บทที่ 949 ความกังวลใจ

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰

บทที่ 949 ความกังวลใจ

เหนือมหาสมุทร

แต่ละสำนักถอยห่างออกไปคนละทิศทาง ก่อนที่แสงจะส่องประกายระยิบระยับ ทำให้ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยสีสัน

ฝั่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ มู่เฉินและคนอื่น ๆ ก็อุทานด้วยความประหลาดใจกับฉากนี้ ภาพน่าตื่นตาของเจ็ดจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนที่เพาะบ่มขุมพลังไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะเห็นได้

พวกเขาดึงสายตากลับ ภาพแสงสีม่วงแผ่ซ่านที่เบื้องหน้า ตรงจุดศูนย์กลางของรัศมีแสงสีม่วงมองเห็นเงาร่างเล็กบางอยู่ในนั้น

แม้ว่ามั่นถัวหลัวจะไม่ได้ตั้งใจปล่อยแรงกดดันที่เกิดขึ้นจากตัวเองออกมา แต่คลื่นหลิงที่เพิ่มขึ้นอย่างน่ากลัวเมื่อนางเข้าสู่สมาธิเพื่อเพาะบ่มก็เปล่งแรงกดดันน่าขนพองสยองเกล้าออกมาจนทำให้จอมยุทธ์อาณาเขตกงเวทสวรรค์ทุกคนหนังหัวชาหนึบ

มิหนำซ้ำยังมีแสงที่คล้ายกันหกสายพล่านบนท้องฟ้าอีกด้วย!

ยิ่งกว่านั้นเมื่อเวลาผ่านไปทุกคนก็สามารถรู้สึกว่าแสงทั้งเจ็ดขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้บริเวณที่แสงพาดผ่านเกิดการบิดเบือน เห็นได้ชัดเจนว่าไม่สามารถต้านทานแรงกดดันนั้นได้

สมาชิกอาณาเขตกงเวทสวรรค์ที่อยู่ไม่ไกลจากมั่นถัวหลัวก็ต้องเริ่มถอยออกไป มิฉะนั้นพวกเขาจะเคลื่อนไหวไม่ได้หากถูกแสงสีม่วงห่อหุ้มเอาไว้

“การฝึกฝนแบบนี้กลืนกินฟ้าดินอย่างแท้จริง…” จิ่วโยวอดถอนหายใจไม่ได้เมื่อมองฉากตระการตาพร้อมกับความคาดหวังวูบไหวในดวงตา

ในมหาพันภพ ถ้าจอมยุทธ์คนใดสามารถก้าวเข้าสู่ระดับจื้อจุนก็นับเป็นผู้เชี่ยวชาญแล้ว ส่วนระดับตี้จื้อจุนถือว่าเป็นราชันแท้จริง ด้วยพลังนี้พวกเขาสามารถเข้าสู่ตำแหน่งสูงของขั้วอำนาจชั้นนำในมหาพันภพได้เลยทีเดียว

นี่เป็นระดับที่ผู้คนนับไม่ถ้วนล้วนปรารถนา แม้แต่จิ่วโยวก็เช่นกัน

“สักวันหนึ่งเจ้าจะไปถึงระดับนั่นแน่” มู่เฉินที่ยืนข้างจิ่วโยวก็ยิ้มบาง

จิ่วโยวยิ้ม จากนั้นเอียงหัวเล็กน้อยมองไปที่มู่เฉินด้วยแววตาแปลกประหลาด ในเวลาสองปีสั้นๆ ที่เขาเข้ามาในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ดูเหมือนเขาจะสูงขึ้นมาหน่อย ย้อนกลับไปตอนที่เขาออกจากสำนักศึกษาเป่ยชาง มู่เฉินยังเป็นชายหนุ่มไม่โตเต็มที่ แต่ตอนนี้ภาพนั้นถูกชะล้างออกไปจากการต่อสู้โหดร้ายที่ผ่านเข้ามาในประสบการณ์ชีวิต

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินเติบโตขึ้นมากในเวลาไม่ถึงสองปี ซึ่งทำให้จิ่วโยวเกิดริ้วอารมณ์แปลกๆ ในใจ ราวกับว่านางได้เห็นการเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปของลูกชายตัวน้อย ที่ครั้งหนึ่งนางต้องปกป้องเขามากกว่าตัวเอง ซึ่งนี่ทำให้นางรู้สึกพึงพอใจ

“มีอะไรเหรอ?” มู่เฉินรับรู้ถึงการจ้องมองของจิ่วโยวก็อึ้งไปพลางยิ้ม

“ตอนนี้ข้าก็คงไม่สามารถเอาชนะเจ้าได้แล้ว”

รอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์โค้งขึ้นบนใบหน้าของจิ่วโยว “นึกย้อนกลับไปตอนที่เราออกจากสำนึกศึกษาเป่ยชาง เจ้ายังเป็นแมลงตัวจ้อยที่ไม่มีอะไรน่าสนใจ ไม่แม้กระทั่งชำระร่างเทห์สวรรค์…”

แต่ตอนนี้ชื่อของเจ้าแมลงน้อยดังก้องไปทั่วภูมิภาคทางเหนือแล้ว จิ่วโยวจะไม่แปลกใจเลยถ้าหลังจากสงครามล่าจบลง หากพวกเขายังอยู่ในภูมิภาคทางเหนือชื่อเสียงของมู่เฉินจะเกินกว่าจอมยุทธ์รุ่นใหม่ ณ ดินแดนแห่งนี้ทุกคนแน่นอน จนถึงจุดที่แม้แต่จอมยุทธ์รุ่นเก่ายังรู้สึกกลัวเขา

“เกือบสองปีแล้วเนอะ…”

มู่เฉินถอนหายใจ ในเวลาสองปีเขาเติบโตขึ้นจากการจอมยุทธ์ที่ไม่ได้ชำระร่างเทห์สวรรค์เข้าสู่ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้า มิหนำซ้ำยังมากจนสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดด้วยการช่วยเหลือของพลังรัศมีจั้นยี่ พัฒนาการดังกล่าวทำให้คนอื่นถอนหายใจด้วยความชื่นชม แต่มู่เฉินไม่ได้พอใจเป็นพิเศษ เนื่องจากเขารู้ว่านี่ยังห่างไกลจากจุดที่เขาต้องการ…

นั่นเพราะย้อนกลับไปในสวนเขียวชอุ่มอบอุ่นที่สำนักศึกษาเป่ยชาง เขาได้ให้คำมั่นกับหญิงสาวคนรักว่าเขาจะกลายเป็นยอดยุทธ์ในมหาพันภพนี้…

ตอนนี้แม้เขาเติบโตขึ้นอย่างชัดเจน แต่ก็ยังห่างไกลจากการเป็น ‘ยอดยุทธ์’ เหล่านั้น

หลังจากได้เห็นพลังของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน เขาก็รู้ดีว่าระดับนั้นน่ากลัวเพียงใด ตระกูลลั่วเสินที่ลั่วหลีอยู่นั้นอันตรายยิ่งกว่าภูมิภาคทางเหนือนี้ไม่รู้กี่ขุม

พลังที่ลั่วเทียนเสินครอบครองก็ทรงพลังยิ่งกว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนที่มีอยู่ที่นี่!

ถ้าเขาต้องการไปที่ตระกูลลั่วเสิน อย่างน้อยเขาจะต้องมีพลังที่ไม่เกรงกลัวลั่วเทียนเสิน นั่นเป็นเพราะเมื่อก้าวไปถึงขั้นนั้น เขาถึงจะสามารถยืนเบื้องหน้าคนรักจอมดื้อปกป้องพายุที่โหมกระหน่ำเข้าใส่นาง…

เพียงแค่จุดนั้นยังอยู่ไกลอีกมาก

มู่เฉินกำหมัดแน่นช้าๆ ความเด็ดเดี่ยวปรากฏบนใบหน้า ความยากลำบากตลอดทางไม่เพียงแต่จะไม่ขัดขวางเส้นทางเป็นหนึ่งของเขา แต่ยังเป็นก้อนหินที่ช่วยฝึกให้จิตใจเขามุ่งมั่นมากขึ้น

แม้เส้นทางของเขาเต็มไปด้วยอันตราย ต้องเดินเฉียดปากเหวนรกไม่รู้กี่ครั้ง แต่เขาเชื่อว่าบางทีคนอื่นอาจมองว่าคำพูดของเขาที่จะกลายเป็นยอดยุทธ์เป็นเรื่องตลก ทว่าตั้งแต่เริ่มต้นคนรักของเขาก็เชื่อมั่นในตัวเขาเสมอ… มากจนกระทั่งตัวเขาเองยังไม่เชื่อมั่นขนาดนี้…ว่าวันหนึ่งเขาจะกลายเป็นยอดยุทธ์แล้วไปปรากฏตัวต่อหน้านาง

ฮา

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นสูดอากาศเย็นเข้าไปลึกดับความวุ่นวายใจให้สงบลง ทว่ารอยยิ้มที่มุมปากเหมือนจะมั่นใจและแน่วแน่ยิ่งกว่าเดิม

ลั่วหลีรอข้านะ

เมื่อจิ่วโยวเห็นการเปลี่ยนแปลงในสายตาของมู่เฉินก็รู้ว่าเขาคืนความมั่นใจให้ตนเองแล้ว นางยิ้มบาง คงมีแต่ลั่วหลีที่สามารถทำให้เกิดระลอกคลื่นในใจเขาได้

“หลังจากสงครามครั้งนี้ ข้าคงต้องไปที่อื่นระยะหนึ่ง” จิ่วโยวยกมือขึ้นปัดผมม้าบนหน้าผาก จากนั้นนางก็พูดหลังจากคิดครู่หนึ่ง

มู่เฉินอึ้งก่อนที่จะถามว่า “จะไปไหนรึ?”

“ข้าเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกแล้วและพัฒนาเป็นวิหคอนธโลกันตร์ ข้าต้องกลับไปที่เผ่าเพื่อดูว่าสามารถจุดชนวนการสืบทอดสายเลือดได้ไหม…” จิ่วโยวมองไปที่มู่เฉินก็ยิ้ม “ถ้าข้าประสบความสำเร็จ พลังจะได้รับการยกระดับเพิ่มพูนอย่างมาก เวลานั้นเจ้าจะถูกข้าทิ้งไว้ข้างหลังอีกแล้วนะ”

มู่เฉินจ้องไปที่ใบหน้ามีเสน่ห์ของจิ่วโยว แม้ว่านางจะยิ้มแต่ด้วยความเข้าใจที่มีต่อตัวนาง เขาสามารถบอกได้ถึงอารมณ์ที่ไม่เป็นธรรมชาติในรอยยิ้มนั่น

ดูเหมือนจะมีความกังวลซ่อนอยู่ลึกๆ

“มีอันตรายอะไรในการจุดชนวนการสืบทอดสายเลือดเหรอ? หรือมีอะไรอื่นอีก?” มู่เฉินถามเบาๆ

จิ่วโยวอึ้งไป นางไม่คิดว่ามู่เฉินจะไวต่อการเปลี่ยนแปลงในอารมณ์ของนาง นางเม้มริมฝีปากส่ายหัวเบาๆ

มู่เฉินมองไปที่จิ่วโยวหัวใจก็สั่นไหวเบาๆ ก่อนจะพูดว่า “เป็นเพราะ…พันธะโลหิตระหว่างเรารึ?”

ถ้าจิ่วโยวต้องการจุดชนวนสายเลือด ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ว่าสายเลือดของนางจะได้รับผลกระทบด้วย ดังนั้นพันธะโลหิตระหว่างนางกับเขาจะถูกสังเกตได้ง่าย ถึงจิ่วโยวจะไม่สนใจ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนในเผ่าของนางจะไม่สนใจ

วิหคอนธโลกันตร์ทรงพลังและอยู่ในอันดับต้นของเทพอสูร หากนางมีวิวัฒนาการอีกครั้งนางจะกลายเป็นมหาเทพอสูร ซึ่งร่างเปรียบเทียบได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนแท้จริงในมหาพันภพ

ด้วยพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมและการเป็นอัจฉริยะที่หายากในเผ่าพันธุ์ของจิ่วโยว คนในเผ่าจะต้องคาดหวังสูงสำหรับตัวนางมาก หากพวกเขารู้ว่านางสร้างพันธะโลหิตกับมนุษย์ที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าเท่านั้น พวกเขาจะต้องคลั่ง ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะคลี่คลายแน่นอน

จิ่วโยวกัดฟันแน่นแล้วส่งยิ้มให้กับมู่เฉินพลางเอ่ยอย่างตั้งมั่นว่า “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ปล่อยให้พวกเขาแตะต้องเจ้าแน่!”

คิ้วของมู่เฉินขมวดแน่น เขารู้อยู่แล้วว่าต้องมีปัญหาบางอย่างเนื่องจากพันธะโลหิตของเขากับจิ่วโยว ซึ่งเรื่องกำลังจะปะทุขึ้นในไม่ช้านี้

“พี่ใหญ่จิ่วโยว ข้าขอบคุณสำหรับการปกป้องของเจ้าตลอดหลายปีที่ผ่านมา… แต่เรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นมาจากข้า ดังนั้นข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าเผชิญหน้าลำพังเด็ดขาด” มู่เฉินสูดลมหายใจเข้าลึก

จิ่วโยวอึ้งไป ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองมู่เฉิน นางเห็นความเด็ดเดี่ยวในสายตาของเขาและใบหน้าอ่อนเยาว์ก็ฉายความมั่นใจในตนเองที่ทำให้จิตใจของผู้อื่นสงบลง

สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ในใจ จิ่วโยวก็อดรู้สึกถึงความพึงพอใจไม่ได้ มู่เฉินในปัจจุบันไม่ได้เป็นเด็กน้อยไร้ประสบการณ์อีกแล้ว บางครั้งนางยังเกิดความมั่นใจมากขึ้นเพราะเขาอีกต่างหาก

ช่วงเวลาสองปีหลังจากที่ออกจากสำนักศึกษาเป่ยชาง หนุ่มน้อยคนนี้ก็เติบโตขึ้นอย่างแท้จริงแล้ว…

จิ่วโยวพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรอีก คิ้วที่มุ่นกันผ่อนคลายมากขึ้น

มู่เฉินยิ้ม จากนั้นเมื่อจิ่วโยวขยับสายตาออกไป สีหน้าเขาถึงได้เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เขารู้ว่าปัญหานี้ลำบากแค่ไหน

แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะกังวล เรื่องสำคัญที่สุดในขณะนี้คือผ่านตรงนี้ไปให้ได้ก่อน ถ้ามั่นถัวหลัวไม่สามารถบรรลุและปล่อยให้ประมุขหมู่ตึกเทวะทำเช่นนั้นได้ อาณาเขตกงเวทสวรรค์ของพวกเขาถูกซัดกระหน่ำอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นพวกเขาก็จะกลายเป็นสุนัขไร้บ้าน

ในการเผชิญหน้ากับเผ่าวิหคโลกันตร์ มั่นถัวหลัวจะกลายเป็นหนึ่งในคนสนับสนุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา แต่ถ้านางไม่สามารถผ่านเรื่องนี้ไปได้ มู่เฉินก็จะไม่มีภูมิหลังให้พูดคุยกับเผ่าวิหคโลกันตร์ ถึงตอนนั้นคงต้องหาวิธีอื่น

ดังนั้นมู่เฉินได้แต่ภาวนาว่ามั่นถัวหลัวจะประสบความสำเร็จในการพัฒนาขุมพลังหลังจากใช้ของเหลวหลิงเสินสมบูรณ์แบบนี่!

สายตาของมู่เฉินทะลุผ่านแสงสีม่วงที่มีร่างเงาเล็กๆ นั่งอยู่ข้างในอย่างเงียบๆ ขณะที่คลื่นหลิงน่าสะพรึงกลัวส่งเสียงครางกระหึ่มออกมาจากร่างนาง

“มั่นถัวหลัว… เจ้าต้องทำให้สำเร็จนะ…”