ตอนที่ 672
ไม่ใช่อย่างที่เข้าใจ
“เจ้านี่เอง มาหาข้าต้องการอะไร”หลังจากปีนขึ้นมาบนกิ่งไม้เหมือนเดิม หวังกุ้ยฉินก็กลับมาใช้ท่าทีนิ่งเฉยเหมือนที่ทำมาตลอดทั้งวันอีกครั้งทันทีราวกับท่าทีตกอกตกใจก่อนหน้านี้ของนางไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเสียอย่างนั้น
“ขอโทษด้วยที่ทำให้เจ้าตกใจ ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ”หลินเฟยยิ้มเจื่อนๆออกมา มันไม่ได้ตั้งใจจริงๆนี่นาแค่มันปิดกั้นพลังวิญญาณและพลังอสูรจนเป็นนิสัยเหมือนคนตระกูลไป๋คนอื่นๆก็เท่านั้นเอง
“ข้าเนี่ยนะตกใจ ข้าไม่ได้ตกใจสักหน่อย”หวังกุ้ยฉินรีบปฏิเสธทันทีเมื่อตนโดนกล่าวหาว่าตกใจกับการมาของหลินเฟย แน่นอนว่าสะดุ้งจนแทบตกต้นไม่นั้นหากไม่ใช่ตกใจก็คงเป็นอย่างอื่นได้ยากไปเสียหน่อย
“เอาเป็นว่าข้าขอโทษด้วยก็แล้วกัน แต่ที่ข้ามาหาเจ้าก็เพราะมีเรื่องอยากจะขอร้อง”หลินเฟยมองข้ามคำปฏิเสธแสนจะไม่เนียนของหวังกุ้ยฉินไปก่อนจะเอ่ยถามเรื่องที่ตนต้องการทันที
“ขอร้อง…ทำไมข้าต้องฟังคำขอร้องของเจ้าด้วยไม่ทราบ”หวังกุ้ยฉินถามพลางแสดงสีหน้าเย็นชาออกมาทันที สำหรับนางแล้วหลินเฟยก็เหมือนคนอื่นๆ แม้ใบหน้าจะงามเหมือนผู้หญิงแต่เวลาเจอนางหลินเฟยก็ทำท่าทีตกใจที่เห็นผู้หญิงเข้ามาร่วมประชุมที่เต็นท์บัญชาการ ทำให้หวังกุ้ยฉินเข้าใจว่าหลินเฟยเองก็เป็นพวกที่ดูถูกผู้หญิงแบบนางเช่นเดียวกันกับพวกในอาณาจักรอื่นๆรวมถึงอาณาจักรของนางเองก่อนหน้านี้ด้วย
“หรือว่าเจ้าจะหวังประโยชน์จากสหายของข้า”หวังกุ้ยฉินถามพลางมองหลินเฟยด้วยท่าทีสงสัย มีคนบางพวกที่เข้าหาหวังกุ้ยฉินทันทีที่ทราบว่านางสามารถควบคุมอสูรได้ และหนึ่งในนั้นก็เป็นพวกพ่อค้าที่หวังจะเอาของในเขตอสูรมาขายนั่นเอง
“ข้าไม่ทำแบบนั้นหรอก”หลินเฟยถอนหายใจออกมาช้าๆเพราะท่าทางตนเองจะโดนเข้าใจผิดไปมากโข อย่าว่าแต่ขอร้องให้นางยอมพบเซี่ยจินเย่เลย ต่อให้ตอนนี้หลินเฟยแค่ขออะไรเล็กน้อยนางก็คงไม่ยอมให้
“แม่นาง เจ้าเข้าใจข้าผิดแล้ว ข้าไม่ได้มองเจ้าว่าเป็นหญิงแล้วจะอ่อนแอเลยนะ”หลินเฟยพยายามแก้ไขความเข้าใจผิดของหวังกุ้ยฉินเสียก่อน
“แต่ตอนพบกันครั้งแรกเจ้าไม่ได้มีท่าทีเช่นนั้นนี่นา”หวังกุ้ยฉินจ้องหลินเฟยไม่วางตา นางเป็นยอดฝีมืออันดับ 1 ของอาณาจักรซิน ด้วยความสามารถของนางทำให้นางโดนคนพยายามหาผลประโยชน์ไม่น้อย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่นางจะระแวงหลินเฟยที่เข้ามาหาคนเองทันทีที่รู้เรื่องพลังดึงดูดเหล่าอสูร
“ตอนนั้นข้าแค่ประหลาดใจที่เจ้ามีพลังอสูรเท่านั้นเอง”หลินเฟยตอบพลางออกมาตามตรง แต่พอหลินเฟยพูดเช่นนั้นหวังกุ้ยฉินก็มีท่าทีประหลาดใจทันทีเพราะพลังอสูรไม่สามารถตรวจสอบได้ด้วยเนตรจิตรธรรมดา การจะสัมผัสพลังอสูรได้จำเป็นต้องฝึกฝนประสาทสัมผัสพิเศษเหมือนอู๋หมิง มีดวงตาสีม่วงเอาไว้แยกแยะ หรือไม่ก็มีพลังอสูรด้วยนั่นเอง เรื่องที่หลินเฟยทราบว่านางมีพลังอสูรในร่างนั้นทำให้หวังกุ้ยฉินประหลาดใจมากจนแทบเก็บสีหน้าไม่อยู่
“ทำไมเจ้าถึงรู้กันว่าข้ามีพลังอสูร….”หวังกุ้ยฉินถามออกไปทันทีด้วยท่าทีร้อนรน ในอาณาจักรที่ยังไม่ยอมรับอสูร การมีมนุษย์ที่มีพลังของอสูรอยู่นั้นไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ
“นั่นเพราะข้าเองก็เหมือนเจ้าไงล่ะ”หลินเฟยตอบพลางปล่อยพลังอสูรและพลังวิญญาณของตนออกมาเล็กน้อย
“…..มิน่าล่ะ เจ้าถึงถูกวางตัวให้เป็นคนโจมตีแม่ทัพฝั่งตรงข้าม”หวังกุ้ยฉินกะพริบตาปริบๆมองมาทางหลินเฟยทันที จะว่าไปในตอนประชุมจักรพรรดิซานเองกะพยายามจะให้หลินเฟยขึ้นมาเป็นคนวางแผนรับมือพวกอสูรนี่นา การที่มันมีพลังอสูรได้แสดงว่ามันเองก็คงเข้าใจอสูรมากกว่าที่นางคิด
“ตอนนั้นข้าสัมผัสพลังอสูรของเจ้ากับสหายของเจ้าได้ ข้าก็เลยเผลอตกใจไปหน่อยหวังว่าเจ้าจะให้อภัย”หลินเฟยเห็นนางเริ่มรับฟังแล้วก็รีบคว้าโอกาสเอาไว้ทันที เท่านี้ก็น่าจะลบล้างความเข้าใจผิดได้แล้ว
“ข้าจะยอมเชื่อเจ้าก็แล้วกัน เรื่องที่เจ้าจะขอร้องลองบอกข้ามาก็ได้”หวังกุ้ยฉินพอได้ฟังเหตุผลก็ไม่ใช่คนดื้อแพ่งแต่อย่างไร แถมเหตุผลของหลินเฟยก็พอฟังได้ และเหนือสิ่งอื่นใดหวังกุ้ยฉินพึ่งได้เคยพบผู้มีพลังอสูรเช่นเดียวกับนางเป็นคนแรก ทำให้นางรู้สึกเหมือนเป็นผู้ร่วมชะตาอย่างไรบอกไม่ถูก
“ลูกศิษย์ของข้าคนหนึ่งได้ยินเรื่องของเจ้า นางก็เลยอยากจะขอพบเจ้าให้ได้”หลินเฟยเริ่มเล่าเรื่องที่ตนจะมาขอร้องช้าๆ แม้จะไม่ทราบว่าทำไมเซี่ยจินเย่ถึงอยากพบหวังกุ้ยฉินนักก็ตาม
“นาง…..”แม้จะได้ยินคำขอร้องมาแล้ว แต่หวังกุ้ยฉินกลับสะดุดกับคำว่านางที่หลินเฟยพูดออกมาแทบจะทันที หลินเฟยบอกว่าคนที่ขอร้องเป็นศิษย์แถมมันยังเรียกแทนศิษย์ว่านางอีก
“ถูกแล้ว ศิษย์เอกของข้าเป็นสตรี มีอะไรแปลกงั้นหรือ”หลินเฟยตอบออกไปด้วยท่าทีมั่นใจ ตัวมันไม่เคยมองสตรีอ่อนแอมาแต่ไหนแต่ไร เรื่องนี้หลินเฟยหนักแน่นกว่าทุกคนในที่นี้อย่างแน่นอน
“งั้นหรือ…ข้าเข้าใจท่านผิดไปจริงๆ”พอได้ทราบว่าหลินเฟยมีศิษย์สตรี แถมยังเป็นศิษย์เอกความระแวงในตัวหลินเฟยก็หายไปทันที ต่อให้หลินเฟยพูดพร่ำแค่ไหนว่าตนเองยอมรับสตรีที่ฝึกฝนพลังวิญญาณก็ไม่มีทางแข็งแกร่งเท่าการกระทำได้หรอก วินาทีนี้หวังกุ้ยฉินกลับรู้สึกผิดที่ตนเองตัดสินหลินเฟยไปก่อนหน้านี้ นอกจากจะเป็นผู้มีพลังอสูรเหมือนกันแล้วมันยังเปิดรับเรื่องศิษย์หญิงอีกต่างหาก บางทีนางกับมันอาจจะเป็นสหายกันได้สินะ
“เรื่องนั้นข้าเองก็มีส่วนผิด แต่เรื่องที่ข้ามาขอร้องเจ้าคือเรื่องนี้จริงๆ”หลินเฟยถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ท่าทางนางจะผ่อนคลายกับตนเองแล้ว
“แล้วทำไมนางถึงอยากเจอข้าล่ะ”หวังกุ้ยฉินถามด้วยท่าทีสงสัย นางไม่เคยเดินทางไปอาณาจักรซานเหตุใดศิษย์หญิงคนหนึ่งของอาณาจักรซานถึงต้องการพบนางได้
“เรื่องนั้นข้าเองก็….”
ปัง!!
ยังไม่ทันได้อธิบาย อยู่ๆเสียงพลุสัญญาณก็ดังขึ้นเสียก่อนทำให้ทั้งหลินเฟยทั้งหวังกุ้ยฉินต่างละเรื่องที่กำลังคุยแล้วมองออกไปทางกองทัพของตนเองทันที
“ศัตรู? ทำไมถึงเร็วนัก”หวังกุ้ยฉินมองสัญญาณบนท้องฟ้าด้วยท่าทีตกใจ ไม่ใช่ว่ายังเหลือเวลาอีกเป็นวันๆเลยไม่ใช่หรือ ทำไมศัตรูถึงบุกมาเร็วแบบนี้
“แสดงว่ามีอสูรพาหนะมาด้วยถึงได้มาเร็วขนาดนี้”หลินเฟยสรุปออกมาทันที มันลืมไปได้อย่างไรว่าทัพอสูรไม่สามารถเอาทัพมนุษย์ไปเปรียบเทียบได้ ขอเพียงมีอสูรบินที่แข็งแกร่งหน่อยสักตนก็สามารถข้ามน้ำข้ามภูเขามาได้ไม่ยากแล้ว
“พวกเราไปประจำตำแหน่งก่อน เรื่องที่ท่านจะขอร้องเอาไว้หลังจากจบเรื่องก็แล้วกัน”หวังกุ้ยฉินพูดจบก็พุ่งตัวออกไปทันที นางคือคนที่จะรับมืออสูรทั้งหมด นางจึงต้องไปอยู่หน้าสุดของขบวนรบ
“เข้าใจแล้ว”หลินเฟยเองก็พุ่งตัวออกไปยังจุดประจำการของตนเหมือนกัน ตามแผนแล้วหลินเฟยและยอดฝีมืออันดับ 1 ของอีก 3 อาณาจักรยกเว้นหวังกุ้ยฉินจะบุกเข้าไปจัดการหัวหน้าของกลุ่มอสูรก่อนเป็นอย่างแรก หากทัพอสูรถูกควบคุมแล้วพวกตนสามารถจัดการแม่ทัพได้ก็อาจจะหยุดสงครามครั้งนี้ได้เลยทันทีก็เป็นได้
“อสูร….”ทันทีที่หลินเฟยมาถึงแนวหน้า หลินเฟยก็พบว่าเหล่าทหารเสียขวัญกันไม่น้อย แต่ก็ไม่แปลกเพราะโอกาสจะได้เห็นทัพอสูรไม่ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ แต่ยิ่งเห็นอสูรมากขนาดนี้หลินเฟยก็ยิ่งเบาใจ เพราะยิ่งมีแต่อสูรพลังดึงดูดเหล่าอสูรของหวังกุ้ยฉินก็ยิ่งทำงานได้ดี ขอเพียงไม่มีมนุษย์คนอื่นกองทัพด้านหลังอาจจะไม่ต้องออกแรงเสียด้วยซ้ำ
“ขาวไปหมดเลย นี่มันอสูรจากไหนกันเนี่ย”ฟงเป่าที่พึ่งตามหลินเฟยมาถึงพูดด้วยท่าทีประหลาดใจ พอสังเกตดีๆแล้วก็พบว่าอสูรที่มากันนั้นมีแต่สีขาวทั้งนั้นเลย หากมองไม่ดีอาจจะเหมือนกลุ่มก้อนเมฆกำลังลอยเข้ามาเลย
“อาจารย์ ข้าไม่เป็นแม่ทัพเลยเจ้าค่ะ”หนี่หลิงหนานว่าพลางพยายามเพ่งมองในกลุ่มอสูร ตามรายงานที่ทุกคนได้รับแม่ทัพของฝ่ายศัตรูคือมนุษย์เพียงหนึ่งเดียวในกองทัพ แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่เจอเลย
“มันอยู่ไหนกันนะ”หลินเฟยเปลี่ยนดวงตาตนเองเป็นสีม่วงและน้ำเงินทันที แต่บนพื้นดินไม่มีวี่แววของพลังวิญญาณเลย เช่นนั้นเจ้าแม่ทัพนั่นก็คงอยู่บนฟ้า….
“……………”ราวกับพลังวิญญาณและพลังอสูรเอ่อล้นทั่วท้องฟ้า ดวงตาสีม่วงที่มองเห็นพลังต่างๆเป็นรูปเป็นร่างมองเห็นไป๋จูล่งที่กำลังขี่หลังของตงฟางเหมือนพายุใหญ่ที่กำลังบ้าคลั่งอยู่บนท้องฟ้าไม่มีผิด แต่ถึงจะเอาดวงตาสีม่วงออกเพื่อมองภาพตรงหน้าตามความเป็นจริง หลินเฟยก็ยังไม่อยากจะเชื่อสายตาอยู่ดี
“ท่าน……”
เปรี้ยง!!
หลินเฟยยังไม่ทันพูดอะไรออกมาสายฟ้าจากเบื้องบนก็ฟาดลงมาใส่ทวนสีขาวของท่านน้าจูล่งราวกับมันเป็นสายล่อฟ้า ภาพบุรุษชุดขาวควบขี่อาชาขาวบริสุทธิ์สมควรจะเป็นภาพอันแสนงดงามไม่ใช่หรือ เหตุใดหลินเฟยถึงรู้สึกเย็นเฉียบไปทั้งตัวกัน
“รออะไรอยู่ มันลงมาแล้วรีบเข้าไปจัดการมัน”ทันทีที่เห็นไป๋จูล่งลงมาบนพื้นเบื้องล่างเหล่ายอดฝีมืออาณาจักรอื่นๆก็พากันเตรียมทำตามแผนทันที
“อย่า…”หลินเฟยพยายามจะพูดห้าม แต่ยังไม่ทันเอ่ยปากห้าม ร่างของตงฟางก็กระทบพื้นอย่างแผ่วเบาเบื้องหน้าระหว่างฝูงอสูรและมนุษย์ พริบตานั้นแรงกดดันวิญญาณระดับเกินจินตนาการก็แผ่นซานไปทั้งสนามรบ ยามนี้ต่อให้หลินเฟยไม่ห้ามยอดฝีมือทั้งหลายก็ไม่คิดจะบุกเข้าไปอีกแล้ว ระดับความต่างชั้นที่ทำเอาพวกตนราวกับเด็กอมมือนี่มันอะไรกัน
“อะไรกัน….”แม้แต่หวังกุ้ยฉินที่พลังเหนือกว่าคนอื่นๆยังขวัญผวากับพลังวิญญาณที่สัมผัสได้ ชายคนนั้นใช่มนุษย์จริงๆงั้นหรือ
วี๊ดดดด
เมื่อเห็นยอดฝีมือฝั่งตนเองทำอะไรไม่ได้อสูรปักษาของหวังกุ้ยฉินก็เปลี่ยนร่างเป็นอสูรปักษาเพลิงขนาดยักษ์ทันที ดูเหมือนไป๋จูล่งจะไม่ได้ปล่อยพลังอสูรออกมากดดันด้วยทำให้อสูรอย่างจางจินและอสูรปักษาของหวังกุ้ยฉินไม่ได้รับผลกระทบไปด้วย เพียงแต่…
เปรี้ยง!! ตูม!!!
อสูรปักษาเพลิงที่สร้างความหวาดกลัวให้คนทั้งกองทัพเมื่อก่อนหน้านี้กลับโดนตงฟางที่กระโดดเพียงครั้งเดียวก็ขึ้นมาถึงตัวอสูรปักษาเพลิงก่อนจะเหยียบร่างของมันจนร่วงกระแทกพื้นเสียหมดท่า เมื่ออยู่ต่อหน้าไป๋จูล่งผู้นี้แล้วแผนการแยบยล จำนวนคน หรือแม่แต่อสูรทรงพลังก็ไร้ความหมาย ในกองทัพนับหมื่นนับแสนตอนนี้มีเพียงหลินเฟยเท่านั้นที่ยังครองสติเอาไว้ได้ สมองของหลินเฟยยามนี้แล่นเร็วจี๋เพื่อคิดว่ามันเกิดอะไรขึ้นแล้วมันจะรับมือท่านน้าจูล่งได้อย่างไรกัน