้นหรือ ? แต่ราชวงศ์อู๋อยู่ทางทิศใต้ของราชวงศ์หยูแล้วพวกเขาจะทำการปกครองแคว้นที่มีอีกราชวงศ์หนึ่งขั้นกลางได้เยี่ยงไร ? ”

“…ฝ่าบาท การที่ราชวงศ์อู๋จะเข้าปกครองแคว้นฮวงมิใช่เรื่องยาก เพียงแค่พวกเขาเข้าโจมตีแคว้นอี๋ก็สามารถทำให้ทั้งสองแคว้นนี้เชื่อมต่อกันได้แล้วมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ ? กระหม่อมขอทูลตามตรงว่าบัดนี้กระหม่อมได้ขอให้จักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋ส่งกำลังทหารเข้ายึดครองแคว้นอี๋แล้ว หากฝ่าบาทมีพระประสงค์อยากได้แคว้นฮวงเช่นนั้นกระหม่อมก็คงต้องขออภัยด้วย”

ฮ่องเต้ขมวดพระขนงเข้าหากันแน่น หากราชวงศ์อู๋บุกเข้าโจมตีแคว้นอี๋แล้วได้แคว้นฮวงไปอีกก็จะสามารถล้อมราชวงศ์หยูไว้ได้ถึงสามด้าน…

พระองค์จึงสูดหายใจเข้าลึกแล้วตรัสว่า “ราชวงศ์อู๋มีความสามารถมากมายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนยกมือขึ้นคารวะ “ทูลฝ่าบาท เกรงว่าราชวงศ์อู๋จะทำได้เยี่ยงนั้นจริง ๆ…”

เขาหยุดเอ่ยชั่วครู่ จากนั้นก็ถอนหายใจออกมา “มิว่าเยี่ยงไรราชวงศ์หยูก็ได้เลี้ยงดูกระหม่อมมาจนเติบใหญ่ ดังนั้นกระหม่อมจึงอยากตอบแทนราชวงศ์หยูด้วยการยึดแคว้นฮวงมาให้ มิเช่นนั้น…ในตอนที่กระหม่อมยังมีชีวิตอยู่ บางทีทั้งสองราชวงศ์อาจจะยังสงบสุขได้ แต่หากกระหม่อมสิ้นแล้วก็เกรงว่าทั้งสองแคว้นจะเกิดความบาดหมางคราใหญ่ขึ้นมา”

ฮ่องเต้มิสามารถตรัสอันใดออกมาได้ในขณะนี้

พระองค์ทรงมิแน่พระทัยว่าคำเอ่ยของฟู่เสี่ยวกวนคือการข่มขู่หรือการยืนยันให้มั่นใจกันแน่

แน่นอนว่าพระองค์มิปรารถนาให้ราชวงศ์หยูโดนโอบล้อมเอาไว้ทั้งสามด้าน แต่พระองค์ก็มิแน่พระทัยว่าราชวงศ์อู๋จะมีอำนาจเพียงพอในการกลืนกินทั้งสองแคว้นนั้นหรือไม่ แต่ถึงเยี่ยงไรพระองค์ก็มิกล้าเสี่ยง !

เนื่องจากกลศึกนี้เป็นของฟู่เสี่ยวกวน !

หากนี่คือหลุมพราง พระองค์ก็จำต้องกระโดดลงไป แต่มิรู้ว่าหลุมพรางนี้จะทะลุไปยังแห่งหนใด เมื่อคืนได้นอนครุ่นคิดตลอดทั้งคืนแต่คิดเท่าใดก็คิดมิตก

พื้นที่ของแคว้นฮวงนั้นกว้างใหญ่ยิ่ง หากราชวงศ์หยูได้มาครอบครองก็จะช่วยเพิ่มอาณาเขตได้อีกเกือบครึ่ง !

นี่คือก้อนเนื้อชิ้นใหญ่ที่เย้ายวนใจมากยิ่งนัก เดิมที่พระองค์ก็ได้ตัดสินพระทัยแล้วว่าจะกินมัน และเมื่อฟู่เสี่ยวกวนได้อธิบายเพิ่มเติมออกมาก็ยิ่งทำให้พระองค์อยากกลืนกินเข้าไปใหญ่

อีกประการหนึ่ง ณ เวลานี้ชาวฮวงเป็นภัยคุกคามที่ใหญ่หลวงที่สุดของราชวงศ์หยู ถ้าสามารถเอาชนะชาวฮวงเหล่านี้ได้ก็จะสามารถนำมาซึ่งความสงบสุขและมั่งคั่งในระยะยาวของราชวงศ์หยูได้

“เจ้าคิดว่าข้าควรขอบใจเจ้าเยี่ยงไรดี ? ”

“ทูลฝ่าบาท หัวใจของกระหม่อมนี้ฟ้าดินเป็นพยานได้พ่ะย่ะค่ะ…”

ฟู่เสี่ยวกวนจ้องมองออกไปนอกหน้าต่าง ยกยิ้มขึ้นแล้วเอ่ยว่า “พื้นที่ขาวโพลนนั้นมิดูว่างเปล่าไปหน่อยหรือฝ่าบาท มิสู้ให้ฮองเฮาทรงปลูกดอกหล้าเหมยดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? ”