[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื่อน] ตอนที่ 17 ทองหัววัว

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

โต้วเยี่ยนซานตายแล้ว เขาก็เหมือนกับคนทั่วไป อย่างไรสักวันหนึ่งก็ต้องตาย หลังจากตายแล้วก็มีแมลงวันมาตอมมากมาย ไม่รู้ว่าแมลงพวกนี้ใช้ชีวิตเช่นไร ตรงไหนมีคาวเลือดก็จะต้องมีพวกมัน

 

 

แคว้นหนานจ้าวสภาพอากาศร้อนชื้น ในเวลาเพียงวันเดียวศพก็เต็มไปด้วยแมลงและหนอน ไม่ถึงสามวันเลือดและเนื้อของศพก็จะถูกแมลงพวกนั้นกัดกินจนหมด จะเหลือแต่เพียงกระดูกที่จะถูกลมและฝนพัดพาไป และสุดท้ายก็กลับคืนสู่ดิน

 

 

โต้วเยี่ยนซานตายแล้ว อวิ๋นเยี่ยเห็นว่าตัวเองกลับไม่ได้รู้สึกดีใจ ภายในใจมีเพียงความรู้สึกว่างเปล่า แมลงวันพวกนั้นไล่อย่างไรก็ไล่ไม่ไป บินตอมอยู่ตามใบหน้าของเขาแล้วยังวางไข่ลงตรงบาดแผล เอาไม้ไผ่ไล่ตีตายไปหลายตัว แล้วยังตีโดนผิวหนังของโต้วเยี่ยนซานจนเละ อวิ๋นเยี่ยไม่สนใจเพราะอย่างไรก็ตายไปแล้ว สำหรับคนรักสะอาดอย่างอวิ๋นเยี่ยแล้ว ถึงผิวหนังของโต้วเยี่ยนซานจะโดนตีจนเละ ก็ยังดีกว่าให้แมลงวันมาวางไข่บนตัวของเขา

 

 

อวิ๋นเยี่ยใช้ดาบของโต้วเยี่ยนซานขุดหลุม นี่เป็นดาบล้ำค่า บนดาบยังมีลายของดอกเบญจมาศ ดาบล้ำค่าเช่นนี้ไม่มีใครนำมันมาใช้ขุดหลุม มันจะถูกทาด้วยน้ำมันแล้ววางไว้บนชั้นวางอย่างดี ไม่มีอะไรทำก็จะเอาผ้าไหมนุ่มๆ มาเช็ดที่คมดาบ จนถึงตอนที่มันจะต้องเปื้อนเลือด

 

 

ดาบเล่มนี้ขุดดินได้ไม่ดีเท่าพลั่ว นี่เป็นความรู้สึกของอวิ๋นเยี่ย แต่เพื่อไม่ให้แมลงวันมาไข่บนตัวของโต้วเยี่ยนซานมากกว่านี้ อวิ๋นเยี่ยจึงพยายามขุดอย่างสุดแรง

 

 

โต้วเยี่ยนซานรูปร่างสูงใหญ่ สมกับมาตรฐานชายจีน ความสูงหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตรทำเอาอวิ๋นเยี่ยต้องขุดหลุมยาวสองเมตรเพื่อฝังร่างของเขา ตัวสูงก็ใช่ว่าจะเป็นผลดี เปลืองเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม กินก็มากกว่าคนอื่นเขา และที่มากกว่านั้นก็คือแม้กระทั่งหลุมศพยังเปลืองพื้นที่มากกว่าคนอื่น ไล่แมลงวันไปให้หมดแล้วลากขาของโต้วเยี่ยนซาน เอาเขามาไว้ที่ข้างหลุม แม้ตอนที่ลงมาจากแท่นหัวจะไปกระแทกกับก้อนหินจนเกิดเสียง แต่โต้วเยี่ยนซานก็ไม่ได้มีท่าทีต่อต้าน มุมปากยังคงยิ้มอยู่เหมือนเดิม

 

 

ไม่มีอะไรจะพูดกับเขาแล้ว ที่ควรพูดก็พูดไปหมดแล้ว กลอนของเจิ้งป่านเฉียว[1]ก็ท่องให้เขาฟังแล้ว ดูสิ เขาเป็นคนในราชวงศ์ถังที่ช่างมีความสุข

 

 

เอาเสื่อที่ทำจากไม้ไผ่มาห่มร่างของโต้วเยี่ยนซานแทนโลงศพ คิดว่าคนที่รักความสง่างามอย่างโต้วเยี่ยนซานคงต้องชอบแน่ๆ เหมือนกับที่ในหนังสือบอกไว้ว่า ยอมให้มื้ออาหารไม่มีเนื้อ แต่จะไม่ยอมให้ที่อยู่อาศัยไม่มีต้นไผ่ จัดแบบนี้ดูสง่างามเป็นอย่างมาก คนทั่วไปไม่ได้รับการดูแลเช่นนี้

 

 

ดินที่ขุดออกมาเยอะเกินไป ทำให้หลุมฝังศพมีขนาดสูงมาก ขอเพียงแค่ฝนไม่ตกเหมือนวันที่ผ่านมา หลุมศพนี้ก็คงจะรักษาให้คงอยู่ได้อีกนาน ข้างๆ มีแอ่งน้ำอยู่ อวิ๋นเยี่ยใช้ไม้ไผ่ดันร่างครึ่งตัวของพ่อบ้านลงไป กลิ่นอวัยวะข้างในของมนุษย์นั้นเป็นกลิ่นที่เหม็นมากแม้แต่หมูก็เทียบไม่ติด อวิ๋นเยี่ยยังไม่อยากอาบน้ำอีกรอบในฤดูฝนแบบนี้ เอาขาและก้นของเขาที่อยู่ในปากของจระเข้ดันลงไปด้วย ยืนอยู่ข้างหลุมศพนับดูชิ้นส่วนพบว่าขาดขาไปอีกข้าง เพื่อเป็นการเคารพผู้ตาย ในเมื่อทำได้ก็ควรจะช่วยเขาสักครั้ง อวิ๋นเยี่ยตัดสินใจผ่าท้องของจระเข้เพื่อเอาขาอีกข้างออกมา

 

 

หากเป็นเมื่อก่อน อวิ๋นเยี่ยไม่มีทางทิ้งหนังและเนื้อของจระเข้ หนังของจระเข้เอาใช้เป็นวัสดุทำกระเป๋า ส่วนเนื้อของจระเข้เอามาทำเป็นยารักษาอาการไอ ตอนนี้เขาถือมีดผ่าไปตามรอยแผล อวัยวะภายในก็ถูกดันออกมา หลังจากที่เอาขาออกมาอย่างทุลักทุเลแล้ว อวิ๋นเยี่ยก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นองค์หญิงทั่นเกอ ถึงแม้จะเหลือแค่เพียงกระดูก แต่ว่าฟันกระต่ายสีเหลืองที่ทำให้คนเห็นรู้สึกยิ้มได้ นอกจากนางก็ไม่มีใครที่มีฟันยาวครึ่งนิ้วจนแทบจะเหมือนฟันสัตว์อีกแล้ว

 

 

อวิ๋นเยี่ยไม่สนใจขาของพ่อบ้าน หากหอบเอากระดูกมาไว้ที่ข้างแม่น้ำแทน ใช้น้ำล้างอย่างสะอาด ปกติก็ขี้เหร่อยู่แล้ว หากเปื้อนไปมากกว่านี้ก็ดูไม่ได้แล้ว

 

 

เป็นจระเข้ที่เอาองค์หญิงทั่นเกอมา หรือว่าเป็นองค์หญิงทั่นเกอที่เอาจระเข้มากันแน่ อวิ๋นเยี่ยไม่อยากสืบสาวเรื่องนี้ ทั่นเกอสู้โต้วเยี่ยนซานไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่เอาฝังไว้ด้วยกัน คนอย่างโต้วเยี่ยนซานพร้อมกับวีรบุรุษผู้กล้าหนึ่งแสนคนที่เตรียมไปปราบยมบาล ไม่ใช่เรื่องที่คนบอบบางอย่างองค์หญิงทั่นเกอจะไปยุ่ง

 

 

พออวิ๋นเยี่ยฝังหลุมศพให้พ่อบ้านแล้ว ก็ไปหาท่อนซุงมาสองท่อน เหลาจนเป็นแผ่นเห็นเนื้อไม้สีขาวแล้วใช้ดาบสลักชื่อลงบนแผ่นไม้เอามาปักไว้หน้าหลุมศพทั้งสอง งานฝังหลุมศพเป็นอันเสร็จเรียบร้อย เพียงแต่รู้สึกว่าขาดอะไรไปบางอย่าง หลุมศพของตระกูลอวิ๋นมักจะมีของเซ่นไหว้ ถึงแม้ว่ามักจะถูกอวิ๋นเยี่ยขโมยกิน แต่ก็ยังคงมีวางอยู่ตลอดเวลาไม่ขาด หลุมศพสองหลุมนี้อนาถาไปหน่อย ไม่มีอะไรเลยสักอย่าง ไม่อยากจะเอาก้อนหินมาวางหลอกผี แม้แต่ศพขององค์หญิงทั่นเกอก็อยู่ที่นี่ พื้นที่ของแคว้นหนานจ้าวตรงนี้จึงกลายเป็นพื้นที่ไม่ค่อยจะเป็นมงคลเท่าไหร่

 

 

เก็บก้อนหินขึ้นมา โยนขึ้นไปใส่ลิงที่ยืนมองอยู่บนหน้าผา ไม่ได้การแล้ว ลิงฝูงใหญ่ใช้ผลไม้ป่าในมือโยนจู่โจมลงมาเยอะมากอย่างกับเม็ดฝน คราวที่แล้วพวกมันก็ทำแบบนี้กับจระเข้ยักษ์

 

 

ไม่รู้ว่ามะพร้าวพวกนั้นกินได้หรือไม่ ลิงกินได้ ถ้าเช่นนั้นคนก็คงไม่เป็นไร ถ้าดูจากยีนส์แล้วคนกับลิงก็ไม่ได้มีความแตกต่างมากนัก

 

 

ผลไม้ป่าสีเขียวถูกวางไว้หน้าหลุมศพทำให้ดูมีสีสันขึ้นมาทันที อวิ๋นเยี่ยนอนอยู่บนพื้นทรายอย่างเหน็ดเหนื่อย ปากก็กัดผลไม้ป่าไปหนึ่งคำจนได้รสความเปรี้ยวจึงดึงสติเขากลับมา ได้พบว่าที่จริงแล้วตัวเองนั้นยังอิ่มอยู่แต่กลับมาทำเรื่องไร้สาระเช่นนี้

 

 

มือข้างหนึ่งชูดาบขึ้น อีกข้างหนีบกะโหลกขององค์หญิงทั่นเกอไว้ข้างตัว กระโดดลุยน้ำสองสามก้าวมาขึ้นฝั่งตรงข้าม รู้สึกไม่ปกติ วันนี้รู้สึกว่าตัวเองแปลกๆ ไป เหมือนกับลืมเรื่องอะไรไปบางอย่าง

 

 

เพื่อตรวจสอบดูว่าตัวเองผิดแปลกตรงไหน อวิ๋นเยี่ยตัดสินใจย้อนกลับไปเดินข้ามแม่น้ำกลับมาใหม่ แต่เพียงแค่หันหลังไปก็รู้แล้วว่าอะไรที่ผิดปกติ

 

 

ไม่เห็นทะเลสาบลึกแล้ว มีเพียงแค่น้ำตื้นๆ ที่กำลังไหลย้อนกลับ มิน่าล่ะถึงมีความรู้สึกว่าไม่ได้ยินเสียงของน้ำตกแล้ว คนอย่างอวิ๋นเยี่ยที่แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเชื่อเรื่องเทพเทวดา แทบจะคุกเข่าลงกับพื้นขอขมาอภัยที่ตัวเองเคยไม่เคารพต่อเทพเทวดา

 

 

ต่อมานึกขึ้นได้ว่าตอนที่ตัวเองลอยคออยู่ในแม่น้ำได้เห็นถ้ำแห่งหนึ่ง เขาจึงรีบลุกขึ้นจากที่กำลังจะคุกเข่า ไม่น่ามีอะไรหรอก เพียงแต่ว่าแม่น้ำแห่งนี้กำลังจะกลายเป็นพื้นที่ใต้ดิน

 

 

เมื่อกี้กำลังกังวลว่าตัวเองจะออกไปได้อย่างไร ตอนนี้ไม่ต้องคิดแล้ว เดินตามทางแม่น้ำไปข้างหน้าก็พอแล้ว ไม่แน่อาจจะได้กลับไปที่ประเทศของทั่นเกอ ชวีจั๋วยังอยู่ที่นั่น บ้านของทั่นเกอตอนนี้ต้องกลายเป็นเมืองขึ้นของต้าถังแล้วแน่ๆ

 

 

วั่งไฉเห็นอวิ๋นเยี่ยกลับมาก็รีบวิ่งเข้ามาหาอย่างดีใจ อวิ๋นเยี่ยกอดที่หัวของมันแล้วลูบหัวเบาๆ เพื่อปลอบประโลมมันเล็กน้อย

 

 

วันนี้ออกไปไม่ได้แล้ว เตรียมตัวไว้ให้ดีเพื่อพรุ่งนี้จะได้เริ่มเดินทางออกจากที่นี่ เดินทางตอนกลางคืนอาจจะเป็นอันตราย หากไม่อยากกลายเป็นอาหารของสัตว์กินเนื้อ ทางที่ดีในตอนกลางคืนควรหาสถานที่ปลอดภัยเพื่อซ่อนตัวไว้

 

 

ผูกเส้นไหมไว้เรียบร้อย ทำอาหารกินนิดหน่อย ในยามพักผ่อนก็เอาเล็บของจระเข้มาสางขนให้วั่งไฉ ใช้ท่อนซุงไม้การบูรมาทำเป็นหมอนเตรียมตัวนอน หันไปเห็นหัวกะโหลกขององค์หญิงทั่นเกอกำลังยิ้มให้ตัวเองก็รู้สึกไม่ดีจึงโยนผ้าไปคลุมปิดหน้าของนางไว้จนมิด

 

 

ลิงโง่พวกนั้นเริ่มร้องขึ้นมาอีกแล้ว น้ำเสียงเต็มไปด้วยความสุข พวกมันกำลังทารุณกรรมศพ ศพของจระเข้ยักษ์ตัวนั้นพอถึงพรุ่งนี้ตอนเช้าก็จะหายไป เพราะบางทีลิงก็กินเนื้อ…

 

 

เสียงอึกทึกครึกโครมดังอยู่นาน หลังจากนั้นก็ไม่มีเสียงแล้ว ราวกับว่าเข้าสู่ความฝันไปแล้ว

 

 

ในความฝันสามารถโบยบินในอากาศไปได้ไกล ที่นั่นอวิ๋นเยี่ยเป็นคนที่ทำได้ทุกอย่าง เดี๋ยวก็เห็นความเจริญของสังคมยุคปัจจุบัน เดี๋ยวก็เห็นความงดงามของเพลงเต้นรำในหอเอี้ยนไหลโหลว เดี๋ยวก็เห็นรอยยิ้มของน่ารื่อมู่ เดี่ยวก็เห็นซินเย่วกำลังขมวดคิ้ว เดี๋ยวก็เห็นสาวน้อยท่าทางเขินอายที่มีใบหน้าไม่ชัดเจน เดี๋ยวก็เห็นตึกสูงใหญ่ เดี๋ยวก็เห็นสิ่งก่อสร้างในราชวังในขณะที่พระอาทิตย์กำลังขึ้น ภาพวูบไหวตลอดเวลา…

 

 

ความเหงาเป็นบทลงโทษอย่างหนึ่ง เพื่อแสวงหาความสบายใจ อวิ๋นเยี่ยวิ่งอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยระหว่างความฝันกับความเป็นจริง

 

 

ปัจจุบันและอนาคตยังคงกลับไปกลับมา เมื่อฟ้าสว่าง อวิ๋นเยี่ยรู้สึกเหนื่อยมาก พักผ่อนมาทั้งคืน นอกจากจะไม่มีพลังขึ้นมาแล้วยังเสียพลังงานไปอีกต่างหาก

 

 

วั่งไฉหูตั้งไม่รู้จะบอกอวิ๋นเยี่ยอย่างไรว่าเมื่อคืนอวิ๋นเยี่ยใช้เท้าถีบมันทั้งคืน

 

 

ได้เวลาไปแล้ว เก็บข้าวของเรียบร้อย อวิ๋นเยี่ยหันไปมองถ้ำที่ให้ตัวเองได้พักอยู่ชั่วคราว พนมมือขึ้นสองข้าง ทำความเคารพบรรพบุรุษที่เคยอยู่ที่แห่งนี้ จากนั้นก็จูงวั่งไฉตามหาทางออก

 

 

ไม้ไผ่สีเขียวที่ถูกปักอยู่บนหลุมศพโต้วเยี่ยนซานยังคงเป็นสีเขียวสด โอนเอนไปมาท่ามกลางสายฝน เหมือนกับว่ากำลังบอกลาอวิ๋นเยี่ย อวิ๋นเยี่ยโบกมือให้หลุมศพโต้วเยี่ยนซาน อวิ๋นเยี่ยจะจดจำพื้นที่แห่งนี้ หากเป็นไปได้ หวังว่าคนตระกูลโต้วจะมาที่นี่เพื่อเก็บเอากระดูกของเขาไป

 

 

“วีรสตรีชุดคราม อยู่บนท้องฟ้าอันสดใส โปรยดอกกล้วยไม้ลงมาให้คนหลงรัก…”

 

 

ชอบทำนองเพลง ‘ซิ่นเทียนโหยว’ เป็นที่สุด โดยเฉพาะในยามที่ฟ้ามืดครึ้ม ท่อนที่มีเสียงสูงของเพลง ‘ซิ่นเทียนโหยว’ สูงจนแทบจะทะลุท้องฟ้า อีกทั้งยังมีผู้ชมที่อบอุ่นอยู่ริมฝั่งหน้าผาทั้งสองข้างยืนดูอยู่ราวกับอวิ๋นเยี่ยเป็นดั่งชายรูปงามที่มีชื่อว่าพานอัน

 

 

อวิ๋นเยี่ยยกสองมือขึ้นคำนับ ขอบคุณความเป็นกันเองของผู้ชมทั้งหลาย เพื่อตอบแทนที่พวกเขาทิ้งก้อนหินลงมาให้สองก้อน อวิ๋นเยี่ยได้เริ่มร้องเพลงร็อคแอนด์โรล

 

 

“หนึ่ง สอง สาม สี่ เคยได้ยินมาก่อน แต่ไม่เคยเห็น…”

 

 

ร้องเพลงร็อค ท่องกลอน ได้รับผลไม้ แบกกระเป๋า ทำให้อวิ๋นเยี่ยเดินอย่างมีความสุขมาตลอดยี่สิบลี้ เมื่อครู่ก็เพิ่งจะหยุดเดิน เป็นเพราะว่าได้เห็นความมหัศจรรย์ของโลกใบนี้

 

 

เมื่อคลื่นน้ำไหลมาถึงตรงนี้ ก็ถูกปากดูดเข้าไปไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว ปากใหญ่นั้นมีแนวโน้มที่จะขยายออกอีกเรื่อยๆ หากยังเดินต่อไปข้างหน้า ก็มีโอกาสที่จะยุบลงไปด้วยเช่นกัน

 

 

จากที่อยู่กลางลำธารเขาจึงเดินเข้ามาหาฝั่ง ได้ยินเสียงน้ำตกซึ่งข้างหน้าเป็นหน้าผาลึกจนมองไม่เห็นพื้น เมืองกวนจงมีตำนานเล่าขานว่า มังกรแห่งแม่น้ำจิงเหอได้ดื่มแม่น้ำทั้งสามสายจนแห้ง หรือว่าที่นี่มีมังกรกำลังดื่มน้ำ?

 

 

นึกอยากเล่นสนุก จึงได้ปลดผ้าคาดเอวออก ฉี่ลงแม่น้ำอย่างสบายใจ พร้อมกับบอกแม่น้ำว่า ‘ข้าจะเพิ่มพลังให้กับแม่น้ำ’ พื้นเริ่มสั่นสะเทือนทันที มีรอยแยกของแผ่นดินมาจากไกลๆ ดีที่ข้ามมาได้ทัน อวิ๋นเยี่ยใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่มรีบดึงวั่งไฉที่กลัวจนฉี่ราด ไม่กล้าหันกลับไปมองข้างหลัง เพียงแค่ฟังเสียงสนั่นหวั่นไหวของพื้นดิน เสียงแปลกประหลาดต่างๆ ดังอยู่ในหัว แต่ต้องร้องด้วยความตกใจเมื่อเดินสะดุด ลื่นล้มลงไปอยู่กับพื้น

 

 

หลับตารอความตาย ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ จึงได้ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ไม่มีราชามังกร พื้นที่ข้างหลังเกือบสิบเมตร ตอนนี้มองไม่เห็นแล้ว กลายเป็นหลุมดำขนาดใหญ่

 

 

ใจเต้นแรงจนเกือบทะลุออกมาเลยทีเดียว ไม่รู้ว่าคำพูดของเฉาเชา[2]ในเกมส์แหกค่ายจะแม่นหรือไม่ เพียงแค่ตัวเองลบหลู่เพียงนิดเดียวก็ทำให้เกิดภัยพิบัติขึ้นทันที

 

 

เตะไปที่ก้อนหินที่ทำให้ตัวเองสะดุดล้มด้วยความโกรธ ก้อนหินไม่ขยับด้วยซ้ำไป อวิ๋นเยี่ยนั่งลง ค่อยๆ เช็ดโคลนออกอย่างระมัดระวัง จึงได้รู้ว่านี่คือสิ่งที่มีค่าที่สุดบนโลกนี้ แต่ว่าเป็นทองคำธรรมชาติที่ไร้ประโยชน์ที่สุด นี่คือทองหัววัวที่แท้จริง

 

 

 

 

——

 

 

[1] เจิ้งป่านเฉียว จิตรกรและนักกวีผู้มีชื่อเสียงในสมัยราชวงศ์ชิงของจีน

 

 

[2] เฉาเชา หรือ โจโฉ เป็นหนึ่งในตัวละครจากวรรณกรรมอิงประวัติศาสตร์จีนเรื่องสามก๊ก