ตอนที่ 79 - 1 ให้ข้ามอบความอบอุ่นแก่เจ้า

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]

ยามเขายิ้มแย้มขึ้นมาหน้าผากแผ่กว้าง พาให้คนรู้สึกว่าแสงนภาเงาเมฆเหาะเหิน แสงอาทิตย์ทั่วท้องฟ้าพลันพลิ้วสยาย

 

 

จิ่งเหิงปัวเท้าคางมองเขา แล้วกล่าวว่า “วรยุทธ์ดีขนาดนี้ถ้าใช้เขาหยิบรองเท้าให้ก็ช่างน่าเสียดายจริงๆ…เอ๊ะ ข้ารู้สึกว่าข้าคุ้นหน้าเจ้า”

 

 

บุรุษผู้นั้นยิ้มแย้ม เดินเข้ามานั่งยองๆ ลงตรงเบื้องหน้านาง ก่อนที่จะวางรองเท้าใต้ฝ่าเท้านางอย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อย จิ่งเหิงปัวสวมรองเท้าอย่างตามใจยิ่ง ส่วนเขาก็นั่งลงกึ่งคุกเข่าเพื่อช่วยนางประคองหน้ารองเท้าไว้อย่างเป็นธรรมชาติ ซ้ำยังไม่ลืมชื่นชมออกมาว่า “ฉลองพระบาทของฝ่าบาทคู่นี้ช่างงดงามยิ่งนัก”

 

 

น้ำเสียงนั้นราบเรียบกว้างไกล

 

 

ทุกสีหน้าท่าทางของคนผู้นี้ต่างทำให้คนรู้สึกว่าเยือกเย็นเป็นธรรมชาติยิ่งนัก ไม่เจือด้วยความสนิทชิดเชื้อ สว่างไสวจนคล้ายแสงท้องฟ้าสดใสแห่งนี้

 

 

คุณสมบัติพิเศษแบบนี้ทำให้จิ่งเหิงปัวนึกขึ้นมาได้ว่าเขาคือใคร

 

 

“เจ้าก็คือทหารม้าชุดเหลืองที่เคยช่วยเหลือข้าคนนั้น!” นางเข้าใจขึ้นมาในทันที พลันร้องขึ้นว่า “คนที่ช่วยข้าขวางรถม้า!”

 

 

“ขออภัยฝ่าบาท” พอเอ่ยถึงเรื่องนี้เขากลับผุดเผยสีหน้าละอายใจ เอ่ยว่า “กระหม่อมไร้ความสามารถ ขวางรถม้าไว้ได้เพียงสองคัน ส่วนคันที่สามกลับปล่อยให้เล็ดรอดไปได้ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นภัยต่อราษฎรในตรอกหลิวหลีไม่น้อย บัดนี้นึกขึ้นมาแล้วละอายใจโดยแท้พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

คราวนี้จิ่งเหิงปัวถึงรู้ว่ารถม้าที่ลุกไหม้มีสาเหตุมาจากเขานั่นเอง เมื่อเห็นเขายังคงยอมรับด้วยตนเองอย่างใจกว้าง เช่นนั้นก็อดจะยิ้มแย้มออกมาไม่ได้ กล่าวว่า “เจ้าพยายามเต็มกำลังแล้ว”

 

 

“วันนั้นกระหม่อมได้ส่งคนไปตำหนักอวี้จ้าวเพื่อแจ้งราชครูเช่นกัน” เขาเอ่ยอย่างละอายใจมากยิ่งขึ้นว่า “ทว่ายามนั้นราชครูออกจากตำหนักอวี้จ้าวแล้ว ผู้ส่งสารไม่อาจรายงานได้”

 

 

“นั่นสิต้องโทษกงอิ้นที่ออกไปมั่วซั่ว” นางกล่าว

 

 

“แท้จริงแล้วกระหม่อมยังเคยได้พบฝ่าบาทครั้งหนึ่งด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เขายิ้มแย้ม ดวงตาโค้งมน

 

 

“หืม?” จิ่งเหิงปัวมีความรู้สึกนี้เช่นกัน คล้ายกับว่ายังเคยได้พบเขาที่ไหนมาก่อน

 

 

“จวนจ้าวซื่อจื๋อ” เขาเอ่ยอย่างเสียใจว่า “กระหม่อมลากใต้เท้าจ้าวกลับมา ไม่ให้ราชินีทรงจับตัวไว้ได้สำเร็จ”

 

 

“โอ้ ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง” จิ่งเหิงปัวหัวเราะฮ่าๆ ออกมาดังลั่น กล่าวขึ้นอีกครั้งว่า “ยามนั้นคนเยอะหมอกหนาข้าเลยมองไม่เห็นเจ้า นี่ เจ้าทำให้ข้าเสียเรื่องนะ”

 

 

“กระหม่อมทำให้ฝ่าบาทเสียเรื่องไปสามคราแล้ว” เขายิ้มแย้ม เอ่ยว่า “โปรดลงโทษให้กระหม่อมหิ้วโถน้ำแกงชดใช้ความผิดให้ฝ่าบาทด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เขาหิ้วโถน้ำแกงขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติยิ่งนัก ฉวยมือยื่นผ้าเช็ดหน้าสีขาวบริสุทธิ์ให้จิ่งเหิงปัวเช็ดปาก ยามที่ยืนขึ้นนั้นยังเก็บกระดูกที่จิ่งเหิงปัวแทะแล้วร่วงหล่นบนพื้นขึ้นมา แล้วใช้กระดาษห่อให้เรียบร้อย ก่อนที่จะโยนลงในถังขยะที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง

 

 

จิ่งเหิงปัวมองดูเขาอย่างสนใจยิ่งนัก รู้สึกว่านี่คือบุคคลที่โดดเด่นอีกแบบหนึ่ง สนิทสนมละเอียดรอบคอบ มีความอดทนมีมารยาท รู้จักปกป้องสตรีเพศอย่างหาได้ยาก ทว่ายังไม่ขาดแคลนบุคลิกของผู้ชายที่สง่างามมีคุณธรรม

 

 

คบค้าสมาคมกับเขาก็รู้สึกผ่อนคลายมาก เป็นธรรมชาติมาก หลงลืมความแปลกหน้า คุ้นเคยดุจเพื่อนเก่าที่คบกันมานานหลายปีได้อย่างง่ายดาย

 

 

“เจ้าคือผู้ใด นามว่าอะไรหรือ”

 

 

“องค์ประกันเผ่าเฉินเถี่ย เถี่ยซิงเจ๋อ ถวายบังคมองค์ราชินีพ่ะย่ะค่ะ” เขาแสดงความเคารพอย่างสุขุม

 

 

ความรู้สึกดีของจิ่งเหิงปัวเพิ่มขึ้นมากในทันที แต่ก่อนได้ทยอยพบองค์ประกันของหกแคว้นแปดชนเผ่าในวังบ้าง ทว่าคนเหล่านั้นหากไม่โอหังอวดดีหรือกลัวหัวหดก็หลีกเลี่ยงไม่ติดต่อกับนาง ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขามีจุดร่วมที่เหมือนกันคือ ต่างหลีกเลี่ยงฐานะองค์ประกันของตนเองอย่างยิ่ง ด้วยเพราะรู้สึกอัปยศอดสูต่อเรื่องนี้จึงไม่ยอมเอ่ยให้มาก ส่งผลให้หลังจากพบพวกเขาหลายคนนั้นแล้ว ผ่านไปนานมากนางถึงรู้ว่าแท้จริงแล้วคือองค์ประกัน

 

 

คนที่ใจกว้างขนาดที่จะเอ่ยฐานะองค์ประกันของตนเองออกมามีเพียงเขาคนเดียว จิ่งเหิงปัวมองสายตาเขา ก็รู้สึกถึงความบริสุทธิ์สว่างไสวดั่งท้องฟ้าคืนฤดูใบไม้ร่วงที่สูงส่งสดใสเป็นพิเศษ

 

 

“เจ้าเข้าวังมาทำอะไรหรือ” นางถาม สายตาเห็นว่าเขาตั้งใจเดินทางฝั่งขวาของนาง เพื่อที่นางจะได้ไม่เหยียบเข้ากับซอกหินข้างทาง จนรองเท้าส้นสูงติดเข้าไปอีกครั้ง

 

 

“ราชครูเรียกเข้าพบ”

 

 

“อ้อ?” จิ่งเหิงปัวเกิดความสนใจขึ้นมา กงอิ้นเรียกขุนนางภายนอกเข้าพบน้อยครั้งมาก โดยเฉพาะองค์ประกันที่มีฐานะสุ่มเสี่ยง

 

 

“แน่นอนว่าไม่ใช่เสวนาการแคว้น” เถี่ยซิงเจ๋อยิ้มแย้มขึ้นมานัยน์ตาแวววาววูบไหว เอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ไม่นานกระหม่อมกลับไปที่บ้านเกิดระยะหนึ่ง นำอาหารจากบ้านเกิดบางส่วนมาให้เขา หากไม่ใช่เพราะเขามีกิจธุระวุ่นวายเหลือเกิน คงจะได้มาส่งให้ตั้งนานแล้ว”

 

 

จิ่งเหิงปัวชะงักยืนนิ่ง หันหน้ากลับมาคว้าแขนของเขาไว้ทันที กล่าวว่า “เจ้าเป็นคนบ้านเดียวกันกับกงอิ้นหรือ เจ้ารู้จักกับเขาตั้งแต่เด็กหรือ นี่ๆ รีบเล่าเรื่องน่าอายยามที่เขายังเป็นเด็กให้ข้าฟังหน่อยสิ แล้วก็ยามเขายังเด็กนั้นเขาอาศัยอยู่ที่ใด ชอบทานสิ่งใด เคยมีความรักมากี่ครั้ง เคยสมรสหรือไม่…”

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อหลุดหัวเราะออกมา แกะมือของนางออกอย่างแผ่วเบา ก่อนที่จะเอ่ยว่า “ฝ่าบาท พระองค์ตรัสถามคำถามมากมายขนาดนี้ จะให้กระหม่อมทูลตอบคำถามใดก่อนดีพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“ตอบคำถามสุดท้ายก่อน!”

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อหัวเราะออกมาอย่างเบิกบาน แล้วเอ่ยว่า “ย่อมไม่เคยอยู่แล้ว”

 

 

“แล้วเคยมีความรักกี่ครั้ง”

 

 

“ครั้นยังเด็กถูกอาฮวาอาลี่ข้างหมู่บ้านไล่ตามนั้นนับหรือไม่?” เขาผายมือเพียงครั้ง

 

 

“อย่างนั้นต้องดูว่าไปกันถึงระดับใด? เคยจูบหรือไม่ เคยโถมทับหรือไม่”

 

 

“ถูกอาสวี่โถมทับล้มลงบนพื้นนับหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“หา? โถมทับอย่างไร ปากประกบกันหรือไม่”

 

 

“อาสวี่เป็นบุรุษ”

 

 

“…เหอะ เจ้าหลอกข้า”

 

 

“แล้วหากถูกอาหนิวจับไว้นับหรือไม่”

 

 

“คนนี้ต้องเป็นบุรุษแน่!”

 

 

“ใช่แล้ว เขาเป็นชายรูปร่างสูงใหญ่” น้ำเสียงของเถี่ยซิงเจ๋อพลันเปล่าเปลี่ยว เอ่ยว่า “ถูกอาเซิ่งลากไปในน้ำนับหรือไม่”

 

 

“ผู้คนก็ชอบเล่นกับเขามากมายขนาดนั้นเชียวหรือ…” จิ่งเหิงปัวหัวเราะขึ้นมา ก่อนที่เสียงหัวเราะหยุดลงกะทันหัน แล้วค่อยๆ หันหน้าไปจ้องมองดวงตาของเถี่ยซิงเจ๋อ

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อไม่ได้หลบหลีกแววตาของนาง ทำให้นางมองเห็นแสงรุ่งโรจน์เปล่งประกายระยิบระยับรำไรภายในนัยน์ตาใสสว่าง

 

 

“เจ้าคล้ายกำลังบอกข้าว่า ยามที่เขายังเด็กมักถูกผู้อื่นกลั่นแกล้ง?” นางค่อยๆ กล่าว

 

 

“ไม่เป็นไร” เขาตอบอย่างเชื่องช้าเช่นกันว่า “ภายหลังพวกอาเซิ่งอาหนิวนั้นต่างก็สิ้นชีพกันไปหมดแล้ว”

 

 

จนทั่วทั้งร่างของจิ่งเหิงปัวลุกชัน เงยหน้าจ้องมองเถี่ยซิงเจ๋อในทันที

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อเองก็ไม่ได้ร่นถอย

 

 

“กระหม่อมกำลังทูลพระองค์เรื่องสหายสนิทยามเด็ก เวลาผ่านไปนานนัก เขาอาจจะหลงลืมไปแล้ว ทว่ากระหม่อมยังจำได้” เถี่ยซิงเจ๋อเอ่ยอย่างแผ่วเบาว่า “เขาอายุน้อยกว่ากระหม่อมสามปี ยามที่เขาเข้ามา กระหม่อมก็จำความได้อย่างเลือนรางว่า ยามนั้นเสด็จพ่อของกระหม่อมมีพระราชนิเวศน์อยู่ในบริเวณหมู่บ้านที่เขาอาศัยอยู่ ยามที่กระหม่อมยังเด็กกระหม่อมก็ถูกเลี้ยงดูอยู่ที่นั่น คุ้นเคยกับคนในหมู่บ้านนั้นเป็นอย่างดี ได้ฟังผู้ชราในหมู่บ้านเอ่ยว่าในค่ำคืนที่มีพายุฝนโหมกระหน่ำ เขาได้กระแทกทะลุผ่านหลังคา ตกลงสู่บ้านของสามีภรรยาอ่อนวัยที่ยากจนข้นแค้น ยามที่เขาร่วงลงมานั้นก็ใกล้จะสิ้นลมหายใจ ทั่วร่างเย็นยะเยือก คืนนั้นภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์ในบ้านแท้งด้วยเพราะตื่นตกใจมากเกินไป นางสูญเสียบุตรชายของตนเอง โชคดีที่สามีภรรยาคู่นี้จิตใจดีงาม ยังคงรับเลี้ยงเขาเอาไว้ ทว่าเจตนาร้ายที่คนในหมู่บ้านมีต่อเขาหนักหนายิ่งนัก ต่างคิดว่าเขาคือเคราะห์ร้ายแห่งอสนีบาต ในช่วงเวลาหลายปีนี้มักมีคนอยากทำให้เขาสิ้นชีพทั้งตั้งใจและมิได้ตั้งใจ เขาเคยตกจากภูเขา เคยขาหัก เคยตกน้ำ เคยเจอเพลิงไหม้ สำหรับเรื่องหลงทางนั้นก็ยิ่งเกิดขึ้นมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นในวันนั้นที่เขามาถึง มารดาบุญธรรมของเขาก็ได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจมากเกินไป ภายหลังจึงกึ่งเสียสติไป ยามมีสติเห็นว่าเขาคือบุตรชายของตนเอง ยามคลุ้มคลั่งคิดว่าเขาคือปีศาจร้ายที่มาพรากบุตรชายนาง มักจะแอบไปบีบคอเขากลางดึก มีครั้งหนึ่งที่เขาเกือบจะถูกบีบคอจนสิ้นชีพ จากนั้นได้ยินว่าเขาไม่เคยนอนหลับบนเตียงในบ้านอีกเลย”

 

 

จิ่งเหิงปัวมองเขาอย่างตะลึงงัน มือพลันยกขึ้นมากดหน้าอกไว้อย่างไม่รู้ตัว

 

 

ตรงนนั้นพลันรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอย่างกะทันหัน

 

 

นางแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าประสบการณ์ธรรมดาแต่น่าเวทนาที่ตนเองได้ยินนี้ จะเป็นสิ่งที่กงอิ้นผู้ที่สูงส่งบริสุทธิ์ปานหิมะ ไร้รอยตำหนิปานหยกจะพบเจอมา

 

 

จะให้นางเชื่อได้อย่างไรว่าบุรุษที่ไม่เปรอะเปื้อนละอองธุลีมีอำนาจล้นฟ้าคนนั้น ยามเยาว์วัยจะถูกทอดทิ้ง ถูกรังแก ถูกเหยียดหยาม ตนเองตกอยู่ท่ามกลางเจตนาร้ายและความเจ็บปวดอย่างไร้ที่สิ้นสุด สิบกว่าปีไม่กล้านอนราบ สิบกว่าปีไม่เคยได้พบความอบอุ่น?

 

 

หรือด้วยเพราะความทรงจำในวัยเยาว์ที่เขาต้องคลุกคลานอยู่กลางเส้นทางโคลนตม เจ็บปวดอย่างลุ่มลึกเหลือเกินนั้น เพราะอย่างนั้นหลายปีต่อมาเขาจึงหวังเพียงว่าตนเองจะไม่แปดเปื้อนควันธุลี ไม่สัมผัสความวุ่นวายจากโลกมนุษย์ทั้งหลายนี้?

 

 

“เช่นนั้นหลายปี…หลายปีขนาดนั้น…” นางถามอย่างไม่เชื่อสายตาว่า “…อยู่ร่วมกันยาวนานขนาดนั้น อีกทั้งเขาก็ไม่ได้ทำผิดอะไร เหตุใดคนในหมู่บ้านจึงไม่ยกโทษให้เขา เหตุใดจึงเป็นศัตรูกับเขาเสมอ?”

 

 

“นั่นก็เป็นเพราะว่าหลังจากที่ผ่านไปได้ระยะหนึ่งแล้ว ผู้ที่เป็นศัตรูกับเขาต่างสิ้นใจลงในฉับพลัน อย่างที่ไม่มีผู้ใดอธิบายสาเหตุได้” เขาตอบ

 

 

จิ่งเหิงปัวรู้สึกเพียงว่าทั่วทั้งร่างหนาวเหน็บ

 

 

ภายใต้สภาพการณ์แบบนั้น การที่ให้คนที่เป็นศัตรูกับเขาตายไป ก็เป็นการปกป้องเขาหรือทำร้ายเขากันแน่?

 

 

“เพราะอย่างนั้น หลายปีสุดท้ายที่เขาลาจากบ้านเกิดก็ไม่มีผู้ใดกล้าทำร้ายเขาแล้ว บาดแผลที่เขาได้รับก็น้อยลงแล้ว” เถี่ยซิงเจ๋อหยุดไปชั่วครู่ เอ่ยสืบต่อว่า “ทว่า…”

 

 

เขาไม่ได้เอ่ยต่อไป แต่จิ่งเหิงปัวกลับเข้าใจได้

 

 

ทว่าไม่มีคนยอมเข้าใกล้เขาอีก เขาคือสัตว์ประหลาด คือปีศาจ คือตัวอัปมงคล

 

 

สภาวะเย็นชา ในสมองนางพลันมีคำนี้เฉียดผ่าน

 

 

บางครั้ง เมื่อเทียบกับความทรมานในวัยเด็กแล้ว ความกังวล การขับไล่ ความหวาดกลัวและการไกลห่างในหลายปีสุดท้ายนี้ ถึงเป็นสาเหตุที่ก่อเป็นนิสัยในภายหลังของเขาอย่างแท้จริงสินะ?

 

 

“วาจาเหล่านี้แท้จริงแล้วกระหม่อมก็ไม่ควรกราบทูลพระองค์เลย” เถี่ยซิงเจ๋อเอ่ยอย่างนุ่มนวลว่า “ทว่ากระหม่อมรู้สึกว่าชั่วชีวิตนี้เขาอาจจะไม่ยอมเอ่ยถึงเรื่องเหล่านี้กับพระองค์ ไม่ใช่เพราะไม่เชื่อใจพระองค์ แต่เพราะว่าไม่อยากให้พระองค์ต้องทรงเป็นทุกข์ ทว่ากระหม่อมกลับมีความเห็นแก่ตัวอยู่บ้าง กระหม่อมหวังว่าบนโลกนี้จะมีสักคนที่รู้จักเขา เข้าใจเขาอย่างแท้จริง เข้าใจว่าเขายากลำบากเพียงใด ดีเพียงใด”

 

 

จิ่งเหิงปัวปล่อยแขนของเขาออกทันที

 

 

“ขอโทษนะ” นางกล่าวอย่างทั้งรีบร้อนทั้งไร้ลำดับขั้นตอนเล็กน้อยว่า “ข้าไม่อาจไปด้วยกันกับเจ้าได้ ข้านั้นน่ะ ข้าจะล่วงหน้าไปก่อน เจ้าก็ค่อยๆ ตามมา…” หางเสียงยังไม่ทันสิ้น นางก็ยกเท้าวิ่งออกไปแล้ว ยากนักที่จะสวมรองเท้าส้นสูงแล้ววิ่งได้เร็วขนาดนั้น ส้นรองเท้าจึงกระแทกบนทางแผ่นศิลาดังตึกๆ ไกลห่างไปตามทางแล้ว

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อยืนอยู่ที่เดิม มองดูเงาด้านหลังของนางแล้วยิ้มแย้มอย่างปลื้มอกปลื้มใจ