ตอนที่ 774 จะไม่เป็นอะไร

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

มุมปากของมู่เฉียนซียกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน “ถึงต่อให้เจ้าทำลายโฉมหน้าของข้าไป หลิงก็จะไม่รังเกียจข้า ส่วนเฟิงอวิ๋นซิวนั้น ข้ามิได้สนิทกับเขา”

หลิงตะโกนกล่าวขึ้น “อวี้จี เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้! หากเจ้ากล้าทำให้นางเจ็บแม้เพียงเล็กน้อยละก็ ข้าจะให้เจ้าทรมานอย่างอยู่มิสู้ตาย!”

ในตอนนี้ หลิงที่มีสีหน้าเยือกเย็นอำมหิตนั้น ได้ระเบิดความโกรธเกรี้ยวออกมาแล้ว

ผู้แข็งแกร่งระดับที่เจ็ดผู้นั้นกล่าว “หลิง ตอนนี้เจ้ายังจะเอาตัวเองไม่รอดเลย ยังจะมีใจไปเป็นห่วงผู้อื่นอีก”

เฟิงอวิ๋นซิวตะลึงงัน เขาได้ยินเข้าแล้ว ที่แท้ในใจของนางนั้น พวกเขามิได้สนิทกันเลยแม้แต่น้อย!”

อวี้จีกล่าว “อยากช่วยนางหรือ? น้องชายซิว ส่งกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์มา แล้วข้าจะปล่อยตัวนาง”

เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “นอกจากกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์แล้ว เงื่อนไขอย่างอื่นให้เจ้าว่ามาได้ตามใจเจ้า!”

“ดูเหมือนว่าข้อต่อรองของเจ้ามันจะไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย อย่างไรเสียทำลายโฉมหน้านางเสียก็สิ้นเรื่องแล้ว”

ฉึก! บนใบหน้าของมู่เฉียนซีได้มีหยดเลือดไหลออกมา

เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ข้าไม่สามารถให้เจ้าได้ แต่ทว่าชีวิตของข้า ถ้าหากเจ้าอยากจะเอาไปก็เอาไปเสีย!”

มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “เฟิงอวิ๋นซิว เจ้าบ้าไปแล้ว!”

“ข้าสัญญาว่าจะพาเจ้าออกไปอย่างปลอดภัย เรื่องที่ข้าให้สัญญาเจ้าเอาไว้จะต้องทำให้ได้ และข้าก็ไม่อยากให้เกิดเรื่องขึ้นกับเจ้าด้วย”

“หึหึหึ! น้องชายอวิ๋นซิว ข้าจะเอาชีวิตของเจ้าไปทำอะไร? อย่างไรเสียฆ่าสาวน้อยนี่เสียก็แล้วกัน”

เมื่อเล็บของอวี้จีได้ลูบไล้เลื่อนลงมาจากตรงคางของมู่เฉียนซี นางนั้นคิดที่จะเปิดปากแผลขึ้นที่ตรงนี้ จากนั้นก็จะกระชากผิวหนังทั้งใบหน้าของนางออกมา

อวี้จียิ้มและกล่าว “ไม่ต้องกลัว ฝีมือของข้าเชี่ยวชาญเป็นอย่างมาก มันจะรวดเร็วอย่างแน่นอน……”

“อ๊าก!” นางยังไม่ทันที่จะกล่าวจบ ทันใดนั้นก็ได้เกิดเลือดสดๆพุ่งสาดกระเซ็นขึ้นมาตรงหน้า

และปรากฏรอยเลือดอันโหดร้ายตั้งแต่คอของนางจรดยังหน้าผาก

ที่ตรงหน้าของมู่เฉียนซีนั้นมีสิ่งมหึมาสิ่งหนึ่งปรากฏขึ้น มันจ้องอวี้จีด้วยความโกรธเกรี้ยวแล้วกล่าว “กล้าที่จะมาแตะต้องเจ้านายของข้าอู๋ตี้ผู้ยิ่งใหญ่ เจ้าคงไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว!”

บึ้ม! อู๋ตี้ลงมืออย่างไม่เกรงใจ อวี้จีได้หลบหลีกไปอย่างรีบร้อน

บาดแผลบนใบหน้าของนางใหญ่มากเกินไปนัก เลือดสีแดงสดของอวี้จีได้ไหลออกมาอย่างบ้าคลั่ง

เบื้องหน้านั้นเป็นแมวสีขาวขนาดมหึมาตัวหนึ่ง ที่โอหัง อีกทั้งยังเอาแต่ใจและลงมืออย่างโหดเหี้ยม!

“ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวา!” คนของตำหนักเป่ยหานรีบเข้ามาช่วยนางย่างร้อนรน แต่อู๋ตี้นั้นได้ฆ่าฟันไปทั่วทุกสารทิศ

“หึหึหึ! ก็ไม่คิดจะถามสักหน่อยหรือว่าข้าเป็นใคร? ข้าคือท่านอู๋ตี้ผู้ไร้เทียมทานในใต้หล้า” อู๋ตี้หัวเราะพร้อมกล่าวออกมา

“สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับที่สี่!”

“แต่ความแข็งแกร่งนั่น มิใช่แค่เพียงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับที่สี่แน่!”

“………”

เฟิงอวิ๋นซิวตะลึงค้าง มิน่าละนางถึงได้เชื่อมั่นในตนเองเช่นนั้น ที่แท้ในมือของนางก็มีไพ่ตายที่ยังไม่ได้นำออกมาใช้เลยอยู่นี่เอง

นอกจากสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับที่สามแล้ว กลับมีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับที่สี่อีกตัวหนึ่งด้วย

เช่นนั้นแล้วหลังจากนี้ นางจะแย่งชิงกับเขาหรือไม่?

เขาไม่อยากที่จะเป็นศัตรูกับนางจริงๆ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงการต่อสู้กับนางสักศึกหนึ่งเลย!

ครืน!

ในขณะที่อู๋ตี้กำลังต่อสู้อยู่กับคนของตำหนักเป่ยหาน สนามรบโบราณแห่งที่หนึ่งทั้งสนามก็ได้เริ่มพังทลายลง!

เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “นั่นเป็นเพราะการมีอยู่ของกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ สนามรบโบราณแห่งที่หนึ่งถึงมิได้พังทลายลง แต่มาตอนนี้กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์อยู่ในมือของข้า เกรงว่า……”

“รีบออกไปจากสนามรบโบราณแห่งที่หนึ่งเร็ว มิเช่นนั้นสนามรบโบราณจะพังทลายทั้งหมด หากพวกเราหลุดร่วงเข้าไปในรอยแตกของมิติจะเกิดปัญหาวุ่นวายเอา”

“อู๋ตี้ เสี่ยวหง!” มู่เฉียนซีเองก็ได้ตะโกนขึ้นอย่างรีบร้อน

ผู้แข็งแกร่งขั้นที่เจ็ดผู้นั้นก็มิได้ปะมือกับหลิงแล้ว แต่กลับไปพยุงตัวอวี้จีขึ้นมา เขากล่าว “พวกเราไปกันเถอะ!”

พวกเขาได้หาทางออกกันอย่างแข่งกับเวลาทุกเสี้ยววินาที แต่ทว่าความเร็วในการพังทลายลงของสนามรบโบราณแห่งที่หนึ่งนั้นรวดเร็วกว่านัก หลิงได้ดึงตัวของมู่เฉียนซีและพามุ่งไปทางด้านนอกอย่างรวดเร็ว

แต่ทว่าทั้งสนามรบโบราณแห่งที่หนึ่งนั้น ไม่อาจที่จะหาทางที่จะออกไปได้เลย

ซวนอีกล่าว “บีบหยกส่งตัวระยะไกลให้แตก พวกเราไปกัน! นายน้อย!”

“นายน้อย!”

“เฉียนซีนาง…..”

ซวนอีกล่าว “สาวน้อยนั่นเป็นคนของหลิง ไม่มีทางเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอก เป็นไปไม่ได้ที่ตำหนักเป่ยหานจะไม่มีหยกส่งตัวระยะไกล!”

“ซีเอ๋อร์!”

หลิงมองไปที่มู่เฉียนซี “บีบหยกส่งตัวระยะไกลนี่ให้แตก เจ้าก็จะสามารถออกไปได้แล้ว”

“แล้วท่านอารองเล่า? หยกส่งตัวระยะไกลเช่นนี้ยังมีอีกหรือไม่?”

“เดิมทีอารองนั้นเป็นผู้ที่ได้ตายไปแล้ว ที่สามารถอยู่รอดมาได้ถึงทุกวันนี้และได้พบเจอเจ้า นั่นก็เป็นความสุขของข้าแล้ว น่าเสียดายที่อารองไม่สามารถที่จะช่วยเจ้าหากระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ได้จนพบ”

“มิได้…..” มู่เฉียนซีได้ยัดหยกส่งตัวระยะไกลนั้นใส่ไปในมือของหลิง

“ซีเอ๋อร์ อย่าดื้อ!”

“นี่เป็นสิ่งที่เอาไว้รักษาชีวิตท่านอารอง ข้าจะไม่เอา! ใครบอกว่าท่านอารองเป็นผู้ที่ได้ตายไปแล้ว ตอนนี้ท่านอารองยังอยู่ดี และจากนี้ไปก็จะอยู่ดีเช่นกัน”

ขณะที่สองอาหลานกำลังโต้เถียงกันอยู่นั้น การแตกสลายของทั้งมิตินั้นได้เลวร้ายลงไปเรื่อยๆ

“อวี้จี พวกเราไปกันเถอะ! หากยังไม่ไปอีกจะไม่ทันการแล้ว!”

อวี้จีมองไปที่มู่เฉียนซีซึ่งอยู่ข้างกายของหลิง สายตาของนางส่องประกายเย็นวาบออกมา นางที่ได้รับบาดเจ็บไปแล้วอย่างหนักได้รวบรวมพลังทั้งหมดที่มี และแส้เพลิงเส้นหนึ่งก็ได้พุ่งฟาดเข้าไป

ปัง! เมื่อรู้สึกถึงอันตราย มู่เฉียนซีจึงคิดที่จะหลบหลีก

แต่การหลบหลีกในครั้งนี้ทำให้มู่เฉียนซีได้ตกเข้าไปในรอยแตกของมิติ

หลิงคิดที่จะกระโดดลงไปแต่ก็พลันมีเงาร่างสีเขียวเงาหนึ่งปรากฏตัวขึ้นและได้กดไหล่ของเขาเอาไว้พร้อมกล่าวขึ้น “เฉียน จะไม่เป็นอะไร!”

“ถ้าหากว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า เช่นนั้นซีก็จะเป็นอะไรไปจริงๆเสีย”

เมื่อว่าจบชิงอิ่งก็ได้กระโดดลงไปทันที

เฟิงอวิ๋นซิวสีหน้าซีดเผือดขึ้นมา “เฉียนซี!”

ซวนอีได้ดึงตัวนายน้อยของตนเอาไว้อย่างรีบร้อน “นายน้อย กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์!”

“เจ้าอย่าเป็นอะไรนะ!”

เขานั้นเตรียมที่จะโยนกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ให้นาง แต่ถ้าหากว่าโยนลงไปจริงๆ ความพยายามที่พยายามกันมาหลายปีนั้นก็จะสูญเปล่า

เขามองไปที่รอยแตกของมิติที่ลึกเป็นหุบเหว ก็พลันรู้สึกเจ็บที่ขั้วหัวใจ

อวี้จียิ้มแล้วกล่าวขึ้น “หลิง ทำไมเจ้าถึงไม่ไปเสียสละความตายเพื่อความรักเล่า! เจ้าดูสิ องครักษ์นั่นของสาวน้อยได้กระโดดลงไปแล้ว เจ้าชอบนางมากขนาดนั้นก็กระโดดลงไปเสียสิ้นเรื่อง”

หลิงพุ่งไปทางอวี้จี “เจ้ามันรนหาที่ตาย!”

พวกเขาได้รีบบีบหยกส่งตัวระยะไกลให้แตก นางกล่าว “หลิง เจ้าคิดที่จะฆ่าข้าเจ้าฝันไปเถอะ! รอให้ข้ากลับไปถึงตำหนักเป่ยหาน เจ้ารอที่จะถูกผู้อาวุโสและเจ้าตำหนักจัดการเถอะ!”

หลังจากที่อวี้จีได้จากไปแล้ว หลิงก็ยังคงมิได้บีบหยกส่งตัวระยะไกลให้แตก

เฟิงอวิ๋นซิวเองก็ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยอาการงงงวย ซวนอีกล่าวขึ้น “นายน้อย รีบไป! หากว่ายังไม่ไปอีกจะไม่ทันเอาเสียแล้ว”

รอจนเมื่อกระทั่งสนามรบโบราณแห่งที่หนึ่งได้แตกสลายเป็นเสี่ยงๆไปแล้ว พวกเขาจึงได้บีบหยกส่งตัวระยะไกล

หลิงกล่าวด้วยเสียงต่ำ “ซีเอ๋อร์ เจ้าอย่าเป็นอะไรเด็ดขาด”

แม้ว่ารอยแยกของมิติจะน่ากลัว แต่ในตอนนี้ได้มีแสงอันเบาบางแสงหนึ่งห่อหุ้มตัวนางเอาไว้

หญิงสาวที่อ่อนโยนผู้มีผมและดวงตาเป็นสีฟ้าได้ดึงมือของนางที่อยู่ในมิติที่แตกสลายนี้เอาไว้ นางเดินทางอยู่ในนั้นอย่างเบาสบายเหมือนดั่งลูกปลาแหวกว่ายอยู่ในสายชล

พายุที่บังเกิดขึ้นในมิติแห่งนี้มิอาจที่จะทำอันตรายใดต่อนางได้เลยแม้แต่น้อย

เงาร่างสีเขียวเงาหนึ่งร่วงลงมาจากด้านบน มู่เฉียนซีตะลึงงัน “เจ้าโง่ชิงอิ่งกลับกล้าตามลงมา”

แต่ทว่าเขานั้นไม่มีหยกส่งตัวระยะไกล ถึงต่อให้ไม่ตามลงมาก็มิอาจที่จะทำอะไรได้

มือข้างหนึ่งของสุ่ยจิงอิ๋งได้ไปแตะบนตัวของชิงอิ่ง “เขาตกลงมาในมิติที่แตกสลาย แต่ร่างกายกลับไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่นิดเดียว ร่างกายนี้แข็งแกร่งจนถึงขั้นที่พายุในมิติมิอาจจะทำอันตรายใดกับเขาได้ เขาเป็นใครกันแน่?”

แคว่ก!

ถึงแม้ว่าร่างกายจะไม่เป็นอะไร แต่เสื้อผ้าทั้งตัวและหน้ากากของชิงอิ่งได้หายไปในทันใด

ผมสีดำของเขานั้นปลิวไสว ใบหน้าที่งดงามเหมือนดั่งภาพวาดนั้นได้ถูกเปิดออกมา สุ่ยจิงอิ๋งได้ยื่นมือออกมาปิดตาของมู่เฉียนซีเอาไว้

“ซีเอ๋อร์เป็นสาวน้อยผู้หนึ่ง มิควรที่จะเห็นภาพเช่นนี้

จากนั้นนางก็ได้กล่าวเสริมขึ้นมาอีกประโยคหนึ่ง “ไม่ว่าจะงดงามแค่ไหนก็ห้ามมอง!”