ตอนที่ 855 สองสามีภรรยาออกจากวังหลวง / ตอนที่ 856 บิดามารดาบุญธรรมซูเซียงได้รับพระราชทานแต่งตั้ง

เพราะรักสลักใจ

ตอนที่ 855 สองสามีภรรยาออกจากวังหลวง

 

 

พระพันปีตรัสถึงตรงนี้ก็มิได้เอ่ยอะไรต่อ นางเองก็รู้สึกละอายใจ แต่ยังทำอันใดได้?

 

 

หากนางตีจักพรรดิให้ตายเสียเรื่องราวก็คงพอแก้ไขได้ นางสามารถอัดลูกทรพีผู้นั้นให้ตายโดยไม่กะพริบตาได้จริงๆ

 

 

จ้าวเซิงรับราชโองการอย่างสงบเสงี่ยมแล้วโขกศีรษะคำนับให้พระพันปี รีบเร่งกลับไปยังห้องนอนของซูเซียง

 

 

 “เสด็จย่ารับอำนาจทางทหารคืน ลดขั้นบรรดาศักดิ์ของข้าแล้ว ที่รัก เรากลับบ้านได้แล้ว” จ้าวเซิงจูงมือซูเซียงเอ่ยเสียงแผ่ว ในน้ำเสียงยังเจือด้วยความวิงวอนหนึ่งส่วน

 

 

แท้จริงสิบกว่าวันมานี้เขาคิดอยากพาซูเซียงออกไปนานแล้ว แต่หนึ่งเพราะร่างกายซูเซียงยังรับการสั่นโคลงไม่ไหว สองเพราะยังอยากเรียกร้องความยุติธรรมให้ซูเซียงและลูก

 

 

ตอนนี้จะยุติธรรมหรือไม่ยุติธรรมเขาก็ไม่อยากนึกถึงอีกแล้ว ร่างกายของซูเซียงแม้ยังแบกรับความเหนื่อยล้าสั่นโคลงเป็นเวลานานไม่ไหว แต่ระวังใส่ใจให้มากขึ้นหน่อย ดีกว่าให้ภรรยาทุกข์ใจอยู่ในวังหลวง ร่างกายยิ่งหายยาก

 

 

ซูเซียงมองเขาอยู่สักพัก เห็นบนหน้าเขาเต็มเปี่ยมด้วยความจริงใจ อยากลับไปใช้ชีวิตอย่างสงบที่ชนบทกับตนจริงๆ ในที่สุดก็พยักหน้า หยดน้ำตาใสกลิ้งออกจากขอบตา

 

 

น้ำตาหยดหนึ่งพาให้ขั้วหัวใจของจ้าวเซิงเจ็บปวด เขาแอบปฏิญาณไว้ในใจ ต่อไปนี้จะไม่ยอมให้ซูเซียงได้รับความไม่เป็นธรรมอีก เรื่องราวในครั้งนี้เขาจะใช้ทั้งชีวิตมาชดเชย

 

 

เห็นซูเซียงตกลงแล้ว จ้าวเซิงปลอบอีกสักพักแล้วค่อยให้คนนำรถม้ามายังสถานที่นัดหมาย สุดท้ายคลุมผ้าห่มให้ซูเซียงทั้งตัวอุ้มไว้ในอ้อมแขนแล้วสาวเท้าออกไป

 

 

จักรพรรดิแม้ถูกกักบริเวณแล้ว แต่เพลิงโทสะในใจยังท่วมท้นแทบเผาทั้งวังหลวงได้ ร้องตะโกนโวยววายอยู่ในห้องบรรทม ขอเพียงเป็นของที่ทุบได้ โยนได้ ฉีกได้ ทั้งหมดล้วนถูกเขาฟาดผัวะผะจนหมดเกลี้ยง

 

 

 “กาลกิณี! กาลกิณี! หญิงชั่วนั่นมันเป็นกาลกิณี! เจิ้นต้องฆ่านาง ฆ่านาง!”

 

 

จักรพรรดิโมโหกระหืดกระหอบ เขาคิดว่าซูเซียงต้องเป็นกาลกิณีบ้านเมืองอย่างแน่แท้ เป็นปีศาจจิ้งจอกสิงร่าง เป็นเพียงพอนบๅลกลับชาติมาเกิด มิเช่นนั้นเรื่องที่เขาผู้เป็นจักรพรรดิสูงศักดิ์แห่งแคว้นยังทำไม่ได้ นางซึ่งเป็นเพียงสตรีคนหนึ่งสามารถรักษาความสงบมั่นคงของมณฑลหนึ่งได้อย่างไร? แม้กระทั่งเกิดโรคระบาด ที่นั่นยังเป็นสถานที่ที่คนตายน้อยที่สุด ถ้ามิใช่ปีศาจใช้กลอุบายที่คนมองไม่เห็นอะไรล่ะก็ จะจัดการได้อย่างไร?

 

 

อีกอย่างถ้านางไม่ใช่ปีศาจกาลกิณี เสด็จแม่จะแตกหักกับตนได้อย่างไร ยังมีคนมากมายคอยปกป้องอีก?! หญิงแพศยาคนนั้น ยังมีเด็กเวรที่ตายตั้งแต่ยังไม่เกิดนั่นอีก ทั้งหมดล้วนเป็นปีศาจทั้งสิ้น!

 

 

 “ปีศาจจิ้งจอก! ปีศาจชั่วร้าย! เจิ้นจะฆ่านาง พวกเจ้าทุกคนอย่ามาขวางเจิ้น เจิ้นจะฆ่านาง!” จักรพรรดิดึงกระบี่อาญาสิทธิ์หลงหยิน(มังกรขับขาน)ของเขาออก ราวกับมารบันดล ท่าทางโหดเ**้ยมทำท่าจะพุ่งออกไปนอกพระตำหนัก

 

 

เหล่านางกำนัลขันทีหวาดกลัวพากันคุกเข่าลงกับพื้น กอดขาขององค์จักรพรรดิไม่ยอมปล่อย

 

 

ไท่โฮ่วเหนียงเนี่ยงมีราชโองการลงมาแล้ว หากปล่อยให้จักรพรรดิออกไปจากตำหนักบรรทมแม้แต่ครึ่งก้าว เช่นนั้นพวกเขาทั้งหมดจะถูกโบย อีกทั้งใครบ้างไม่รู้ว่าบัดนี้องค์จักรพรรดิถูกมารสิงไปแล้ว

 

 

จักรพรรดิไหนเลยจะรับฟังคำเตือนของคนข้างๆ อย่าว่าแต่ขันทีนางกำนัลเลย แม้กระทั่งราชเลขาผู้ตรวจการเขาก็ยังฟาดล้มไปหลายคน เลือดสดนองพื้น กระทั่งบนพระแท่นมังกรยังสาดกระจายด้วยคราบเลือดด่างดวง

 

 

ทางด้านพระพันปี ลำพังได้ยินว่าหลังจ้าวเซิงรับราชโองการของนางก็อุ้มซูเซียงออกจากวังทันที ในพระทัยก็โทมนัสมากแล้ว คิดไม่ถึงกลับมีคนเข้ามารายงานอีกว่าจักรพรรดิสังหารราชเลขา

 

 

อีกทั้งทางรัชทายาทก็ไม่สงบ ได้ข่าวรัชทายาทด่าทอซูเซียงยกใหญ่อยู่ในวังบูรพา ซ้ำยังพูดจาใหญ่โตว่าตนน่าจะจัดการหญิงชั่วช้าคนนี้ทิ้งเสียตั้งแต่แรก พูดไปพูดมาล้วนกล่าวโทษซูเซียง เป็นเพราะหญิงแพศยาคนนี้ราชสำนักจึงวุ่นวายโกลาหล

 

 

หลังพระพันปีสดับแล้ว ก็เลี่ยงมิได้ที่จะกระอักเลือดสดคำหนึ่งออกมาอีกครั้ง พระพักตร์ซีดเผือด

 

 

หากบอกว่าเพราะเรื่องที่อี้เมิ่งกุ้ยเฟยวางยาจักรพรรดิสมองของพระองค์จึงไม่แจ่มใสแล้ว แต่หลานชายคนนี้ของนางน่าจะสติดีอยู่สิ บัดนี้เหตุใดถึงได้…

 

 

พระพันปีไม่มีทางเลือกอย่างแท้จริง จำต้องเพียงหยิบตรามังกรของจักรพรรดิองค์ก่อนออกมาลงราชโองการให้กักบริเวณรัชทายาทในตำหนักบูรพาเช่นเดียวกัน และยังไล่นางกำนัลและขันทีอออกไปกว่าครึ่ง นอกจากคนที่คอยส่งอาหาร ซักเสื้อผ้าให้เขาทุกวันแล้ว ก็ห้ามใครเข้าใกล้เขาเด็ดขาด

 

 

 

 

——

 

 

[1] เพียงพอน (黄鼠狼) มีตำนานพื้นบ้านทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีนเชื่อว่าเพียงพอนสามารถยึดร่างคน ครอบงำจิตใจให้เลอะเลือนสับสน มีพฤติกรรมแปลกประหลาด บางท้องที่นับถือเป็นเทพ เรียกว่าหวงต้าเซียน (黄大仙) เพราะเพียงพอนเป็นสัตว์ฉลาดแสนรู้ ปราดเปรียวว่องไว จึงมักปรากฏในลักษณะเป็นสัตว์เทพกลายร่างหรือสัตว์ปีศาจกลายร่างในวรรณกรรมท้องถิ่น

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 856 บิดามารดาบุญธรรมซูเซียงได้รับพระราชทานแต่งตั้ง

 

 

กอรปกับหลังราชเลขาถูกฆ่า ราชสำนักอื้ออึง ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทยอยกันถวายฎีกา เรียกร้องให้จักรพรรดิมีราชโองการตำหนิโทษตัวเองและปรับปรุงตัวใหม่

 

 

แน่นอนว่าลับหลังก็มีคนพูดว่าแม้จักรพรรดิกับรัชทายาททำเกินกว่าเหตุไปหน่อย แต่ก่อนหน้านี้พระพันปีกักขังจักรพรรดิแล้ว บัดนี้ยังกักบริเวณรัชทายาทอีก ไม่แน่ว่าอาจเพื่อแย่งชิงอำนาจอะไรบางอย่าง

 

 

อย่างไรเสียไม่ว่าคำพูดใดล้วนมีหมด ชาวบ้านเองก็โวยวายฮือฮา ทว่าจ้าวเซิงกับซูเซียงในเวลานี้ออกจากเมืองหลวงไปนานแล้ว

 

 

จ้าวเซิงกับซูเซียงไม่ทันกลับถึงชิงโจว ราชโองการของพระพันปีก็ส่งมา ปรับยศจ้าวเซิงเป็นจวิ้นอ๋อง ริบอำนาจทางการทหารคืน พระราชทานชิงโจวให้เป็นดินแดนศักดินาของสองสามีภรรยา อีกทั้งมีพระบัญชาเด็ดขาดแน่ชัด หากไม่เรียกตัวไม่ต้องเข้าเมืองหลวง

 

 

สองคนกำลังพักแรมอยู่ในเคหาสน์ของผู้ว่าราชการฉางประจำชิงโจว ก็ได้ยินราชโองการแจ้งประกาศทั่วใต้หล้า

 

 

จ้าวเซิงกับซูเซียงต่างมิได้กล่าวอันใด แต่ผู้ว่าฉางนั้นต่างไป เขาถูมือรออยู่นอกประตู เดินวนไปมา หลังเห็นจ้าวเซิงออกมาแล้วก็รีบร้อนเข้ามารับ “ท่านอ๋อง ท่านอ๋อง นี่มันเรื่องอะไรกันขอรับ? เห็นอยู่ชัดๆว่าหวังเฟยไม่ได้รับความเป็นธรรม ทำไมยัง…”

 

 

จ้าวเซิงได้รับพระราชเสาวนีย์ของพระพันปีตั้งแต่อยู่ในวังแล้ว มิได้เหนือความคาดหมายแม้แต่เสี้ยวเดียว แต่ผู้ว่าราชการฉางกลับวนไปวนมาเหมือนมดบนหม้อร้อน เป็นเดือดเป็นร้อนรู้สึกไม่ยุติธรรมแทนพวกเขาจากใจจริง

 

 

 “องค์ชาย ท่านปกปักคุ้มครองชาติบ้านเมืองมานานหลายปี ลำบากถึงเพียงนี้ พระพันปีกับฝ่าบาทไย ไยถึงได้…”

 

 

รังสีเย็นชาบนตัวจ้าวเซิงจางไปเล็กน้อย ถึงขั้นเป็นฝ่ายยื่นมือตบๆไหล่ของผู้ว่าราชการฉางพลางกล่าว “ท่านเองก็มิต้องร้อนใจ เรื่องนี้ข้าองค์ชายกับภรรยาทูลขอเอง ไม่มีของจอมปลอมพวกนั้นก็ดีแล้ว จะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข”

 

 

 “เฮ้อ เฮ้อ…”

 

 

ผู้ว่าฉางถอนหายใจเป็นชุด ขณะที่กำลังคิดจะไปทำของกินอร่อยๆให้ซูเซียง ก็ได้ยินผู้ส่งราชโองการรอบที่สองเข้ามา

 

 

หนนี้ยังคงเป็นพระราชเสาวนีย์ของพระพันปี แต่งตั้งบิดาบุญธรรมของซูเซียง ซึ่งก็คือผู้เฒ่าหวัง ให้มีบรรดาศักดิ์ปั๋วแบบสืบทอดสายสกุล และรับสั่งให้บุตรธิดาก่อนหน้านี้ของซูเซียงสามารถเลี้ยงดูในนามของผู้เฒ่าหวังได้ อีกทั้งให้สืบทอดตำแหน่งบรรดาศักดิ์ชั้นปั๋วได้ สิ่งนี้สามารถพูดได้ว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่

 

 

นี่ยังไม่จบ ยังแต่งตั้งหวังต้าเหนียงมารดาบุญธรรมของซูเซียงเป็นเก้ามิ่งฟูเหริน[1]ขั้นสาม พระราชทานนาดีพันหมู่ยังมีแก้วแหวนเงินทองอีกจำนวนมาก และบ่าวปรนนิบัติรับใช้

 

 

ทุกคนคิดว่านี่เป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าหลังขันทีอ่านพระราชเสาวนีย์ทั้งสองฉบับจบ ก็มีบุรุษสตรีรูปร่างเพรียวสูง สุขุมจริงจังเจ็ดแปดคนออกมาจากรถม้าผ้าสีคราม

 

 

บนตัวของพวกเขาสวมเสื้อผ้าสีล้วนแบบเดียวกัน ดูแล้วเรียบง่ายเป็นระเบียบยิ่งนัก แต่คนตาแหลมแค่มองย่อมรู้ว่าวัสดุผ้ามิได้เรียบง่าย นั่นเป็นไหมฟ้าด้ายเมฆามูลค่าดั่งทองพันชั่ง เกรงว่าแม้แต่เหล่าจวิ้นจู่กงจู่ชีวิตนี้ก็ยังมีให้ใส่แค่ไม่กี่ตัวกระมัง

 

 

สตรีผู้เป็นหัวหน้าอายุราวสามสิบกว่าปีคนหนึ่งเดินเข้ามา กำปั้นคารวะให้จ้าวเซิงกล่าวว่า “ท่านอ๋องสงคราม เหล่าข้าน้อยเป็นองครักษ์ลับของพระพันปี ไท่โฮ่วเหนียงเนี่ยงทรงส่งพวกข้าน้อยมาดูแลความปลอดภัยของเซียงหรงจวิ้นจู่ นับแต่นี้เป็นต้นไปพวกข้าน้อยถือเป็นคนของเซียงหรงจวิ้นจู่แล้ว ” สตรีท่านนั้นก็หยิบป้ายแผ่นหนึ่งออกมา

 

 

จ้าวเซิงคิดจะยื่นมือไปรับ ทว่าสตรีคนนั้นกลับชักป้ายกลับไป กล่าวอย่างเคารพทว่าไม่นบน้อม “พระพันปีมีราชโองการ ต่อแต่นี้พวกข้าน้อยเป็นคนของเซียงหรงจวิ้นจู่ ฉะนั้นป้ายแผ่นนี้ข้าน้อยต้องมอบให้เซียงหรงจวิ้นจู่ด้วยมือตัวเอง ขอท่านอ๋องทรงอภัย”

 

 

เดิมทีจ้าวเซิงมิได้รู้สึกดีต่อการมาถึงของคนเหล่านี้มากนัก เมื่อเป็นคนที่เสด็จย่าส่งมา นั่นก็หมายถึงเป็นคนในวังหลวง เขาไม่ค่อยสบายใจนัก ไม่ยินดีข้องแวะกับในวังแม้แต่นิดเดียว แต่หลังเห็นสตรีมีกิริยาวาจาเช่นนี้ ในใจเขาก็ผ่อนคลายลงมากอย่างไม่มีเหตุผล พยักหน้ากล่าว “จวิ้นจู่กำลังพักผ่อนอยู่ข้างใน ตอนนี้เจ้าสามารถเข้าไปได้เลย”

 

 

จ้าวเซิงพูดว่าจวิ้นจู่แทนที่จะเป็นหวังเฟย มิใช่เพราะเขาไม่ยอมรับฐานะของซูเซียง แต่เขาเข้าใจเจตนาของพระพันปี เพราะหลังเกิดเรื่องนั้นในวังหลวง ซูเซียงก็มีความรู้สึกต่อต้านกับชื่อเรียก“หวังเฟย”คำนี้อย่างยิ่ง เขาไม่อาจไม่เตือนสติเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งประโยค เลี่ยงมิให้ซูเซียงไม่พอใจ

 

 

เดิมทีมีคนมากมายรู้สึกไม่ยุติธรรมแทนจ้าวเซิงกับซูเซียง โดยเฉพาะคนที่อยู่ในมณฑลอำเภอที่ซูเซียงอาศัยอยู่ ชาวบ้านต่างพากันร้องตะโกนจะเขียนฎีกาหมื่นราษฎร[2] แต่คิดไม่ถึงว่าพระราชเสาวนีย์ลงมาติดต่อกันอีกสองสามฉบับ ไม่เพียงแต่แต่งตั้งยศบรรดาศักดิ์ให้พ่อแม่บุญธรรมของซูเซียง ยังพระราชทานสิ่งของจำนวนมาก เช่นนี้จึงทำให้ทุกคนพอจะรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง

 

 

ช่วงหลายวันนี้นายอำเภอเสิ่นงานยุ่งหัวแทบไหม้ ทั้งหมดก็เพื่อปลอบขวัญราษฎรเหล่านี้ คอยบอกว่าไม่ว่าอย่างไรก็รอให้องค์ชายกับหวังเฟยกลับมาก่อนแล้วค่อยถามสถานการณ์ให้แน่ชัด ทุกคนไม่อาจก่อความวุ่นวายเพิ่ม พูดดีแล้วพูดร้ายแล้ว ในที่สุดก็สามารถควบคุมความโทสะของชาวบ้านให้อยู่ในขอบเขตได้

 

 

 

 

——

 

 

[1] เก้ามิ่งฟูเหริน (诰命夫人) ตำแหน่งภรรยาของขุนนางขั้นหนึ่งถึงขั้นห้า

 

 

[2] ฎีกาหมื่นราษฎร (万民书) หมายถึงหนังสือรวบรวมรายชื่อของราษฎรจำนวนมากเพื่อเสนอความคิดเห็นเรื่องสำคัญของชาติต่อราชสำนักและจักรพรรดิ แม้ชื่อว่าหมื่นราษฎรแต่รายชื่อที่รวบรวมไม่จำเป็นต้องหมื่นคนขึ้นไป แต่ใช้ในความหมายว่าคนจำนวนมาก