ในตอนนี้ เจ๋อซิ่วก็ถือไม้เท้าเดินลงมาจากในอาคาร เขามองทั้งสามคนแล้วพูดขึ้น “ถ้าหากอยากจะรู้ ถามเขาตามตรงก็ได้แล้ว”
ถังซานสือลิ่วส่ายหน้าแล้วพูดขึ้น “ข้าเคยถามไปแล้ว เขาไม่ยอมพูด อีกทั้งดูจากการตอบสนองของเขาในตอนนั้น เกรงว่าต่อให้ตีให้ตายก็จะไม่ยอมพูด”
เซวียนหยวนผ้อปวดหัวขึ้นมาอยู่บ้าง จึงพูดขึ้น “จากที่เจ้าดู ที่เป็นไปได้มากที่สุดคือเกิดอะไรขึ้น”
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “ข้าสงสัยว่าตั้งแต่แรกเขาก็คิดจะยอมให้สวีโหย่วหรงชนะหรือเปล่า ดังนั้นถึงได้ให้ข้าไปลงเดิมพันว่าเขาแพ้ ผลคือคาดไม่ถึงว่าตนจะเผลอเอาชนะไป ดังนั้นการแสดงออกของเขาในตอนนี้ถึงได้ประหลาดเช่นนี้…”
ซูม่ออวี๋ส่ายหน้าแล้วพูดขึ้น “ถึงจะพลาดไปจากที่คำนวณไว้ก่อนหน้านี้ ก็ไม่น่าจะเป็นถึงขนาดนี้”
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “เจ้าไม่เข้าใจ ความหมายของข้าคือ เป็นไปได้อย่างมากว่าเขาจะเอาสมบัติทั้งหมดไปเดิมพันว่า…ตนจะแพ้”
เกิดความเงียบขึ้นมา ผ่านไปครู่หนึ่งเซวียนหยวนผ้อถึงได้เข้าใจ จึงสูดอากาศเย็นเข้าปอด แล้วพูดขึ้น “เช่นนั้นไม่ใช่ว่าเฉินฉางเซิงกำลังแสร้งต่อสู้หรือ”
เจ๋อซิ่วเห็นว่าพวกเขายิ่งพูดก็ยิ่งเหลวไหล จึงส่ายหัวแล้วเดินจากไป ไม่มาสนใจเรื่องนี้อีก
ซูม่ออวี๋พูดขึ้นอย่างจนใจ “จากที่ข้าเห็น เฉินฉางเซิงเพียงแค่ลุ่มหลงในการบำเพ็ญเพียร และไม่สนใจในเรื่องผลแพ้ชนะ พวกเจ้าคิดมากไปแล้ว”
เซวียนหยวนผ้อคิดดู แล้วส่ายหน้าพูดขึ้น “เมื่อครู่ในรถม้าเดี๋ยวเขาก็ยิ้มเดี๋ยวก็ขมวดคิ้วดูแล้วไม่เหมือนเช่นนั้นเลย”
ถังซานสือลิ่วพูดเย้ยหยันขึ้น “แม้แต่หมีควายตัวหนึ่งยังดูออก เช่นนั้นเขาจะต้องมีปัญหาจริงๆ”
ก็เป็นในตอนนี้เอง หน้าต่างบานนั้นที่อยู่บนอาคารก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ไม่เหมือนการเจอศัตรู และก็ไม่ใช่ว่ามีแมลงสาบ แต่เป็นเขาที่กำลังระบายอารมณ์
“ดู…ถ้าหากไม่ใช่ว่าเสียพนันเงินไปมาก ไหนเลยจะเจ็บปวดถึงเพียงนี้ พวกเจ้าเคยเห็นเขามีอารมณ์แปรปรวนถึงเพียงนี้มาก่อนหรือ”
ถังซานสือลิ่วมองหน้าต่างที่ชั้นสามแล้วพูดขึ้นอย่างปลงอนิจจัง
แต่ในนาทีถัดมา เสียงตะโกนที่ดังออกมาจากห้องนั้นก็เปลี่ยนเป็นเสียงฮัมเพลง พอจะฟังออกได้ว่า เป็นเพลงที่ไม่ได้มีชื่อเสียงสักเท่าไหร่
ซูม่ออวี๋มองถังซานสือลิ่วแล้วพูดว่า “เจ้ายังรู้สึกว่าเขาอารมณ์ไม่ดีอยู่หรือ”
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “ข้าเคยพูดไปแล้วว่านี่ไม่ใช่ปัญหาเรื่องอารมณ์ดีหรือไม่ดี แต่เป็นปัญหาเรื่องอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ”
ซูม่ออวี๋ลองคิดดู ก็พบว่าถังซานสือลิ่วพูดมีเหตุผล
ในบรรดาคนที่อยู่ในสำนักฝึกหลวงนี้ ถ้าหากพูดถึงการควบคุมอารมณ์ แน่นอนว่าวั่วฟูเจ๋อซิ่วแข็งแกร่งที่สุด ที่รองลงมาก็เป็นเฉินฉางเซิงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นในชีวิตประจำวัน หรือการต่อสู้บำเพ็ญเพียร เฉินฉางเซิงไม่เคยแสดงออกว่าสูญเสียการควบคุมทางอารมณ์มาก่อนเลย เขาสงบและสุขุมเกินกว่าอายุของเขา กระทั่งทำให้คนรู้สึกว่าเป็นผู้ที่ผ่านโลกมามาก
แต่เฉินฉางเซิงในวันนี้เห็นได้ชัดว่าต่างกันออกไป
“พวกเจ้าเคยได้ยินนิทานเรื่องจิ้นฟั่นผู้สอบผ่านหรือเปล่า” ถังซานสือลิ่วมองไปที่หน้าต่างบนชั้นสาม หรี่ตาแล้วพูดขึ้น “ถ้าหากเมื่อครู่ข้าเดาผิดไป เช่นนั้นก็เป็นไปได้อย่างมากว่าเขาชนะสวีโหย่วหรงได้จึงดีใจอย่างมาก และเสียสติไปจากเรื่องนี้”
ก็เป็นในตอนนี้เอง หน้าต่างที่ชั้นสามบานนั้นก็ถูกเปิดออกอย่างกะทันหัน เฉินฉางเซิงพลันโผล่ศีรษะออกมา แล้วมองลงไปด้านล่าง
พวกถังซานสือลิ่วล้วนตกใจกันทั้งสิ้น และรีบพากันก้มหน้าลง ในปากก็พูดพึมพำอะไรบางอย่าง แสร้งทำเป็นว่ากำลังคุยเล่นกันอยู่ เพื่อกันไม่ให้ถูกเขามองออก
ไหนเลยที่เฉินฉางเซิงจะรู้ว่าผู้คนในสำนักฝึกหลวงกำลังกังวลสภาพจิตใจของเขาอยู่ จึงตะโกนออกมา “ถังถัง เจ้าขึ้นมาช่วยข้าหน่อย”
……
……
“ช่วยอะไร”
“เจ้าช่วยข้าดูหน่อย ว่าสวมชุดไหนถึงจะดูเหมาะสม” เฉินฉางเซิงชี้ไปที่ชุดในตู้เสื้อผ้าเหล่านั้นที่ทั้งสะอาด เป็นระเบียบ และถึงจะผ่านไปหนึ่งปีแต่ก็ยังเหมือนใหม่อยู่ แล้วพูดกับถังซานสือลิ่ว “อืม…ก็ไม่ใช่การพบปะอย่างเป็นทางการ ขอเพียงให้ไม่เสียมารยาทก็พอ”
ถังซานสือลิ่วมองเสื้อสีขาวสิบกว่าตัวที่อยู่ในตู้เหล่านั้น แล้วพูดขึ้นอย่างจนใจ “เจ้าคิดว่าใครจะมองออกว่าระหว่างชุดเหล่านี้มีความแตกต่างกัน”
ก็เหมือนกับที่สวีโหย่วหรงรู้สึกตอนที่เข้ามาในสำนักฝึกหลวง ชุดของเฉินฉางเซิงก็เป็นรูปแบบเช่นนั้นมาโดยตลอด สีขาวเหล่านั้น นอกจากความสะอาดแล้วก็ไม่มีจุดเด่นอะไรอีก
เฉินฉางเซิงคิดว่าก็เป็นเช่นนี้จริง หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดขึ้น “ไม่เช่นนั้นเจ้าก็เอาชุดของเจ้าให้ข้ายืมสักชุด”
“ดวงจันทร์ของเผ่ามารจะย้ายมาที่จิงตูแล้วจริงๆ หรือ”
ราวกับถังซานสือลิ่วได้ยินเรื่องที่ไม่อาจจะจินตนาการได้ จึงจ้องตาของเขาอยู่นาน แล้วพูดขึ้นอย่างไม่อาจจะเข้าใจ “สำหรับคนทั่วไปแล้ว แน่นอนว่างานเลี้ยงของพระราชวังหลีเป็นงานสำคัญ แต่เจ้าในตอนนี้เข้าออกพระราชวังหลีขอแค่ไม่ตามสบายเกินไปก็พอ ไยต้องให้ความสำคัญถึงเพียงนี้”
เฉินฉางเซิงนิ่งอึ้งไป กระทั่งยามนี้ถึงได้นึกออก ที่แท้ตอนหัวค่ำของคืนนี้ทางพระราชวังหลีได้จัดงานเลี้ยงขึ้น…การต่อสู้ที่สะพานหน่ายเหอถูกทั้งโลกจับตามอง เขาที่เป็นเจ้าสำนักของสำนักฝึกหลวง ก็ถูกยอมรับว่าเป็นผู้สืบทอดของใต้เท้าสังฆราช การเอาชนะสวีโหย่วหรงที่เป็นตัวแทนของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่กับพรรคในแดนใต้ แน่นอนว่าจะเลี่ยงงานเลี้ยงนี้ไปไม่ได้
“อีกสักพักข้ามีธุระต้องไปทำ…เจ้ากับซูม่ออวี๋เป็นตัวแทนข้าไปที่พระราชวังหลี อาจจะรบกวนให้เจ้าช่วยข้าอธิบายต่อใต้เท้าสังฆราชสักหน่อย”
ถังซานสือลิ่วตกตะลึงอย่างมาก ในใจคิดว่าเรื่องอะไรที่จะสำคัญยิ่งกว่างานเลี้ยงในคืนนี้ ต้องรู้ว่าเป็นไปได้อย่างมากที่ใต้เท้าสังฆราชจะถือโอกาสในงานเลี้ยงนี้ประกาศเรื่องบางอย่างออกมา
“เจ้าจะไปทำธุระอะไร”
“ข้าไม่สามารถบอกเจ้าได้จริงๆ”
ถังซานสือลิ่วไม่ได้ถามต่ออีก เขาเดินไปที่ข้างหน้าต่าง เอามือทั้งสองข้างไพล่หลังพลางดูทะเลสาบในฤดูหนาวที่มีหิมะตก แล้วพูดขึ้นราวกับไม่ใส่ใจ “ให้รถม้าของสำนักไปรับเจ้าที่ไหน”
พวกเขาทั้งสองคนสนิทกันอย่างมาก เฉินฉางเซิงชัดเจนดีว่าเขาคิดจะทำอะไร และก็รู้ว่าถ้าตนถาม เขาจะต้องพูดว่าคืนนี้อากาศเย็นจะเดินได้ไม่สะดวก…
“ข้าไม่มีทางบอกสถานที่กับเจ้า เจ้าก็อย่าคิดจะแอบตามข้า”
เขามองเงาหลังของถังซานสือลิ่ว แล้วพูดขึ้น “นี่เป็นเรื่องของตัวข้า ให้ตัวข้าไปจัดการเองเถอะ”
ถังซานสือลิ่วไม่ได้หันกลับมา แล้วถามขึ้น “เจ้าแน่ใจว่าเจ้าจัดการได้นะ”
เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “ไม่แน่ใจ แต่ก็หวังว่าจะทำได้”
เมื่อพูดประโยคนี้จบ เขาก็หยิบชุดสีขาวที่เห็นได้บ่อยที่สุดออกมาจากในตู้ขึ้นมาเปลี่ยน มองไปที่แมลงปอไม้ไผ่ที่อยู่บนชั้นหนังสือแวบหนึ่ง แล้วเดินออกจากประตูห้องไป
ถังซานสือลิ่วยืนอยู่ข้างหน้าต่าง มองดูเขาเดินออกจากอาคารหลังเล็ก เดินเข้าไปในป่าข้างทะเลสาบ ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็เห็นเขาข้ามกำแพงสำนักไป แล้วก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย เขาจึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้นมา ในใจคิดว่าระมัดระวังถึงเพียงนี้เชียว การเคลื่อนไหวก็ลึกลับถึงเพียงนี้ สรุปแล้วเจ้าไปทำอะไรกันแน่
เดินผ่านป่าที่หนาวเหน็บ ข้ามผ่านกำแพงสำนักที่เต็มไปด้วยหิมะ กระชับหมวกลง แล้วเดินปะปนเข้าไปในฝูงคน เดินไปทางดวงอาทิตย์ที่เริ่มหม่นแสงไปเพราะเมฆหิมะ เดินไปได้ไม่นาน ก็มาถึงตรอกที่แสนจะธรรมดาสายหนึ่งของเมืองทางตะวันตก ตรอกนั้นสั้นอย่างมาก แต่มีทำเลดีเป็นอย่างมาก ไม่ไกลคือพระราชวังหลี ดังนั้นจึงมีร้านอาหารร้านสุราอยู่เป็นจำนวนมาก
ตรอกนี้ก็คือถนนฝูสุยที่เขียนอยู่ในกระดาษแผ่นเล็ก
เฉินฉางเซิงยืนอยู่ที่ปากทาง ก้มหน้ามองร่างของตน ยืนยันว่าทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ถึงได้ค่อยๆ ผ่อนคลายลงมา
เขาสวมชุดธรรมดาอยู่บนร่าง แต่ว่าเป็นชุดที่ซักจนสะอาดอย่างมาก ก่อนหน้าที่อยู่ในสำนักฝึกหลวง เขาก็ได้อาบน้ำตัวเองจนสะอาดเช่นกัน
บนสะพานหน่ายเหอ ปลายนิ้วของนางทำให้ที่หว่างคิ้วของเขามีเลือดออกมาหยดหนึ่ง ก็เหมือนกับที่ยืนยันหลังจากที่ออกจากสวนโจวเช่นนั้น ในตอนนี้เลือดของเขาไร้กลิ่นไปแล้ว หลังจากอาบน้ำไปสามรอบติด ก็ยิ่งไม่เหมือนกลิ่นอะไรไว้อีก ในตอนนี้บนร่างของเขามีเพียงแค่กลิ่นสบู่ใบไม้สดใหม่จางๆ เท่านั้น
เรือนผมสีดำของเขาถูกรวบเอาไว้แน่น ดูแล้วยังเปียกชื้นอยู่บ้าง เนื่องจากยังไม่แห้งดี เมื่อถูกสายลมอันเหน็บหนาวในตรอกพัดใส่ ที่ด้านนอกสุดก็จับตัวเป็นเกล็ดน้ำแข็งบางๆ แล้ว
ก็เหมือนกับจิตใจของเขาในตอนนี้