ตอนที่ 240 บททดสอบต่อไป

ลำนำสตรียอดเซียน

เสียงหัวเราะของคนทั้งสองทำให้ไป๋เยี่ยนเฟยสูญสิ้นความสงบนิ่งด้วยความอับอายอย่างสิ้นเชิง เขากล่าวอย่างโกรธเคือง “เจียงหมิ่น! เจ้าเป็นสตรี! เจ้าไม่ละอายใจบ้างหรือ!”

 

 

ศิษย์น้องเจียงยังคงเย้ยหยัน “ท่านเคยช่วยข้าจากความอับอายเสียที่ไหน ไป๋เยี่ยนเฟย ข้ามีชีวิตจนถึงบัดนี้ ทว่าข้าไม่เคยถูกผู้ใดทำให้อับอายเหมือนเช่นนี้เลยแม้แต่น้อย! เจ้าทำให้ข้าเสื่อมเสียชื่อเสียง ทว่าเจ้ายังกล่าวโทษข้าว่าไม่ละอายใจอย่างนั้นหรือ!”

 

 

มีน้อยคนนักที่กล้าพูดจาเถรตรงเช่นนี้กับไป๋เยี่ยนเฟย ช่างบังเอิญที่ว่า คนไม่กี่คนที่กล้าวิพากษ์เขาอย่างเย็นชาต่อหน้าของเขา ล้วนแต่เป็นสตรีทั้งคู่ โดยเฉพาะคนล่าสุดที่ใช้น้ำเสียงเช่นนี้ในการพูดคุยกับเขา ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นด้วย

 

 

เขาชำเลืองมองทั้งสามคนที่กำลังยืนชมอยู่ที่ด้านข้างอย่างกระอักกระอ่วน จากนั้นถลึงตามองเจียงหมิ่นอย่างดุร้าย “อยากพูดอะไรก็พูด ไม่ว่าอย่างไร นี่คือสิ่งที่มันเป็น” เมื่อเขาพูดจบ เขาพลันหันหลังโดยไม่สนใจผู้ใดอีก และเดินจากไปด้วยความโกรธที่แผ่ซ่าน

 

 

ศิษย์น้องเจียง ซึ่งดูเหมือนว่ายังคงโกรธ กลับพลันยิ้มขึ้น และติดตามเขาไป “ไป๋เยี่ยนเฟย ท่านยอมรับแล้วหรือว่าท่านแพ้แล้ว”

 

 

ไป๋เยี่ยนเฟยกล่าวตอบอย่างรำคาญ “เจ้าหมายความว่ายังไงที่ว่าข้าแพ้”

 

 

ศิษย์น้องเจียงชำเลืองมองด้วยหางตา “ท่านชอบหลงตนเองเกินไปอยู่เสมอ ไม่ว่าท่านจะคิดสิ่งใดอยู่จริงก็ตาม ท่านมักจะทึกทักสิ่งนั้นด้วยสีหน้าที่แสดงถึงความห่างชั้นและสูงส่ง เฮอะ! การทำเช่นนั้นมันส่งผลดีต่อท่านงั้นหรือ”

 

 

“เจียงหมิ่น!” ไป๋เยี่ยนเฟยแผดเสียงอีกครา เจียงหมิ่นผู้นี้พูดจาเถรตรงเกินไปแล้ว นางไร้ซึ่งความเกรงกลัวใดๆ ในการทำลายศักดิ์ศรีของเขา

 

 

“อะไร ท่านรู้สึกอึดอัดงั้นหรือ” ศิษย์น้องเจียงยังคงไม่ปล่อยเขา นางกล่าวต่อไปอย่างไม่ลดละ “ยอมรับเสียว่าท่านแพ้ ถอนคำพูดก่อนหน้านี้ซะ แล้วข้าจะไม่กวนใจท่านอีก”

 

 

“ทำไมข้าต้องทำด้วย!” ไป๋เยี่ยนเฟยกล่าวอย่างโกรธแค้น “เจ้าทั้งดื้อด้านทั้งจงเกลียดจงชัง เจ้าบอกว่าข้าชอบดูถูกผู้อื่น ทว่าเจ้าเองต่างหากที่มักยกตนสูงกว่าผู้อื่นอยู่เสมอ!”

 

 

“แม้ข้าจะยกตนสูงกว่าผู้อื่น ข้าเพียงแค่ดูแคลนด้วยเสียง ‘เฮอะ’ ไม่กี่ครา ต่างจากท่านที่ยกตนของท่านขึ้นไว้ยังสูงลิ่วกลางท้องนภา หากมีนกบินผ่านมาเหนือท่านเข้า ปฏิกูลที่ไม่อาจเอ่ยนามอาจร่วงลงมาถูกจมูกของท่านได้!”

 

 

“เจ้า เจ้า เจ้า… เจ้าเป็นสตรี เจ้าไม่คิดว่าวาจาเช่นนี้ดิบห่ามเกินไปหรือ”

 

 

“ท่านเป็นคนบอกเองว่าข้าดื้อด้าน แล้วถ้าข้าดิบห่ามเล่า!”

 

 

พวกเขาทั้งสองยังคงต่อสู้ในสงครามน้ำลายต่อไป ระหว่างที่พวกเขาจากไป โม่เทียนเกอและคนที่เหลือล้วนแต่ยืนงงอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะตั้งสติกลับคืนมาได้ในที่สุด

 

 

หลัวเฟิงเสวี่ยถอนหายใจและส่ายศีรษะ “ต่อไปในอนาคต ยอดเขาอาทิตย์รุ่งอรุณจะต้องมีชีวิตชีวาเป็นแน่แท้”

 

 

โม่เทียนเกอยิ้มเยาะ “เจ้าคงจะมีความสุขยิ่งนักใช่ไหม”

 

 

เมื่อความคิดของหลัวเฟิงเสวี่ยถูกโม่เทียนเกอเปิดเผย นางจึงหัวเราะออกมา “ยามใดที่เราว่าง เราสามารถนั่งดูพวกเขาเหมือนดูละครได้”

 

 

ถึงกระนั้น เยี่ยจิ่งเหวินส่ายศีรษะอย่างไม่คาดคิด “พวกท่านไม่ควรดีใจเร็วเกินไปนัก ข้าคิดว่าพวกเขาไม่มีทางลงเอยด้วยกันเป็นแน่”

 

 

หลัวเฟิงเสวี่ยหันหน้าไปหาเขา “ทำไมเล่า”

 

 

เยี่ยจิ่งเหวินกล่าว “อาจารย์ลุงไป๋ผู้นี้… แม้เขาจะมีชื่อเสียงไม่ดีนักในแง่อื่น ทว่าเขาเป็นคนไม่ลดละยิ่งนัก ท่านเคยเห็นเขากลับคำพูดของเขาหรือไม่”

 

 

ทั้งโม่เทียนเกอและหลัวเฟิงเสวี่ยใคร่ครวญ ทว่าทั้งคู่พลันส่ายศีรษะปฏิเสธในตอนท้าย

 

 

เยี่ยจิ่งเหวินยิ้ม “อาจารย์ลุงไป๋ผู้นี้ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของเขาเป็นอย่างยิ่ง บัดนี้ การที่เขาปฏิเสธอาจารย์ลุงเจียงเป็นเรื่องยากที่จะเปลี่ยนแปลงได้ และทั้งสำนักต่างรู้กันทั่ว หากเขากลับคำในภายหลัง เขาจะไม่ฉีกหน้าตนเองอย่างนั้นหรือ นอกจากนั้น อาจารย์ลุงเจียงกำลังตามตื๊อเขาเหลือเกิน จนเขาไม่อาจทนนางได้ หากเขายินยอม เขาจะต้องเสียหน้าเป็นแน่ ด้วยเหตุผลเช่นนั้น ข้าคิดว่ายังไม่แน่ชัดว่าสุดท้ายแล้วผู้ใดจะเป็นฝ่ายชนะในเรื่องนี้” เขาหายใจเข้าก่อนที่จะกล่าวต่อไป “ความจริงแล้ว ในบรรดาลูกศิษย์บุรุษเพศทั้งหมด เราหวังว่าอาจารย์ลุงเจียงจะไม่แต่งงานกับอาจารย์ลุงไป๋”

 

 

หลัวเฟิงเสวี่ยถามด้วยความสงสัย “ลูกศิษย์บุรุษเพศอย่างพวกเจ้าพูดถึงศิษย์น้องเจียงว่าอย่างไร แล้วศิษย์น้องไป๋ล่ะ” แม้นางจะดูแลจัดการเรื่องของลูกศิษย์อยู่เสมอ ท้ายที่สุดแล้วบุรุษและสตรีล้วนต่างกัน คำนินทาบางอย่างจึงไม่อาจล่วงเข้าหูลูกศิษย์สตรีเพศได้ นี่เป็นโอกาสอันเหมาะสมที่จะเอ่ยถาม

 

 

เยี่ยจิ่งเหวินกล่าว “อืม… เราล้วนแต่พูดว่าด้วยความที่เขาเป็นลูกศิษย์ของปรมาจารย์เจิ้นหยาง อาจารย์ลุงไป๋จะมองว่าผู้อื่นต่ำต้อยกว่าเสมอ เขาจึงทำให้ผู้อื่นลังเลที่จะเข้าหาเขาเป็นแน่แท้ ส่วนอาจารย์ลุงเจียง เราบางคนคิดว่านางยโสโอหังและทิฐิสูง เราจึงควรอยู่ให้ห่างจากนางไว้ ถึงกระนั้น เราบางคนก็คิดว่านางน่ารักและตรงไปตรงมา แม้นางจะดื้อแพ่ง ทว่าพวกเขาคิดว่านางก็ยังน่ารักอยู่ดี”

 

 

“…” หลัวเฟิงเสวี่ยกล่าวพลางถอนหายใจ “แน่นอนว่าบุรุษและสตรีล้วนแตกต่างกัน” ท่ามกลางลูกศิษย์สตรีเพศ บางคนกล่าวว่าไป๋เยี่ยนเฟยทั้งสง่างามและเสรี แม้ว่าเขาจะหยิ่งผยอง ทว่าความหยิ่งผยองของเขาทำให้เขามีเสน่ห์ยิ่งขึ้น ในทางกลับกัน ความคิดเห็นเกี่ยวกับเจียงหมิ่นแย่กว่าเล็กน้อย พวกนางกล่าวว่านางมีปรมาจารย์หลิงซวีคอยสนับสนุน ฉะนั้นนางจึงดูถูกผู้อื่นอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรี ทั้งสองเพศมักจะอดทนอดกลั้นต่อเพศตรงข้ามของพวกเขาเสมอ

 

 

เยี่ยจิ่งเหวินหัวเราะเบาๆ เขารู้ทันทีว่าหลัวเฟิงเสวี่ยหมายถึงสิ่งใดโดยไม่ต้องถาม เขาหันกลับไปเพื่อมองโดยรอบ พลันถาม “ศิษย์น้องหลัว เจ้ายังไม่ได้เก็บสมุนไพรวิญญาณใช่ไหม”

 

 

“อ้า!” หลัวเฟิงเสวี่ยรีบหันกลับไปเพื่อดูบริเวณที่นางปรากฏตัวออกมา โชคดีที่ยังไม่มีผู้ใดทลายม่านพลังออกมาในละแวกใกล้เคียงระหว่างช่วงเวลาอันสั้นนี้ สมุนไพรวิญญาณของนางจึงยังคงอยู่ที่นั่น “ข้าเกือบลืมเรื่องนี้ไปเลย”

 

 

เยี่ยจิ่งเหวินยังคงเก็บสมุนไพรวิญญาณของเขาไม่เสร็จดี โม่เทียนเกอมองไปรอบๆ และกล่าว “เฟิงเสวี่ย ข้าจะช่วยเจ้าเอง” นางมาถึงที่นี่ หลังจากเก็บสมุนไพรวิญญาณในพื้นที่ของนางแล้ว ฉะนั้น จึงถือว่านางทำภารกิจปัจจุบันเสร็จสิ้น

 

 

หลัวเฟิงเสวี่ยไม่ได้ปฏิเสธการช่วยเหลือ ด้วยมิตรภาพที่พวกนางมี นางไม่จำเป็นต้องกังวลว่าโม่เทียนเกอจะขโมยสิ่งของของนางแต่อย่างใด นางจึงเรียกทันที “แน่นอน รีบมานี่เร็วเข้า”

 

 

เมื่อเยี่ยจิ่งเหวินเก็บสมุนไพรวิญญาณในพื้นที่ของเขาได้ครึ่งหนึ่ง หลัวเฟิงเสวี่ยยังคงไม่เริ่มลงมือ ทว่าเพราะนางและโม่เทียนเกอช่วยเหลือกัน พวกเขาจึงรวดเร็วกว่าเยี่ยจิ่งเหวินอยู่เล็กน้อย ไม่นาน พวกเขาพลันเก็บสมุนไพรวิญญาณทั้งหมดในพื้นที่ของนางจนแล้วเสร็จ

 

 

เมื่อทุกคนล้วนแต่เสร็จสิ้นภารกิจแล้ว พวกเขาเริ่มพุดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่ได้เผชิญภายในม่านพลัง แน่นอนว่าสิ่งที่เยี่ยจิ่งเหวินและหลัวเฟิงเสวี่ยต้องเผชิญเป็นเพียงแค่ม่านพลังห้าวิญญาณที่ง่ายดายและจำแนกกัน โม่เทียนเกอคือผู้เดียวที่ต้องเผชิญกับม่านพลังกลายพันธุ์

 

 

ทั้งเยี่ยจิ่งเหวินและหลัวเฟิงเสวี่ยล้วนแต่ตะลึงงันที่ได้รู้ว่าโม่เทียนเกอต้องเผชิญหน้ากับม่านพลังกลายพันธุ์สี่ธาตุ และเมื่อนางทลายหนีมันออกได้สำเร็จ พวกเขาเพียงแต่อึ้งจนพูดไม่ออกอย่างสิ้นเชิง ครู่ใหญ่ต่อมา หลัวเฟิงเสวี่ยตบบ่าของนาง และกล่าว “เทียนเกอ เจ้าควรรีบสร้างขุมพลังในไม่ช้านี้”

 

 

โม่เทียนเกอสับสน “ทำไมเล่า”

 

 

หลัวเฟิงเสวี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังที่สุด “หากเจ้ายังไม่สร้างขุมพลังของเขา ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานอย่างเราไม่อาจมีชีวิตต่อได้”

 

 

แม้สิ่งที่นางพูดจะฟังดูเกินจริง ทว่านางกำลังยกย่องโม่เทียนเกอ โม่เทียนเกอพลันหัวเราะอย่างช่วยไม่ได้ “ข้าเพียงแค่อาศัยสมบัติที่ข้ามีเท่านั้น” หากไม่มีเสี่ยวหั่วและตุ๊กตาแกะสลักหินสองตนนั้น การทลายม่านพลังคงจะไม่ง่ายดายเช่นนั้นสำหรับนาง

 

 

“พวกเราฝ่าบททดสอบแรกแล้ว เราจะทำอย่างไรกับบททดสอบที่สองดี”

 

 

หลัวเฟิงเสวี่ยมีแผนการอยู่แล้ว “เราเพียงแค่เดินเล่นไปเรื่อยตามที่ต้องการ เมื่อถึงเวลาอันสมควร บททดสอบย่อมเริ่มเอง”

 

 

เยี่ยจิ่งเหวินถาม “หากเราทั้งสามอยู่ในที่เดียวกัน เราจะเข้าสู่ม่านพลังด้วยกันไหม หรือเราจะถูกจับแยกกันเล่า”

 

 

“บางทีเราอาจจะเข้าไปด้วยกัน บางทีเราอาจจะถูกจับแยก” หลัวเฟิงเสวี่ยกล่าวขณะส่ายศีรษะ “อันที่จริง มันดีกว่าหากเราถูกจับแยก ในบททดสอบที่สอง ด่านห้านิวรณ์พลิกสัมผัส เราจะต้องเจอกับภาพมายา มันจะยากลำบากหากเราอยู่ด้วยกัน และส่งผลต่อความคิดของกันและกัน”

 

 

จิตหยั่งรู้ของผู้ฝึกตนสามารถส่งผลกระทบต่อกันและกันได้ โดยเฉพาะเมื่อกลุ่มคนอยู่รวมกัน หากคนใดคนหนึ่งไม่หนักแน่นพอ คนที่เหลือจะได้รับผลกระทบไปด้วย

 

 

“หา” เยี่ยจิ่งเหวินประหลาดใจ “เหตุใดเจ้าสำนักถึงไม่เคยพูดเรื่องนี้มาก่อนล่ะ”

 

 

หลัวเฟิงเสวี่ยกล่าว “ความจริงแล้ว ผลกระทบต่อกันไม่ได้ใหญ่โตนัก และกล่าวโดยทั่วไปแล้ว มันไม่มีภยันตรายถึงแก่ชีวิตแต่อย่างใด” จากนั้นนางพลันกล่าวเตือนอย่างระมัดระวังอีกครา “อย่างไรก็ตาม พวกเจ้าต้องระวังตนให้มาก ตอนท้ายของด่านห้านิวรณ์พลิกสัมผัส จะเชื่อมต่อกับบททดสอบที่สาม ซึ่งก็คือด่านห้าความสับสนรังควานวิญญาณอย่างต่อเนื่อง ในตอนนั้น จะก่อเกิดภาพมายาที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ด่านแรกนั้นจะพุ่งโจมตีจิตหยั่งรู้ของเรา ทั่วไปแล้ว ตราบใดที่เราฝึกสมาธิและยึดมั่นต่อจิตใจที่แท้จริง เราจะสามารถผ่านไปได้ ทว่าในด้านหลัง จะสร้างภาพมายาแท้จริงขึ้นมา และมันยากยิ่งนักที่จะจำแนกความจริงออกจากภาพมายา ในกรณีที่เราอับโชค หากเราไม่สามารถผ่านด่านแรกที่ว่าได้ ก่อนที่ด่านสองจะปรากฏขึ้น เราอาจลงท้ายด้วยการต้องพบกับกำแพงปีศาจ”

 

 

เมื่อได้ยินสิ่งที่หลัวเฟิงเสวี่ยกล่าว โม่เทียนเกอพลันนึกถึงการจลาจลสัตว์อสูรเมื่อหลายปีก่อนอย่างฉับพลัน ในตอนนั้น นางและเว่ยจยาซือก้าวเข้าสู่ม่านพลังมายา ซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยหินจันทราเวทมนตร์ ทุกสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขาเป็นเพียงสิ่งที่พวกเขามองเห็นส่วนตัวเท่านั้น เป็นไปได้ว่าบางทีบททดสอบสุดท้าย ด่านห้าความสับสนรังควานวิญญาณ มันน่าจะมีความคล้ายคลึงกับปีศาจภายในจิตใจที่พวกเราเผชิญหน้าช่วงการทะลวงดินแดน มันจะต้องมีความคิดจำนวนนับไม่ถ้วนจู่โจมจิตหยั่งรู้โดยตรง หากคนผู้นั้นมีจิตตั้งมั่นที่อ่อนแอ พวกเขาจะถูกความคิดเหล่านั้นทำให้สับสน ส่งผลให้พวกเขาเกิดภาพหลอน หรือติดกับอยู่ในภวังค์ความคิดเหล่านั้น

 

 

แน่นอน ในเมื่อนี่เป็นเพียงม่านพลังที่ใช้ทดสอบและฝึกฝนลูกศิษย์ มันจะต้องไม่มีภยันตรายถึงแก่ชีวิตอยู่ภายใน ถึงกระนั้นก็ตาม หากพวกเขาตกหลุมพรางเข้า การได้รับบาดเจ็บย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากสถานการณ์ไม่ดีนัก พวกเขาอาจมีบาดแผลซึ่งยากจะรักษาได้หลงเหลือเอาไว้

 

 

ประมุขเต๋าจิ้งเหอเคยเอ่ยถึงเรื่องพวกนี้กับนาง ก่อนที่นางจะเริ่มภารกิจนี้ และเจ้าสำนักเสิ่นก็เตือนลูกศิษย์ทั้งหลานให้จดจำ “หมื่นปรัชญาแห่งธรรมชาติ” เอาไว้ด้วย ถึงกระนั้น แม้มันจะกล่าวได้ง่าย ทว่าไม่ใช่ทุกคนสามารถบรรลุสิ่งนั้นระหว่างการทดสอบได้

 

 

เยี่ยจิ่งเหวินกล่าวอย่างครุ่นคิด “หากเป็นเช่นนั้น เราน่าจะต้องพบกับปีศาจภายในจิตใจก่อนเวลาอันควร ซึ่งแท้จริงแล้ว เราควรได้เผชิญหน้ากับมันในระหว่างการก่อเกิดแก่นขุมพลังไม่ใช่หรือ”

 

 

“ตามหลักการก็ใช่” หลัวเฟิงเสวี่ยกล่าว “แน่นอน ม่านพลังห้านิวรณ์พลิกสัมผัสน่าจะอ่อนแอกว่าปีศาจภายในจิตใจที่เราต้องเผชิญหน้าระหว่างการก่อเกิดแก่นขุมพลังเล็กน้อย ตั้งแต่ยุคกลางจนถึงบัดนี้ ความสามารถของผู้ฝึกตนได้เสื่อมถอยลงไปยิ่งนัก ทว่าพลังอำนาจของปีศาจภายในจิตใจกลับยังคงเท่าเดิม นั่นคือสาเหตุที่ปีศาจภายในจิตใจจึงน่าหวาดหวั่นสำหรับพวกเราเหล่าผู้ฝึกตน”

 

 

รอยยับย่นเกิดขึ้นบนคิ้วของเยี่ยจิ่งเหวิน “เหตุใดผู้อาวุโสสำนักถึงไม่ชี้แจงเรื่องนี้อย่างละเอียดกับพวกเรา ก่อนที่เราจะเข้าม่านพลังเล่า”

 

 

หลัวเฟิงเสวี่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่เยี่ย ไม่ต้องกังวลไป สำหรับเราผู้ไม่เคยอู้กับการฝึกตน การฝ่าด่านทดสอบเหล่านี้ไม่น่ายากเย็นนัก”

 

 

“โอ้…” เยี่ยจิ่งเหวินพึมพำ “แล้วบททดสอบสุดท้ายล่ะ”

 

 

บัดนี้ในเมื่อพวกเขาพูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของหลัวเฟิงเสวี่ยพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม “บททดสอบสุดท้าย… ข้าจำได้ว่ามีน้อยคนยิ่งนักที่สามารถผ่านมันไปได้ ภาพมายาในบททดสอบช่างเสมือนจริงเกินไป ท่ามกลางผู้คนในสำนักของเรา อาจารย์ลุงจิตวิญญาณใหม่ยังพบว่ามันยากยิ่งนักที่จะผ่านบททดสอบแรกได้ ทว่าศิษย์พี่การก่อเกิดแก่นขุมพลังหลายคนสามารถอดทนยืนหยัดจนถึงบททดสอบที่สามได้ ถึงกระนั้น ท้ายที่สุดแล้ว ไม่มีผู้ใดสามารถฝ่าด่านมันออกมาได้”

 

 

“มันยากเพียงนั้นเชียวหรือ” นอกจากเยี่ยจิ่งเหวินแล้ว แม้แต่โม่เทียนเกอยังมองนางในยามนี้ด้วย “เช่นนั้นบททดสอบสุดท้ายปลอดภัยสำหรับเราหรือไม่”

 

 

หลัวเฟิงเสวี่ยหัวเราะเบาๆ “เทียนเกอ เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าจุดประสงค์ของม่านพลังนี้คือการทดสอบและการฝึกฝนลูกศิษย์ มันไม่มีภยันตรายถึงแก่ชีวิตใดๆ เว้นแต่พวกเราห้ำหั่นกันเสียเอง ม่านพลังนี้ไม่ทำร้ายชีวิตของเรา”

 

 

เมื่อถือกฎสำนักเป็นกฎสูงสุด มันคงจะมีการแตกแยกเล็กน้อยเกิดขึ้นระหว่างลูกศิษย์ทั้งหลาย ทว่าพวกเขาไม่น่าจะไปไกลถึงขั้นห้ำหั่นกันและกันได้

 

 

หลัวเฟิงเสวี่ยกล่าวต่อไป “อาจารย์ลุงซู่ซินของเราเคยเข้าม่านพลังนี้มาก่อน จากคำกล่าวของนา งหากเราป้องกันจิตใจและไม่ใช้จิตสัมผัสของเรา เราสามารถจำแนกจริงเท็จได้ภายในบททดสอบที่สอง ถึงกระนั้น ภาพมายาในบททดสอบสุดท้ายจะคล้ายคลึงกับความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง และการใช้เหตุผลของเจ้าจะค่อยๆ พลันเลือนหายไป มันจะคล้ายกับความฝัน เจ้าอาจคิดว่าสิ่งไม่ชอบมาพากลบางอย่างที่เจ้าเห็นเป็นของจริงเสียด้วยซ้ำ”

 

 

นั่นแปลว่ามันเลวร้ายยิ่งกว่าหินจันทราเวทมนตร์อีกไม่ใช่หรือ โม่เทียนเกออดไม่ได้ที่จะครุ่นคิดว่า จี้ซ่อนวิญญาณของนางจะได้รับผลกระทบขณะเผชิญหน้ากับม่านพลังนี้หรือไม่

 

 

เยี่ยจิ่งเหวินพลันกล่าวถามก่อน “เครื่องรางชำระล้างจิตใจและของอื่นๆ จะช่วยได้หรือไม่”

 

 

“ได้สิ” หลัวเฟิงเสวี่ยกล่าวยืนยัน “ทว่าประสิทธิภาพของมันจะดีแค่ไหน ท้ายที่สุดแล้วยากที่จะบอกได้”

 

 

โม่เทียนเกอพยักหน้า บ่งบอกว่านางเข้าใจ “หรือจะพูดอีกอย่างว่า เราไม่ควรอยู่ใกล้กันและกันนัก ทว่าเราก็ไม่ควรอยู่ไกลกันและกันด้วย” มันคงไม่ดีแน่หากพวกเขาอยู่ใกล้ชิดกันและกันเกินไป เพราะจิตหยั่งรู้ของพวกเขาอาจส่งผลต่อกันและกันได้ ทว่าหากพวกเขาอยู่ห่างไกลจากกันเกินไป พวกเขาก็ไม่อาจช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้

 

 

“อื้อ” หลัวเฟิงเสวี่ยเห็นด้วย “ในเมื่อเราทั้งสามบังเอิญมาพบกัน มันคงจะอภัยให้ไม่ได้หากเราไม่ดูแลซึ่งกันและกัน ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย เราควรจะแยกกันไปต่อจากนี้ เราควรรักษาระยะห่างระหว่างกันเอาไว้ เราต้องไม่สูญเสียร่องรอยของกันและกัน ทว่าเราต้องไม่เข้าใกล้กันและกันเกินไปด้วย”

 

 

ทั้งโม่เทียนเกอและเยี่ยจิ่งเหวินไม่คัดค้าน แม้ระดับการฝึกตนและทักษะการต่อสู้ด้วยพลังเวทของพวกเขาล้วนแต่สูงกว่าหลัวเฟิงเสวี่ย ทว่าความสามารถในการจัดการเรื่องต่างๆ ของพวกเขาไม่อาจเทียบเท่าหลัวเฟิงเสวี่ยได้ ยิ่งไปกว่านั้น นางมีข้อมูลและรู้เรื่องราวภายในจำนวนมาก ฉะนั้น นางน่าจะเข้าใจแจ่มชัดกว่าพวกเขาทั้งสอง ว่าควรทำสิ่งใดต่อไป

 

 

“เอาละ เราอาจล่วงเข้าสู่บททดสอบที่สองได้ทุกเมื่อ เราจึงควรแยกกันได้แล้ว”