บทที่ 756 การต่อสู้เมื่อครึ่งเดือนก่อน

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

ดอริสรู้ได้ในทันทีที่เอ่ยปากออกไปว่านางได้ทำผิดพลาดอย่างมหันต์ นางฟาดหางปลาสีทองไปบนผิวน้ำทะเล ก่อให้เกิดคลื่นน้ำสาดซัดลูกใหญ่

ท่ามกลางคลื่นเหล่านั้น จู่ๆ ร่างของนางก็พร่าเลือน แม้ว่าพลังจิตของลูเซียนและอำนาจจิตของนาตาชาจะจดจ่ออยู่ที่นาง แต่ทั้งสองกลับสูญเสียเป้าหมายไปในฉับพลัน พวกเขาเฝ้ามองร่างของนางโปร่งแสงลงและหลอมละลายไปอย่างไร้สัญญาณใด ราวกับหิมะที่ละลายเพราะดวงตะวันในเดือนกรกฎาคม!

ดอริสหลอมละลายตนเองโดยสมบูรณ์ภายในชั่ววินาที นางกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับมหาสมุทร แล้วหองสีขาวก็พวยพุ่งขึ้นมาเหนือผิวน้ำ สะท้อนกับแสงอาทิตย์เลือนลาง

พลังจิตของลูเซียนไม่อาจสัมผัสได้ถึงตัวตนของดอริสอีกต่อไป ราวกับนางได้หลอมรวมเข้ากับมหาสมุทรอย่างแท้จริง หรือก็คือ ทุกๆ ฟองอากาศก็คือนาง!

ในขณะที่ฟองอากาศแตกตัวออกไปเรื่อยๆ สีขาวบนผิวน้ำของท้องทะเลสีครามกำลังจะหายลับไป ลูเซียนก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงยากจะคาดเดาหรือเข้าใจดั่งเสียงที่ดังมาจากโลกอีกใบ

“คทาอวกาศ!”

สภาพแวดล้อมสั่นสะเทือนรุนแรง พร้อมกับที่คทาสีเข้มทว่าเปล่งประจายแสงเจิดจ้าจะปรากฏขึ้นในมือลูเซียน เมื่อเขาชี้คทาออกไป ระลอกคลื่นแห่งแสงก็แผ่ออกไปทั่วทั้งมหาสมุทร ดูราวกับทะเลสาบยามค่ำคืน!

ระลอกคลื่นเหล่านั้นแยกสายน้ำในรัศมีสิบกว่าตารางเมตรรอบๆ ออกไป หากผู้ใดก็ตามสงบจิตใจลงและลองสัมผัสดูให้ดีๆ พวกเขาก็จะพบว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสัมผัสถึงมหาสมุทรในรัศมีต่ำกว่าหนึ่งร้อยเมตรได้ เพราะมันอยู่คนละห้วงเวลาและมิติ!

ภายในกรงขังแห่งกาล-อวกาศ ท้องทะเลสั่นสะเทือนเป็นสีฟ้าสดใส ฉับพลันนั้น สายน้ำในบริเวณหนึ่งก็ผุดพรายขึ้นมาและก่อตัวเป็น ‘รูปปั้น’ โปร่งแสงที่ดูราวกับทำมาจากหินแซฟไฟร์ จากนั้น ใบหน้าของรูปปั้นก็ปรากฏเค้าโครงชัดเจน เป็นดอริสนั่นเอง หางปลาสีทองของนางโผล่ขึ้นมาพ้นน้ำทะเลด้วยเช่นกัน

ดอริสจ้องมองลูเซียนกับนาตาชาด้วยดวงตาสีฟ้าของนางขณะขบริมฝีปากแน่น ไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใด ราวกับว่านางกำลังช่างน้ำหนักถึงผลลัพธ์อยู่

“ข้าเป็นคนดีและเป็นมิตร และข้าก็ไม่ชอบการต่อสู้และการฆ่าฟันที่ไม่จำเป็น ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่บีบบังคับให้ข้าต้องทำในสิ่งที่ไม่ชอบหรอกนะ” ลูเซียนกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยน ทว่าสายตาของเขากลับไม่อ่อนโยนเลยสักนิด

ดอริสหาใช่นักเวท และนางก็มิมีวิธีการแปลกๆ อื่นใดในการหลบหนีอีกแล้ว และนางก็ไม่อยากจะต่อสู้กับลูเซียน ผู้ที่แข็งแกร่งกว่านางอย่างเห็นได้ชัด หากเป็นเช่นนั้น นางคงมีโอกาสรอดชีวิตเพียงสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น มันคือความเสี่ยงที่นางเงือกผู้ชื่นชอบการร้องเพลงและแหวกว่ายไปอย่างอิสระเช่นนางไม่อาจรับได้ ด้วยเหตุนี้ นางจึงพยักหน้า “หากเจ้าอยากจะรู้เกี่ยวกับประตูน้ำเงิน ข้าบอกเจ้าได้”

นางโทษตัวเองที่ร้องเพลงจนไม่สนใจสิ่งใดเมื่อครู่นี้ หากนางสังเกตเห็นมนุษย์ทั้งสองเร็วกว่านี้ นางคงจะมีเวลามากพอที่จะหลบหนีไป แทนที่จะต้องมาลงเอยเช่นนี้

“เพื่อให้แน่ใจว่าเจ้าจักพูดความจริง กรุณาลงนามในสัญญาเวทมนตร์กับข้าด้วย ท่านหญิงดอริส” ลูเซียนยังคงมีรอยยิ้มตามมารยาทเช่นเดิม

“สัญญา! เจ้าปีศาจ ข้ายอมตายเสียดีกว่ายอมรับสัญญาทาส!” พายุแห่งความโกรธาโหมกระหน่ำอยู่ในดวงตาสีฟ้าของดอริส ทำให้รอบๆ กายนางมืดทึบลง ท้องฟ้าดูมืดหม่นชวนอึดอัด และน้ำทะเลก็หยุดเคลื่อนไหว ราวกับพายุรุนแรงกำลังจะบังเกิดขึ้น

นางเคยได้ยินมาว่ามนุษย์เจ้าเล่ห์บางคนสนใจนางเงือกอย่างผิดแปลก แม้ว่านางเงือกส่วนใหญ่จะไม่สามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์และสละหางปลาของตนได้ก็ตาม ด้วยเหตุนี้ นางจึงยอมระเบิดตัวเองตายดีกว่ายอมจำนน ด้วยหวังว่าการโจมตีครั้งสุดท้ายจะสามารถทำให้นักเวทมากเล่ห์ผู้นี้ได้รับบาดเจ็บสาหัส!

ลูเซียนหัวเราะขัน “สัญญานี้ไม่มีเงื่อนไขเรื่องทาส มันเป็นเพียงสิ่งยืนยันว่าข้าจะสัมผัสได้ทันทีหากว่าเจ้าโกหก หรือหากเจ้าบอกคนอื่นถึงตำแหน่งที่อยู่ของข้า รวมถึงจุดหมายปลายทางต่อไป”

ภายใต้สถานการณ์ทั่วไป ย่อมไม่มีผู้ใดยอมลงนามในสัญญาพรรค์นี้ และมันก็เห็นได้ชัดว่าไม่มีความยุติธรรม นอกจากนี้ เหล่าปีศาจกับพระเจ้าเทียมเท็จที่ทำหน้าที่เป็นผู้รับรองอาจปฏิเสธการการันตีที่ดีกว่าเพราะแบบนั้น ทว่า ตอนนี้ดอริสไม่มีทางเลือกจริงๆ

นางอ้าปากเอื้อนเอ่ยอย่างยากลำบาก “ข้าขอดูเนื้อหาในสัญญาก่อน”

ลูเซียนหยิบสัญญาที่สร้างขึ้นจากเปลือกต้นไม้เอลฟ์ออกมา เขาใช้มือขวากดๆ แตะๆ ไปบนนั้น กระดาษก็พลันแผ่แสงสีเงินสว่างไสว

หลังจากที่เขาละมือไป ข้อความเงื่อนไขที่ดูไร้ช่องโหว่หลายข้อก็ถูกเพิ่มเข้าไปในสัญญา

ดอริสหยิบสัญญาที่ลูเซียนโยนมาให้แล้วอ่านด้วยความระมัดระวัง นางพลันตระหนักว่าสัญญาฉบับนี้จะไม่ส่งผลอันใดเลยหากนางไม่โกหกหรือเปิดเผยว่าอีกฝ่ายกำลังจะไปที่ประตูน้ำเงิน แต่แน่นอน หากว่านางผิดสัญญา นางก็จะได้รับบทลงโทษจากจักรวาลอะตอม ซึ่งนั่นหมายถึงความตาย

“จักรวาลอะตอม…” ดอริสมองไปทางลูเซียน เหตุใดเขาจึงเป็นผู้รับรองสัญญานี้กัน

ในฐานะหนึ่งในขุนพลแห่งท้องทะเลทั้งเจ็ดภายใต้การบังคับบัญชาของเจ้าแห่งมหาสมุทรไร้พรมแดน และในฐานะเจ้าหญิงนางเงือกผู้ปฏิบัติหน้าที่แถบเขตแดนของเอลฟ์แห่งท้องทะเล นางจึงพอจะมีความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับสภาเวทมนตร์

ลูเซียนกล่าวยิ้มๆ “เป็นภรรยาข้าที่เจ้าจะทำสัญญาเวทมนตร์ด้วย ส่วนตัวข้า ในฐานะที่เป็นนักเวทชั้นตำนานที่มีมิติพิเศษเป็นของตัวเอง ข้าย่อมมีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้รับรองในสัญญา และข้าก็ยังเป็นมืออาชีพเสียยิ่งกว่าพวกปีศาจอีกด้วย บทลงโทษของข้าไม่มีทางล่าช้าอย่างแน่นอน”

นั่นคือเหตุผลว่าทำไมคำว่า ‘ชั้นตำนาน’ จึงเป็นคำบรรยายผู้มีพลังชั้นสูงในระดับนั้น พวกเขาสามารถทำในสิ่งที่ผู้อื่นทำมิได้!

ขณะมองอาการหน้านิ่วคิ้วขมวดจนน่าสงสารของดอริส นาตาชาก็กล่าวอย่างทอดถอนใจผ่านกระแสจิต “ข้าแทบทนดูต่อไปไม่ไหวแล้วนะ เจ้านี่ช่างไม่เป็นสุภาพบุรุษเอาเสียเลย”

“หากข้าเป็น ‘สุภาพบุรุษ’ ผลที่ตามมาคงจะร้ายแรงกว่านี้นัก…” ลูเซียนเย้าหยอก

ด้วยไม่มีทางเลือกอื่น ดอริสจึงทำได้เพียงยินยอมลงนามในสัญญา หลังจากที่นาตาชาลงนามแล้วเช่นกัน เอกสารสัญญาก็พลันเกิดไฟลุกพรึ่บ เผาทำลายตัวมันเองอย่างร้อนแรงจนแม้แต่สายน้ำรอบๆ ก็ดูคล้ายจะถูกเผาไหม้ไปด้วย

ทันใดนั้น ดวงไฟสีซีดก็กลายเป็นมืดมัวสลัวลางลึกล้ำ และดวงดาวหลากสีสันก็คล้ายกับจะเปล่งประกายระยิบระยับ มันค่อนข้างคล้ายคลึงกับภาพมายาสะท้อนของจักรวาลอะตอม ที่ลูเซียนใช้เปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมรอบกาย

ดวงดาราในกองไฟรวมตัวกันเป็นใบหน้าอันหล่อเหลา จากนั้นจึงประกาศด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ในนามแห่งผู้บัญชาอะตอม ข้าขอประกาศว่าสัญญาจะมีผลนับแต่นี้เป็นต้นไป”

เมื่อมองใบหน้าซึ่งอยู่ในกองไฟและบนฟ้าที่เหมือนกันอย่างกับแกะ ดอริสก็ให้รู้สึกเดือดดาลเป็นที่ยิ่ง “ลงนามสัญญาเสร็จแล้ว อยากถามอะไรก็รีบๆ ถามมา”

ช่างไร้ยางอายเหลือเกินที่บุรุษผู้นี้เป็นทั้งผู้เล่นและผู้ตัดสิน!

“เหตุใดเจ้าจึงประหลาดใจนักหลังจากที่ได้ยินคำว่าประตูน้ำเงิน” นาตาชาถาม

ดอริสถอนหายใจเฮือก “เพราะว่าข้ามาที่นี่ก็เพื่อประตูน้ำเงินน่ะสิ”

เมื่อเห็นว่าลูเซียนกับนาตาชาไม่ได้เค้นถามต่อด้วยความประหลาดใจ นางจึงพูดต่อไป “ด้วยเป็นพระบัญชาขององค์ราชาฮาเร็กซ์ ข้าจึงมาที่ชุมทางกระแสใต้น้ำของดินแดนสาบสูญเพื่อนำทางเหล่าสัตว์ทะเลที่ติดตามข้ามา ให้เดินทางไปถึงประตูน้ำเงิน เพราะว่ามันมีหลายชุมทาง ข้าจึงขับร้องเพื่อเรียกคนของข้าให้มานำทางในจุดอื่นๆ เผื่อว่าสัตว์ทะเลทั้งหลายจะหลงทางไป”

ดินแดนสาบสูญคือคำที่เผ่าพันธุ์แห่งท้องทะเลใช้เรียกส่วนลึกของมหาสมุทรไร้พรมแดน

“กระแสใต้น้ำ…” ลูเซียนทวนคำเสียงแผ่ว

ปฏิเสธไม่ได้ว่างานวิจัยทางธรรมชาติเกี่ยวกับมหาสมุทรของสภาเวทมนตร์นั้นยังตื้นเขินยิ่งนัก อย่างไรเสีย ทุกส่วนของมหาสมุทรไร้พรมแดนก็มีเผ่าพันธุ์แห่งท้องทะเลอาศัยอยู่ กองเรือสำรวจของมนุษย์ก็ไปถึงได้ไกลที่สุดก็แค่หมู่เกาะที่สภาเวทมนตร์ควบคุมดูแล ส่วนเหล่านักเวทที่สามารถดำน้ำลงไปใต้ทะเลได้โดยไม่กลัวเกรงสัตว์ทะเลทั้งหลาย อย่างน้อยพวกเขาก็เป็นนักเวทระดับหก และพวกเขาก็ให้ความสนใจกับแร่ธาตุ ขุมสมบัติ และสัตว์วิเศษที่อยู่ใต้ทะเลมากกว่าตัวมหาสมุทรเอง ดังนั้น ลูเซียนจึงบินมาที่นี่เพื่อจดบันทึกข้อมูลทางสภาพแวดล้อม เขาลืมไปเสียสนิทถึงสถานการณ์ที่ก้นมหาสมุทร

เมื่อเห็นว่าลูเซียนตกอยู่ในภวังค์ความคิด นาตาชาจึงหยุดถามและรออยู่ราวสองนาที จากนั้นลูเซียนจึงเอ่ยปากถามว่า “ประตูน้ำเงินมีอยู่จริงหรือไม่ เหตุใดฮาเร็กซ์จึงต้องบอกให้สัตว์ทะเลตัวอื่นๆ ไปที่นั่นด้วย”

“ข้าเคยไปเยือนข้างใต้ดินแดนสาบสูญกับองค์ราชาฮาเร็กซ์มาก่อน ที่นั่นมีประตูน้ำเงินอยู่จริงๆ ทว่า องค์ราชาฮาเร็กซ์รับสั่งไม่ให้ข้าเข้าไปใกล้ ข้าจึงทำได้เพียงลอบมองจากที่ห่างไกล มันให้ความรู้สึกทั้งมีอยู่จริงและเป็นเพียงภาพมายา แม้ว่ามันจะอยู่ตรงนั้น แต่ข้ากลับรู้สึกเหมือนว่ามันอยู่ไกลออกไปในมหาสมุทรแสงจันทร์อย่างไรอย่างนั้น มันมหัศจรรย์มากทีเดียว”

ดอริสตอบตามสัตย์จริง แต่ว่า ในฐานะนางเงือกผู้ชื่นชอบการร้องเพลง นางจึงอดไม่ได้ที่จะเติมคำบรรยายเชิงโวหารลงไป “ว่ากันว่า เราจะแตะต้องมันได้เพียงตอนที่วัตถุดิบชั้นตำนานที่เติบโตอยู่ภายในประตูน้ำเงินกำลังจะก่อเป็นรูปเป็นร่าง”

“ฮาเร็กซ์เรียกรวมตัวสัตว์ทะเลก็เพราะวัตถุดิบชั้นตำนานภายในนั้นกำลังจะก่อเป็นรูปเป็นร่างเช่นนั้นรึ ไม่หรอก หากเป็นเช่นนั้น เขาก็ควรจะมาด้วยตัวเองแล้ว” นาตาชากำดาบในมือแน่น ด้วยระแวงระไว

หลังจากได้ยินคำบรรยายของดอริส ลูเซียนก็พยักหน้า กุญแจน้ำเงินคือวัตถุแห่งกาล-อวกาศ และประตูน้ำเงินก็ควรจะเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน

ดอริสส่ายหน้า “ข้าไม่ทราบ แต่องค์ราชาฮาเร็กซ์มีกระแสรับสั่งให้สัตว์ทะเลที่ไว้ใจสองสามตัวนำเชลยศึกไปส่งตัวที่ประตูน้ำเงิน

“เชลยศึกรึ” ลูเซียนหันมองนาตาชา แต่นาตาชากลับก็ส่ายหน้า บอกใบ้ว่าดอริสมิได้โกหก

“ใช่ เมื่อครึ่งเดินก่อน องค์ราชาฮาเร็กซ์รวบรวมกองกำลังของพระองค์เข้าต่อสู้กับเอลฟ์แห่งท้องทะเลและพวกกิปป์ จึงจับตัวเชลยศึกมาได้หลายคน” ดอริสตอบอย่างตรงไปตรงมา

ลูเซียนพลันหน้าเคร่ง เผ่าพันธุ์แห่งท้องทะเลต่อสู้กับชาวเอลฟ์อีกครั้ง และก็ดูเหมือนจะรุนแรงเสียด้วย แต่เข้ากลับไม่ได้รับสารใดๆ เพราะว่าเขาอยู่ใน ‘ดินแดนสาบสูญ’

ภายในดินแดนสาบสูญที่อยู่ลึกในมหาสมุทรไร้พรมแดน วิธีการติดต่อสื่อสารทุกประเภทจะขัดข้อง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ฮาเร็กซ์สั่งให้เจ้าหญิงนางเงือกมานำทางด้วยวิธีการใช้เสียงที่ดั้งเดิมที่สุด

“เชลยศึก…” นาตาชาทวนคำและอดไม่ได้ที่จะมองไปทางลูเซียน ทั้งสองต่างได้กลิ่นไอของ ‘การบูชายัญ’

ดอริสไม่รู้ว่าทั้งคู่คิดอะไรอยู่ นางอธิบายถึงรายละเอียดวิธีการเข้าไปถึงประตูน้ำเงินตามกระแสใต้น้ำและรูปแบบการเปลี่ยนแปลงของมัน ท้ายที่สุด นางจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงน่าสงสาร “นั่นคือทั้งหมดที่ข้ารู้เกี่ยวกับประตูน้ำเงิน”

ลูเซียนพยักหน้า “แล้วผลการต่อสู้กับชาวเอลฟ์และกิปป์เป็นอย่างไรบ้าง”

“เราโจมตีเขตแดนที่ชาวเอลฟ์แห่งท้องทะเลดูแลและจับพวกนั้นมาได้มิน้อย แต่พวกนั้นมีชั้นตำนานถึงสองคนคอยคุ้มกันและมีมาตรการป้องกันที่รัดกุมมาก พวกนั้นต้านทานเราได้จนกระทั่งราชินีเอลฟ์มาช่วยเหลือ” ความหวาดกลัวพลันฉายชัดบนใบหน้าของดอริส “ราชินีเอลฟ์แข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนมากและเกือบจะเทียบเท่ากับเบลคอฟสกี นางทำให้องค์ราชาฮาเร็กซ์ได้รับบาดเจ็บสาหัสเพราะพระองค์คาดไม่ถึง บีบให้เราต้องถอยร่นมาพร้อมกับพวกเชลยศึก อีกทางด้านหนึ่ง การลอบโจมตีพวกกิปป์จึงได้รับผลกระทบไปด้วย มีพวกระดับสูงไม่มากที่เสียชีวิต”

ภายใต้แสงอาทิตย์อ่อนๆ ทั้งลูเซียนและนาตาชาต่างดูท่าทางหมองอย่างไรมิทราบ ‘นี่อะเกลียยา ราชินีเอลฟ์พัฒนาตัวเองได้เร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ’

…………………………………………